บทที่ 351 ไปได้ดี

คู่ชะตาบันดาลรัก

บุรุษชุดดำเดินเข้ามาเขาประสานมือทำความเคารพ “เมื่อครู่ข้าทำให้ท่านขุ่นเคืองไม่พอใจแม่นางโปรดร่วมดื่มชากับข้าได้หรือไม่”

เมื่อเห็นหมิงเวยไม่ขยับเขาจึงพูดอีกว่า “พบกันใหม่ในแดนไกลถือว่าเป็นพรหมลิขิต แม่นางเดินทางมาทุ่งหญ้าทั้งทียังไม่เคยดื่มชาเลยใช่หรือไม่ จวนช่างจื้อมีแม่ครัวจากแดนใต้สามารถชงชาให้ท่านดื่มได้”

เขาพูดเสียงอ่อนในที่สุดหมิงเวยก็มีท่าทีลังเลนางหมุนตัวกลับมาถามว่า “ทำปิงเล่า[1]เป็นหรือไม่”

ปิงเล่าจำเป็นต้องใช้น้ำแข็ง แต่หูเหรินมีแหล่งน้ำแข็งน้อยมากแล้วจะไปหาของว่างที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ได้อย่างไร

บุรุษชุดดำตอบว่า “บังเอิญเสียจริงในเมืองหยุนไฉมีเพียงจวนช่างจื้อเท่านั้นที่มีอุโมงค์เก็บน้ำแข็งได้”

หมิงเวยยิ้มออกมา “ได้ เห็นแก่ปิงเล่าข้าจะไว้หน้าพวกท่านนำทางได้เลย!”

บุรุษชุดดำขยิบตาให้พระอาจารย์ช่างจื้อเขาคิดว่าอย่างไรเสียนางก็เป็นเด็กสาวแค่ปิงเล่าก็ทำให้นางเปลี่ยนใจแล้ว เขาเชื่อไปอย่างนั้นโดยไม่รู้ตัว…

ครึ่งชั่วยามต่อมาหมิงเวยก็ได้ทานปิงเล่าหนึ่งชามจนพอใจ

ตั้งแต่เดินทางออกจากเกาถางนางไม่ได้ทานอาหารเย็นเช่นนี้มาสามเดือนแล้ว แต่สามเดือนนี้เป็นช่วงที่ร้อนที่สุดของปี แม้ลำบากที่จะได้ทาน แต่ผู้ใดจะไม่รับมันล่ะ ไฟหลายดวงถูกจุดขึ้นภายในห้องทำให้ห้องโถงกว้างสว่างไสวมาก

บุรุษชุดดำอาศัยแสงสว่างมองดูหมิงเวยเงียบๆ

เด็กสาวผู้นี้อายุไม่น่าเกินสิบห้าสิบหกปีมีผิวที่บอบบาง งดงามเหนือผู้ใด ดูก็รู้ว่านางถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี นอกจากนี้นางมีความเจาะจงเรื่องการรับประทาน อีกทั้งมารยาทที่สง่างามบ่งบอกว่านางต้องมีภูมิหลังที่ดีเป็นแน่

รอจนนางทานเสร็จเขาจึงเอ่ยปากถามว่า “แม่นางมีนามว่าอะไรหรือ”

“ข้าแซ่หมิงนามว่าเวย”

“แม่นางหมิง…”

“ท่านถามชื่อของข้าแล้วท่านไม่คิดจะบอกชื่อของตนเองหรือ” หมิงเวยพูดตัดบทเขา

บุรุษชุดดำถอนหายใจเล็กน้อยและพูดว่า “ข้าไม่ได้ใช้ชื่อนี้มานานมากแล้วเลยลืมไปชั่วขณะ ข้าแซ่เชิ่งอยู่อันดับที่เจ็ดทุกคนเรียกข้าว่าเชิ่งชี”

“อ้อ ท่านเชิ่งชี…”

หมิงเวยมองเขาตรงๆ ดูจากรูปลักษณ์แล้วเขาน่าจะอายุห้าสิบปี ใบหน้าดูมีอายุ คิ้วและเคราเริ่มเป็นสีดอกเลาดูเหมือนว่าชีวิตที่ผ่านมาคงจะไม่ค่อยดีนัก

