บทที่ 305 จับมือฝ่าเมฆฝน (2)

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

ทั้งสองเปลือยเปล่า ผิวหนังแนบชิด เส้นผมที่กระจัดกระจายเต็มหมอนห้อมล้อมพวกเขาไว้

เจ้าอี่โหลวหาทางเข้าไม่เจอจึงเอื้อมมือเข้าไปในหุบเขาและลูบมันเบาๆ

ส่วนที่นุ่มนิ่มของนางนั้นราวกับเด็กทารกมิปาน เจ้าอี่โหลวไม่กล้าออกแรงแม้แต่น้อย กลัวว่าจะทำให้นางบาดเจ็บ

ซ่งชูอีรู้สึกว่าจุดนั้นเมื่อยล้าอ่อนแรงภายใต้การสัมผัสของนิ้วที่ร้อนดุจไฟของเขา แม้แต่ท้องน้อยก็รู้สึกเมื่อยล้า ทั้งตัวอ่อนแรงราวกับแอ่งน้ำฤดูใบไม้ผลิ ในสมองวุ่นวายสับสน

นับตั้งแต่ครั้งแรก เจ้าอี่โหลวก็มิได้ดื่มดำไปกับการเสพสมมาร่วมเดือนแล้ว ครั้งนั้นไม่เพียงซ่งชูอีได้รับบาดเจ็บ เขาเองก็ทรมาน ส่วนลับของเขาเจ็บปวดรุนแรง เพียงถูกสิ่งนั้นรัดแน่นแล้วก็อ่อนตัวลงเสียแล้ว ยังไม่ได้ลิ้มรสถึงความสุขสักเท่าไร

เขาจับจุดสำคัญไม่ได้อยู่ครู่หนึ่ง ความอดทนแทบจะหมดลงไปชั่วขณะ ความต้องการในร่างกายของเขาทำให้เขาแทบคลั่ง เขารู้สึกความอ่อนโยนนั้นอยู่ในมือและต้องบังคับตัวเองให้ระมัดระวัง

ในขณะที่เขากำลังร้อนใจ จู่ๆ นิ้วก็สัมผัสกับ**ที่นุ่มและลื่น เขาตามมันเข้าไปโดยไม่รู้ตัว นิ้วของเขาค่อยๆ จมลงไป

เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมบุกรุก ร่างกายของซ่งชูอีแข็งทื่อ หวนระลึกเล็กน้อย นางจำได้ว่าคราวที่แล้วไม่ใช่จุดนี้นี่นา รู้สึกแปลกใจ แต่ความว่างเปล่าและความปรารถนาที่มาจากจุดนั้นทำให้นางไม่พูดอะไร ปล่อยให้เขาเข้าไป

“เจ็บรึไม่?” บัดนี้นิ้วของเจ้าอี่โหลวเข้าไปหนึ่งข้อแล้ว

ซ่งชูอีส่ายหน้า

ครั้นเจอจุดที่ถูกต้อง เจ้าอี่โหลวก็ดึงนิ้วออกทันที แล้วสอดใส่ส่วนลับของตัวเองเข้าไป

ครั้งนี้กลับยากลำบากกว่าหลายเท่า พยายามอยู่นานแต่ก็เข้าไปแค่หน่อยเดียว เจ้าอี่โหลวต้องการจะเขยิบไปข้างหน้าอีก ทว่ากลับได้ยินซ่งชูอีส่งเสียงอู้อี้

เขาหยุดชะงัก ความอบอุ่นที่รัดแน่นเบื้องหน้าเป็นแรงดึงดูดที่ร้ายแรงอย่างชัดเจน ทว่าเมื่อเงยหน้าเห็นว่านางขมวดคิ้วเข้าหากันก็ตกอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทำได้เพียงถูไถเบาๆ พร้อมก้มตัวลงไปจูบนาง

ซ่งชูอีเงยหน้าขึ้นเห็นใบหน้าแดงก่ำของเขา ราวกับมีชั้นหมอกบางๆ ผุดขึ้นในดวงตา คิ้วขมวดกันเล็กน้อย ดูทั้งเพลิดเพลินสุดขีดและเจ็บปวดในเวลาเดียวกัน นางใจอ่อน เอื้อมมือโอบรอบคอของเจ้าอี่โหลว กระซิบเสียงต่ำ “เมื่อครู่ยังไม่ทันปรับตัว เจ้าเข้ามาตอนนี้เถิด”

มือหนึ่งของซ่งชูอีปิดตาเขา อีกมือหนึ่งโอบรอบคอของเขาไว้ จูบริมฝีปากของเขาอย่างประณีต

