เช้าวันรุ่งขึ้น ซ่งชูอีตื่นขึ้นมาก็เห็นเจ้าอี่โหลวพิงอยู่ข้างเตียง อ่านสมุดไผ่ในมือม้วนหนึ่งอย่างใจจดใจจ่อ
ซ่งชูอีหาว “เหตุใดถึงอยากตื่นขึ้นมาอ่าน “ก๋วนจื่อ” เล่า?”
“เจ้ารู้ได้เยี่ยงไร?” เจ้าอี่โหลวสำรวจ เห็นได้ชัดว่าไม่มีชื่อตำราโผล่ออกมา
ซ่งชูอีหลับตา เอ่ยด้วยความสะลึมสะลือ “รัฐข้าคงอยู่ รัฐเขาเกี่ยวข้อง รัฐข้าล่มสลาย รัฐเขาเกี่ยวข้อง รัฐเขามีภัย รัฐเขาได้กำไร รัฐเขามีภัย รัฐเขาสูญเสีย ใต้หล้าเปลี่ยนแปลง เป็นผลดีต่ออ๋องผู้ปราดเปรื่อง รัฐมีภัย ปัญญานักปราชญ์เด่นชัด…นี่มิใช่ “ก๋วนจื่อ – ป้าเหยียน (วาจาอันธพาล)” หรอกหรือ?
นี่คือบทความป้าเหยียนที่เจ้าอี่โหลวกำลังอ่าน เขาก้มอ่านอย่างละเอียด ที่แท้ซ่งชูอีสามารถมองเห็น “ใต้หล้าเปลี่ยนแปลง เป็นผลดีต่ออ๋องผู้ปราดเปรื่อง รัฐมีภัย ปัญญานักปราชญ์เด่นชัด” ประโยคเหล่านี้จากมุมที่นางอยู่
“เจ้าจำได้หมดเลยรึ?” เจ้าอี่โหลวเอ่ยถาม
ซ่งชูอีเอ่ยว่า “ข้าจำได้มากกว่านี้ตอนที่ยังเด็ก บัดนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว”
เมื่อก่อนตอนที่อยู่ในหยางเฉิง งานที่เจ้ารัฐมอบหมายให้นางทำนั้นมีไม่มาก ดังนั้นนางจึงใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอ่านหนังสือ ดื่มสุรา นางสามารถจำได้มากกว่า “ก๋วนจื่อ” ด้วยซ้ำ
เจ้าอี่โหลวเอ่ยว่า “หลายวันนี้ข้ากล่าวว่าอยากอ่านหนังสือ ท่านเสนาบดีฝ่ายขวาก็ให้ข้าอ่าน “ก๋วนจื่อ” ข้าอยากฟังเจ้าเล่า”
เมื่อคืนนัวเนียกันจนดึกดื่น ซ่งชูอียังมีความง่วงอยู่ทว่าก็มิได้ปฏิเสธความสนใจของเขา “ไร้ก๋วนจ้ง ข้าเจ้าผมและปกเสื้อคงหลุดรุ่ยแล้ว จำต้องศึกษาทฤษฎีของเขาอย่างรอบคอบ”
ความหมายของนางก็คือ หากไม่มีก๋วนจ้ง (ก่วนจื่อ) พวกเราก็คงผมเผ้ากระเซอะกระเซิง เสื้อผ้าหลุดรุ่ยไร้ระเบียบ และกลายเป็นประชาชนที่ถูกปกครองโดยคนป่าเถื่อนไปแล้ว
“หากไม่มีอะไรทำในฤดูหนาว เจ้าก็บรรยายให้ข้าฟังเถิด?” เจ้าอี่โหลวรบเร้านาง
ช่วงเวลาที่ไร้ซึ่งสงคราม มีระบบหมุนเวียนในค่ายทหาร เจ้าอี่โหลวจะไปที่ค่ายทหารทุกๆ สองวัน
ซ่งชูอีเอ่ยว่า “ได้ ไว้ข้าว่างจะบรรยายให้เจ้าฟัง”