ราวกับต้องคำสาป เจ้าอี่โหลวได้มาถึงขีดจำกัดแล้ว เมื่อได้ยินดังนี้ เจ้าแข็งๆ สิ่งนี้ก็เริ่มออกแรงเคลื่อนตัวไปข้างหน้า

อาการเมื่อยล้าและอาการระคายเคืองทั้งหมดหายไปโดยฉับพลัน ความเจ็บปวดคล้ายการฉีกขาดทำให้ซ่งชูอีตื่นจากตัณหาอย่างสมบูรณ์ แม้จะเจ็บมากทว่านางก็รู้สึกได้ถึงความใกล้ชิดของเลือดเนื้อที่หล่อหลอมเข้ากันระหว่างทั้งสองคน เป็นความรู้สึกที่นางไม่มีในครั้งก่อน ดังนั้นนางจึงมิได้บอกให้หยุด

ความเจ็บปวดที่ลำไส้บิดตัวจากพิษร้าย นางยังไม่ส่งเสียงฮึดฮัดเลย เรื่องแค่นี้จะไปยากอะไร?

เจ้าอี่โหลวรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างปิดกั้นเส้นทาง ขณะที่ต้องการจะหยุดถาม คนที่อยู่เบื้องล่างกลับขยับตัวลงเล็กน้อย ความสุขรุนแรงแล่นไปทั่วร่างกายทันใด ในเวลานี้เองเขาก็รู้สึกอยากเร่งเร้าเพื่อระบายพลังทั้งหมดในร่างกายอันไร้ทางออกนี้ ทันทีที่ร่างกายท่อนล่างกระตุกเจ้าสิ่งนั้นก็เข้าไปทั้งหมด

การบีบรัดรุนแรงทำให้เขารู้สึกเสียวซ่าที่กระดูกสันหลังจนแทบจะทะลักออกมา

เจ้าอี่โหลวยกมือขึ้นต้องการที่จะคลายมือที่ปิดตาออก นางกลับพูดด้วยเสียงหายใจหอบ “อย่าขยับ”

ภายในห้องเงียงสงัด เสียงหายใจหอบรุนแรงนั้นชัดเจนเป็นพิเศษ

ท่ามกลางความเงียบงันชั่วขณะนี้ ความเจ็บปวดจากการฉีดขาดของร่างกายส่วนล่างของซ่งชูอีค่อยๆ จางหายไป นางรู้สึกว่าตรงนั้นของตนกำลังห่อหุ้มสิ่งของที่ร้อนและแข็งเอาไว้ ความรู้สึกเมื่อยล้าอ่อนแรงในตอนแรกถาโถมเข้ามาอีกครั้ง มันทั้งเติมเต็มและว่างเปล่า

เจ้าอี่โหลวรู้สึกว่าส่วนนั้นของตัวเองบวมเป่งและเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่ง คล้ายถูกปากนุ่มนิ่มหลายอันดูดเบาๆ หลายต่อหลายครั้ง ความรู้สึกเสียวซ่าไหลลงมาตามร่างกายส่วนล่างจนถึงอวัยวะต่างๆ ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นสุดขีด ทว่าทุกอณูร่างกายล้วนกำลังบอกเขาว่าไม่พอ มันยังไม่พอ…

เขาควบคุมไม่ได้อีกแล้วและผลักดันมันไปตามสัญชาตญาณ ทุกครั้งที่ความสุขทวีความรุนแรงขึ้นก็ทำให้การกระทำของเขายิ่งบ้าคลั่งขึ้นทุกที

ความเจ็บปวดจากการฉีกขาดเข้าครอบงำอย่างสมบูรณ์อีกครั้ง รูปร่างบอบบางของซ่งชูอีเคลื่อนไหวไปตามการกระทำของเจ้าอี่โหลว

หน้าผากของซ่งชูอีเต็มไปด้วยเหงื่อ ใบหน้าซีดขาวเปลี่ยนเป็นสีแดงอีกครั้งตามการเคลื่อนไหวที่ราบรื่นขึ้น

ผ้าปักลวดลายสีสันฤดูใบไม้ผลิบนเตียงถูกดันจนทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ เสื้อผ้าไหมสีขาวกระจัดกระจายอยู่ใต้ร่าง เส้นผมสีดำเลื้อยคดเคี้ยว มีความคลุมเครือเจือปนอยู่ในเสียงครางและเสียงหายใจหอบแผ่วเบา

หิมะหนักเท่าขนห่านที่ถูกสายลมตะวันตกพัดโปรยปรายข้างนอกตีกระทบช่องหน้าต่างเบาๆ เสียงไฟแตกเปรี๊ยะๆ ของเตาอั้งโล่ภายในห้องที่ดังขึ้นเป็นครั้งคราวถูกกลบด้วยเสียงเตียงดังเอี๊ยดอ๊าด

ซ่งชูอีขมวดคิ้ว ของลับไม่เพียงรู้สึกเจ็บแต่ยังรู้สึกแสบร้อนและระคายเคืองอย่างประหลาด ความเจ็บปวดนั้นผสมปนเปความสุขที่อธิบายไม่ได้

ท่ามกลางลมพายุอันบ้าคลั่งนี้ นางพยายามเกร็งในจุดที่เจ็บปวดและอ่อนล้าที่สุด รู้สึกว่าจุดนั้นบวมเป่งขึ้นทุกที และเมื่อมาถึงจุดสูงสุด นางก็รู้สึกว่าท้องน้อยกระตุกอย่างรุนแรง

เบื้องหน้าของซ่งชูอีเป็นสีขาว ในสมองมีเสียงหึ่งๆ สติสัมปชัญญะเริ่มไม่ชัดเจน มือที่ปิดตาเขาค่อยๆ เลื่อนหลุดลง

ขณะที่ท้องน้อยของนางกระตุกนั้น เจ้าอี่โหลวรู้สึกว่าเจ้าสิ่งนั้นถูกดูดอย่างหนักโดยปากเล็กๆ หลายพันปาก เขาส่งเสียงคำรามต่ำ กระแทกอย่างแรงสองสามครั้ง แล้วของเหลวก็ไหลพ่นออกมา

ความรู้สึกเสียวซ่ากระจายจากกระดูกสันหลังส่วนล่างไปยังกระดูกสันหลังทั้งหมด เขาล้มลงบนตัวนางเบาๆ

พักอยู่ครู่หนึ่ง เจ้าอี่โหลวจึงรู้สึกว่าคนที่อยู่ด้านล่างไม่เคลื่อนไหว รีบลุกขึ้นเรียก “หวยจิน หวยจิน!”

ซ่งชูอีได้ยินเสียงเลือนราง ส่งเสียงหึๆ อย่างไร้เรี่ยวแรงเป็นคำตอบ

เจ้าอี่โหลวรู้สึกว่านางหายใจสม่ำเสมอจึงโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย เขาดึงเสื้อของตัวเองขึ้นมาสวมใส่ กลับเห็นรอยสีแดงสดเหมือนดอกไห่ถังที่ชายเสื้อ

เขารีบแยกขาของซ่งชูอีออกเพื่อตรวจดูว่านางได้รับบาดเจ็บหรือไม่ การมองเห็นของเขาเป็นเลิศแม้ในที่ที่แสงสว่างไม่เพียงพอ และสามารถเห็นว่าด้านล่างของนางเป็นสีขาว โดยรอบที่เพิ่งถูกกระแทกนั้นเป็นสีชมพู ตรงกึ่งกลางของดอกไม้เรืองแสงด้วยสีแดงสด ดูเหมือนไม่มีบาดแผล ทว่าเขาสำรวจไปสำรวจมา การหายใจก็หนักหน่วงขึ้นอีกครั้ง สิ่งที่เพิ่งอ่อนตัวลงไปตั้งตรงกลับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

เจ้าอี่โหลวแอบรำคาญตัวเอง ลุกขึ้นคลุมเสื้อคลุม ใช้ผ้านวมม้วนตัวซ่งชูอีแล้วอุ้มนางไปยังห้องอาบน้ำ

การมีบ่อน้ำร้อนในบ้านมันก็ดีอย่างนี้ มีน้ำร้อนให้ใช้ทุกเมื่อ

ข้างนอกหิมะตกหนัก อากาศหนาวเย็นปลุกซ่งชูอีจากสภาวะกึ่งรู้สึกตัว

นางลืมตาขึ้นเห็นสีขาวคลุ้ง สูดหายใจเข้าลึกๆ

เจ้าอี่โหลวหลุบตาลงมองนาง สายตาเปี่ยมไปด้วยความกังวล “เจ็บหรือไม่?”

ซ่งชูอีเหลือบมองเขา ฝังหน้าครึ่งหนึ่งไว้ในผ้านวม รู้สึกถึงความปวดแสบปวดร้อนตรงบริเวณนั้น ทว่าเมื่อเทียบกับความเจ็บปวดแสนสาหัสคราวก่อนเมื่อครึ่งเดือนที่แล้ว มันดีกว่ามากโขจริงๆ!

“ไม่เจ็บ!”