“ท่อนที่เจ้ากล่าวเมื่อครู่ ข้าอ่านมาสี่ห้ารอบแล้ว ทว่าไม่ใคร่เข้าใจว่าเขากล่าวถึงหลักการอะไร” เห็นได้ชัดว่าเจ้าอี่โหลวเชื่อว่าตอนนี้ก็คือเวลาว่างของนาง
ความหมายของประโยคนั้นก็คือ: การดำรงอยู่ของรัฐนั้นเกี่ยวข้องกับเพื่อนบ้านและความพ่ายแพ้ก็เกี่ยวข้องกับเพื่อนบ้านเช่นกัน ครั้นเพื่อนบ้านเกิดเรื่อง รัฐเพื่อนบ้านอาจจะได้ประโยชน์หรืออาจจะสูญเสียก็ได้ เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงในโลก? ย่อมเป็นผลดีต่ออ๋องผู้ปราดเปรื่องเสมอ เมื่อบ้านเมืองตกอยู่ในอันตรายจึงจะปรากฏสติปัญญาแห่งนักปราชญ์
“ความสัมพันธ์ทางการทูต สติปัญญา…มีมากกว่าหนึ่งเหตุผลรึ?” ซ่งชูอีลุกขึ้นนั่ง ความง่วงนอนหายไปมากแล้ว “อย่างเช่นรัฐฉินกับเว่ย หรือเจ้า หาน ฉู่ ความสัมพันธ์ฉันท์รัฐเพื่อนบ้านเหล่านี้ อย่าเพิ่งกล่าวถึงรัฐอื่นเลย ลำพังเพียงรัฐเว่ยที่ปกครองจงหยวนเมื่อหลายสิบปีก่อน ในตอนนั้นรัฐฉินเป็นเยี่ยงไรเล่า?”
ในเวลานั้นรัฐฉินเกือบถูกกวาดล้าง ราชสำนักเน่าเฟะ ที่นาไร้คนเพาะปลูก กำลังทั้งหมดถูกใช้เพื่อต่อต้านศัตรูภายนอก ในเวลานั้นรัฐฉินกัดฟันยืนหยัดด้วยแรงฮึดเดียวที่มีอยู่ ต่อมารัฐเว่ยค่อยๆ เสื่อมถอย รัฐฉินจึงมีโอกาสหายใจหายคออย่างเช่นทุกวันนี้
ซ่งชูอีเห็นว่าเขาเหมือนจะตระหนักได้ในทันที จึงเอ่ยต่อ “เมื่อบัดนี้รัฐฉินมีชีวิตรอดอยู่ได้ก็จะต้องวางแผนจัดการรัฐ
เว่ยอย่างแน่นอน ซึ่งนั่นก็คือ ‘รัฐข้าคงอยู่ รัฐเขาเกี่ยวข้อง รัฐข้าล่มสลาย รัฐเขาเกี่ยวข้อง’”
“สำหรับ ‘รัฐเขามีภัย รัฐเขาได้กำไร รัฐเขามีภัย รัฐเขาสูญเสีย’ นั้น ก็สามารถหยิบยกเรื่องเหอจ้งในครั้งนี้มาพูดได้ ระหว่างการได้และการสูญเสีย…” มุมปากของซ่งชูอียกยิ้ม “ความลับแห่งสวรรค์เปลี่ยนแปลง”
“ความลับแห่งสวรรค์อยู่ในมือของนักปราชญ์กระมัง” เจ้าอี่โหลวยิ้ม หันไปจูบนาง
ซ่งชูอีหัวใจเต้นแรง มองดูใบหน้าเปื้อนยิ้มที่หล่อเหลาของเขา ลูบคลำจมูก “ดูดีเหลือเกิน ต่อไปหากมีลูก อย่าได้หน้าตาเหมือนข้าเชียว”
“เจ้าช่างไม่เห็นคุณค่าของตัวเองเลย! ข้ากลับรู้สึกว่าเจ้าดูดีมาก” เจ้าอี่โหลวมองนางลงจากเตียงสวมเสื้อผ้า
ซ่งชูอีรัดสายคาดเอวพลางหันหน้ามองเขา “ดูดี? ดูดีตรงไหน?”
เจ้าอี่โหลวครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนส่ายศีรษะเอ่ยว่า “ไม่รู้ เมื่อก่อนข้าคิดว่าคนเยี่ยงเสด็จแม่ต่างหากคือหญิงงาม แต่ว่า…”
บัดนี้เขายังคงคิดว่าผู้หญิงที่รูปลักษณ์อ่อนโยนและสง่างามต่างหากจึงจะเป็นหญิงงาม แม้จะเป็นเช่นนี้ ในความคิดของเขาก็ไม่มีผู้หญิงคนใดที่สามารถทำให้เขาหวั่นไหวเช่นซ่งชูอีได้
ซ่งชูอีเห็นว่าเขาไม่รู้ว่าจะพูดต่อไปอย่างไรดีก็หัวเราะเสียงดัง “ข้าเข้าใจความหมายของเจ้า ข้าก็คิดเช่นนั้น”
นางกะพริบตา หยิบเสื้อคลุมแล้วออกจากห้องไป “รีบลุกจากเตียงเถิด วันนี้ไม่มีประชุมราชสำนักก็จริงทว่าจะอู้ไม่ได้”
วันนี้อิ๋งซื่อไม่ได้เรียกประชุมราชสำนัก ซึ่งทำให้พวกเขานอนได้นานหน่อยพอดี
ข้างนอกหิมะยังคงตกอยู่ เพียงแต่เบาบางแล้ว ไม่ใหญ่เท่าขนห่านเหมือนเมื่อวาน
“ท่านเจ้าคะ!”
ทันทีที่ซ่งชูอีก้าวออกนอกประตูก็เห็นหนิงยาเข้ามารับหน้า
ปลายจมูกของหนิงยาหนาวจนเป็นสีแดงระเรื่อ ผิวพรรณสดใส ดูละเอียดอ่อนและน่ารักมากขึ้น ซ่งชูอีมองดูพร้อมจิตใจที่เบิกบาน
“ท่านเจ้าคะ มีคนมาจากในวัง” หนิงยาเอ่ย
“ใครรึ?” ซ่งชูอีถามด้วยความสงสัย
หนิงยากล่าว “ฮูหยินเฉาก็มาเจ้าค่ะ ยังมีฮูหยินอีกท่านหนึ่ง บ่าวได้เชิญให้พวกนางไปดื่มชาที่ห้องโถงหลักแล้วเจ้าค่ะ”
หากนางสนมในวังหลังไม่มีเหตุผลอันเหมาะสม ก็ไม่สามารถออกมาเที่ยวเตร่ข้างนอกเหมือนเด็กสาวทั่วไปได้
“ไปเถิด ไปดูกัน” ซ่งชูอีหมุนตัวเพื่อไปยังห้องโถงหลักพร้อมกับหนิงยา
เตาอั้งโล่เพิ่งถูกจุดขึ้นในห้องโถงหลัก ประตูหน้าต่างปิดสนิท
มีเด็กหญิงสิบกว่าคนในห้อง ทว่ากลับเงียบกริบไม่ส่งเสียงใดๆ ส่วนที่เหลือเป็นสาวใช้และเด็กรับใช้ที่ยืนอยู่ข้างหลังทั้งสองคนด้วยความเคารพ
หญิงใบหน้ากลมผมมวยสูงในหมู่พวกนางกล่าวขึ้น “พี่เฉา กั๋วเว่ยเป็นนายเก่าของท่านพี่ ประเดี๋ยวท่านพี่ต้องช่วยกล่าววาจาน่าฟังสักหน่อยนะเจ้าคะ”
จื่อเฉาทอดถอนใจ “หากเป็นความต้องการของฝ่าบาท เฉาจะพยายามอย่างเต็มที่ ทว่าไม่ได้เจอหน้ากันนานแล้ว ไม่รู้ว่ากั๋วเว่ยลืมข้าไปแล้วหรือยัง”
“กั๋วเว่ยมาถึงแล้ว!”