ทันทีที่ซ่งชูอีพูดจบ ทั้งสองคนก็ตกอยู่ในความเงียบทันใด

ผ่านไปสักพัก เจ้าอี่โหลวก็หัวเราะเย้ยหยันออกมา เขาเองก็รู้ว่าคราวที่แล้วเขาไม่ได้เข้าทางนี้…

ความรู้สึกทั้งสองครั้งก็ต่างกันราวฟ้ากับเหว แม้ว่าซ่งชูอีจะยังเจ็บมากแต่ก็เห็นได้ชัดว่าความรู้สึกมันต่างกัน เช่นนั้นคราวก่อนเข้าผิดทางหรือ?

นางรู้สึกอับอายเป็นครั้งแรกในชีวิต ไอแห้งทีหนึ่ง “สี่เท้ายังรู้พลาด”

“ยิ่งลบยิ่งดำ” ยากยิ่งนักที่เจ้าอี่โหลวจะมีโอกาสหัวเราะเยาะนาง มีเหตุผลใดเล่าที่จะปล่อยไป “ปากเจ้าก็เอาแต่ขู่คน ทว่ารู้ทักษะน้อยกว่าคนทั่วไปเสียอีก ครั้งก่อนก็เกือบทำข้าพิการเสียแล้ว”

บาดแผลสามารถรักษาให้หายได้ ทว่าหากเจ้าสิ่งนั้นหักงอมันก็จะไม่ตรงอีกต่อไป เมื่อทุกสิ่งเปลี่ยนผันตามเวลา เจ้าอี่โหลวจึงกล้าที่จะหยิบยกเรื่องนี้เป็นเรื่องขบขัน

“จริงรึ?” ซ่งชูอีเบิกตาโพลง

เจ้าอี่โหลวตอบรับว่าอืม คิดในใจ เจ้าสำนึกผิดเสียบ้างเถิด

ซ่งชูอีเบะปาก “จิ๊ ข้าเห็นว่ามันก็แข็งดี ยังนึกว่าเป็นง้าวเงินหรือดาบทองเสียอีก ที่แท้ก็เป็นวัตถุดินเผานี่เอง!”

ใบหน้าหล่อเหลาของเจ้าอี่โหลวมืดมน กอดนางไว้แน่น กัดฟันเอ่ย “ซ่งหวยจิน เชื่อหรือไม่ว่าข้าโยนเจ้าออกไปตอนนี้ได้เลย!”

ซ่งชูอีซบหน้าอกของเขาพร้อมหัวเราะคิกคัก “ที่รัก เจ้าทำไม่ได้หรอก”

เจ้าอี่โหลวพ่นลมหายใจเย็นชา หากไม่ใช่เพราะเพิ่งมีความสัมพันธ์กัน ใครว่าเขาทำไม่ได้! ในทางกลับกัน…หิมะข้างนอกหนาเพียงนั้นทั้งยังมีผ้านวมสองผืน ตกลงไปก็ไม่เจ็บ

เมื่อมาถึงห้องอาบน้ำ เจ้าอี่โหลวประคองนางด้วยมือหนึ่ง หยิบโคมไฟใต้ระเบียงเข้ามาในห้อง ถอดฝาครอบด้านนอกออกและจุดไฟทีละดวง

“เจ้าอาบก่อน ข้าจะกลับไปเอาเสื้อผ้า” เจ้าอี่โหลววางนางลงบนตั่ง

“พาข้าไปที่ข้างสระ ก็จะลากผ้านวมเข้าไปไม่ได้ หากเปลือยเปล่าข้าก็จะอาย” ซ่งชูอีกล่าวอย่างเกียจคร้าน

เจ้าอี่โหลวไร้คำพูด ม้วนผ้านวมเงียบๆ แล้วอุ้มนางเข้าไป

ซ่งชูอีออกคำสั่ง “หันเท้าไปทางสระน้ำ ต่ำหน่อย”

เจ้าอี่โหลวไม่รู้ว่านางต้องการจะทำอะไร ทว่าก็ทำตามคำที่บอก

“เบาหน่อย” ซ่งชูอีเอี้ยวๆ ตัว ค่อยๆ เลื่อนตัวลงจากรูผ้าห่ม จนกระทั่งเท้าแตะหินในสระแล้ว นางจึงเลื่อนทั้งตัวออกจากรูผ้าห่มแล้วนั่งลงไปโดยตรง

เจ้าอี่โหลวมองดูด้วยความตกตะลึง วิธีพิศดารเช่นนี้ ท่าทางยากลำบากเช่นนี้…

ซ่งชูอีเหยียบก้นสระ พิงอยู่ข้างสระหลับตาลงผ่อนคลาย “เจ้าบอกว่าจะไปเอาเสื้อไม่ใช่รึ? เอาผ้านวมคลุมไว้เถิด จะได้ไม่เป็นหวัด”

เจ้าอี่โหลวรู้สึกอบอุ่นใจเล็กน้อย ที่แท้ก็ต้องการยกผ้านวมให้เขาใช้

ครั้นซ่งชูอีได้ยินเสียงฝีเท้าจากไปแล้วจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น เห็นว่าประตูปิดลงก็รีบยกมือขึ้นลูบใบหน้า ทอดถอนใจ “แม่เจ้าโว้ย ข้าละอายใจจริงๆ เลย!”

นี่เป็นครั้งแรกในสองชีวิตรวมกันเชียว! แม้แต่ตอนที่นางยังเด็กศิษย์พี่ใหญ่ก็พานางไปดูคนอื่นเสพสมกันเป็นครั้งแรก นางก็ไม่เคยใจเต้นและหน้าแดงมาก่อน ต่อมาเห็นมากเข้าก็ยิ่งชินชา ไม่รู้ว่าศิษย์พี่ใหญ่แอบมองอะไรทุกวัน

ไอร้อนลอยขึ้นจากบ่อน้ำร้อนซ้ำๆ ใบหน้าของซ่งชูอีแดงก่ำ สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าล้วนเป็นฉากบนเตียงทั้งหมดก่อนหน้านี้ คิ้วตางดงามของเจ้าอี่โหลวที่เปี่ยมไปด้วยแรงปรารถนา ร่างกายที่แข็งแกร่งปกคลุมไปด้วยเหงื่อ เสียงร้องครางอย่างหมดความอดทน…รวมทั้งการสั่นกระตุกแปลกๆ ในร่างกายของนางเองและความสุขที่ปะปนอยู่ในความเจ็บปวด

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาเปลือยกาย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกละอายใจจริงๆ

เจ้าอี่โหลวกลับมาพร้อมกับเสื้อผ้า เห็นว่าตั้งแต่ส่วนจมูกลงมาของซ่งชูอีจมอยู่ใต้น้ำทั้งหมด หลับตาลงราวกับว่ากำลังพักผ่อน ใบหน้าราวกับถูกย้อมด้วยสีควัน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่าร้อนหรือสาเหตุอื่น

เขาปลดเสื้อผ้าออกพลางเดินเข้าไปใกล้ เห็นว่านางไม่มีปฏิกิริยาแม้แต่น้อยจึงวางแขนบนขอบสระแล้วเอนตัวไปเรียก “หวยจิน?”

ขนตาของซ่งชูอีสั่นไหว ลืมตาขึ้น เห็นใบหน้าหล่อเหลาของเขาเอียงมา “เข้ามาเถิด”

ทันที่สิ้นเสียงนั้น เจ้าอี่โหลวหน้าแดงกะทันหัน

ซ่งชูอีหายใจแล้วน้ำก็เข้าจมูก นางต้องการที่จะยืนขึ้นทว่าเท้ากลับลื่น คิดไม่ถึงว่านางจะจมลงใต้สระน้ำทั้งตัว!

เจ้าอี่โหลวตกใจ ยังไม่ทันจะถอดเสื้อก็กระโดดเข้าไปในน้ำและดึงนางขึ้นมา

“แค่ก แค่ก!”

“เหตุถึงได้ไม่ระวังเช่นนี้!” เจ้าอี่โหลวตำหนิเล็กน้อย เอื้อมมือตบหลังของนางเบาๆ

ลิ้มรสแรกของความสุข การแนบแน่นในขณะนี้มีเพียงแค่ชั้นผ้าไหมบางๆ กั้น บรรยากาศเปลี่ยนเป็นคลุมเครือขึ้นมาทันใด

ชุดคลุมสีขาวลอยขึ้นบนผิวน้ำ เลือดของการมีเสพสมครั้งแรกที่เปื้อนชายเสื้อผ้ากำลังเบ่งบานราวกับดอกบัวแดง ผมดำที่เปียกน้ำของทั้งสองคนติดอยู่บนแก้ม มันเลื้อยคดเคี้ยวจากไหล่และคอไปยังหน้าหลังและแผ่นหลัง แตกตัวอยู่ในน้ำราวกับน้ำหมึดสาดกระเซ็นมิปาน

“หวยจิน” เจ้าอี่โหลวก้มหน้าลงขบริมฝีปากของนางเบาๆ

ถูกผ้าม่านปักลายดวงจันทร์ที่ยาวลากพื้นบดบังเสียครึ่งหนึ่ง เสื้อไหมของเขาร่วงหล่นและลอยอยู่บนน้ำ