ประตูห้องเปิดออก
หญิงหน้ากลมหันออกไปมองข้างนอก จื่อเฉาจับชายกระโปรงแน่น ดวงตางดงามคู่นั้นทั้งยินดีและเศร้าโศก
ประตูห้องเปิดออก คนในเสื้อคลุมสีดำเดินเข้ามาพร้อมกับลมหิมะ รูปร่างผอมบางเหมือนไม้ไผ่ แขนเสื้อพัดกระพือดูอิสระเป็นอย่างยิ่ง
ทั้งสองคนลุกขึ้นคำนับซ่งชูอี
ซ่งชูอีประสานมือ “ฮูหยินทั้งสองไม่ต้องเกรงใจ เชิญนั่ง”
เมื่อต่างคนต่างนั่งลง ซ่งชูอีจึงเห็นทั้งสองคนอย่างชัดเจน คนหนึ่งใส่ชุดเซินอีสีแดง ขนแกะสีขาว มวยผมสูงซ้อนกัน ดวงหน้ากลมแป้น ดวงตากลมดุจผลซิ่ง แก้มสองข้างอวบอิ่มเหมือนเด็ก เห็นได้ชัดว่าอายุเพียงสิบสี่สิบห้าเท่านั้น อีกคนดูอายุประมาณยี่สิบแล้ว สวมชุดชวีจวี ดวงตาเรียวเล็ก คิ้วบางยาว ใบหน้าค่อนข้างสวยแต่แก้มซูบตอบไปหน่อย สีหน้าขาวซีดเผือกราวกับคนป่วย ตรงหว่างคิ้วมีความโศกเศร้าที่ปกปิดไว้ไม่มิด ทำให้ใบหน้าขาดสีสันไปมาก ซ่งชูอีมองอยู่ครู่ใหญ่จึงจำได้ว่าเด็กหญิงผู้นี้มิใช่คนอื่นใด ทว่ากลับเป็นจื่อเฉา
เด็กหญิงที่งดงามจับใจแม้ยามชีวิตตกต่ำในตอนนั้น บัดนี้กลับดูร่วงโรยเหลือเกิน!
“กั๋วเว่ย เชี่ย (ข้า) คืออวิ๋นซื่อ” มีรอยยิ้มงดงามอยู่บนใบหน้าของฮูหยินหน้ากลมผู้นี้ ท่าทางภูมิฐานทำให้นางดูมีอายุขึ้นเล็กน้อย
“คำนับฮูหยินอวิ๋น” ซ่งชูอีคำนับอีกครั้ง “ไม่ทราบว่าฮูหยินอวิ๋นและฮูหยินเฉามาด้วยตัวเองมีธุระใดรึ?”
ฮูหยินอวิ๋นก้าวมาข้างหน้าเล็กน้อย เอ่ยว่า “วังหลังของฝ่าบาทมีผู้หญิงน้อย และส่วนใหญ่ล้วนไม่เป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาท เมื่อพิจารณาถึงรัชทายาทแล้ว ควรที่จะรับเด็กหญิงใหม่ๆ เข้าวังบ้าง”
อิ๋งซื่อไม่ใช่ผู้ที่มักมากในกาม เกรงว่าในทางกลับกันคิดว่ายิ่งผู้หญิงน้อยปัญหาก็จะยิ่งน้อยตาม ทว่าซ่งชูอีไม่มีความจำเป็นที่จะบอกพวกนางเรื่องนี้
“อืม” ซ่งชูอีพยักหน้า จากนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย “เช่นนั้นไม่ทราบว่า…”
ฮูหยินอวิ๋นเหลือบมองจื่อเฉา ป้องปากหัวเราะพลางเอ่ยว่า “ในจวนของกั๋วเว่ยมีหญิงงามมาก เชี่ยได้ยินว่าฝ่าบาทโปรดเจียวเจียวคนหนึ่งในจวนของท่าน นั่นคือเหตุผลที่ข้ามาขอนางในวันนี้ หวังว่ากั๋วเว่ยจะไม่ถือสา”
ซ่งชูอีอึ้งไปครู่หนึ่ง เข้าใจในทันทีว่าเจียวเจียวผู้นี้เป็นใครไปไม่ได้นอกจากหมี่จี
ฮูหยินอวิ๋นส่งสายตาให้จื่อเฉาเงียบๆ หลายรอบ แต่จนปัญญาที่อีกฝ่ายแข็งทื่อไม่ตอบคำราวกับท่อนไม้ นางก็ไม่อาจกระทำอย่างโจ่งแจ้งเกินไปต่อหน้าซ่งชูอี จึงทำได้เพียงเตือนสติด้วยเสียงไอ
ซ่งชูอีสอดมือไว้ในแขนเสื้อยิ้มเอ่ยว่า “เจียวเจียวคนนั้นที่ฮูหยินอวิ๋นกล่าวถึง ข้าก็รู้สึกว่าฝ่าบาทเหมือนจะปฏิบัติต่อนางต่างออกไปจริงๆ ทว่านางเป็นผู้ดูแลของจวนข้า หากจากไปกะทันหัน ทั้งจวนของข้าก็ไม่วุ่นวายหรอกหรือ?”