คนจงหยวนแอบซ่อนตัวอยู่ในทุ่งหญ้าอีกทั้งยังมีลักษณะเช่นนี้เป็นไปได้หรือไม่ว่าสถานะที่เป็นที่รู้จักของเขาจะเป็นเพียงทาส ชาวหูเหรินจับคนจงหยวนส่วนหนึ่งมาเป็นทาส และคนพวกนี้เป็นได้แค่ทาสใช้แรงงานในทุ่งหญ้าเท่านั้น คนที่มีทักษะเช่นเขาคงไม่ใช่เช่นนั้นหรอกนะ

“ข้าไม่ได้กลับไปที่จงหยวนนานแล้วเมื่อเห็นการแต่งกายของแม่นางจึงสงสัยไม่ทราบว่าท่านมาจากตระกูลใดงั้นหรือ”

“อ้อ ปกติข้าอยู่ที่เมืองหลวง” นางไม่ได้โกหกตระกูลจี้อยู่เมืองหลวงอยู่แล้ว

“แล้วเหตุใดแม่นางถึงเดินทางมาที่ทุ่งหญ้านี้กัน ดูจากลักษณะของท่านแล้ว ท่านไม่ใช่คนที่ขาดแคลนเรื่องการเงินเลย”

“แน่นอน” หมิงเวยตอบอย่างไม่ใส่ใจ “เมืองหลวงไม่มีเรื่องน่าสนุกข้าจึงแอบออกมา และได้พบกองคาราวานนี้ระหว่างทาง พวกเขาบอกว่าจะเดินทางมายังทุ่งหญ้าข้าไม่เคยไปทุ่งหญ้ามาก่อนจึงอยากเดินทางมาเห็นด้วยตาตนเอง!”

“อย่างนี้นี่เอง…” ทั้งสองคนพูดคุยกันเสียงเบาไม่นานเชิ่งชีก็ทำความเข้าใจถึงที่มาของเด็กสาว

นางไม่สนใจว่าผู้ใดจะเป็นอย่างไรสนใจเพียงแค่ว่าตัวเองจะทำให้ตัวเองดีที่สุด ปรมาจารย์แห่งชีวิตอาศัยอยู่ในเมืองหลวง ผู้อาวุโสที่ถ่ายทอดวิชาให้แก่นางไม่มีชีวิตอยู่แล้ว ซูรื่อฉู่เองก็ได้รู้จักกับนางโดยบังเอิญ และได้ติดต่อกับเด็กสาวผู้นี้หลายครั้ง

เขาถูกใจการสืบทอดของเด็กสาวผู้นี้ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตจึงได้มอบป้ายสัญลักษณ์ให้แก่นาง แต่กลับไม่มีเวลาอธิบายสถานะของตนเอง

เชิ่งชีพยักหน้าเงียบๆ กลุ่มดาวของพวกเขาจำเป็นต้องซ่อนตัวตนน้อยมากที่จะรับศิษย์ หากเป็นเขาการได้พบเด็กสาวผู้นี้จะต้องเกิดใจเต้นอย่างแน่นอนการเลือกของซูรื่อฉู่จึงเป็นที่เข้าใจได้เพราะตอนนี้ตนเองก็ใจเต้นเช่นกันเด็กสาวที่ดูไม่เข้าใจโลกเช่นนี้แต่กลับมีความแข็งแกร่งหากใช้นางเพื่อประโยชน์ของตนก็คง…

………….

เมื่อหมิงเวยกลับมาถึงท้องฟ้าก็สว่างเสียแล้ว

ตัวฝูที่รอนางมาทั้งคืนเมื่อเห็นอีกฝ่ายกลับมาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “คุณหนูไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่เจ้าคะคนผู้นั้นลงมือหรือไม่ ไม่ได้รับบาดเจ็บใช่หรือไม่เจ้าคะ”

“ข้าไม่เป็นไร” หมิงเวยเหนื่อยมากนางเล่นละครมาทั้งคืนช่างเหนื่อยยิ่งกว่าการต่อสู้เสียอีก

นางโบกมือ “พรุ่งนี้ค่อยคุยกันข้าขอนอนก่อน…” นางนอนพักจนถึงช่วงบ่ายของวันถัดมา นางล้างหน้า และบ้วนปากจากนั้นก็เดินออกมาจากห้อง และก็พบว่าซูถูยืนอยู่ข้างนอก

หมิงเวยประหลาดใจ “องค์ชายซูถูท่านทำตัวเป็นเทพประจำประตูในขณะที่ข้าหลับหรือ ข้ารู้สึกปลื้มใจจริงๆ”

“….” ซูถูพูดว่า “เมื่อคืนท่านไปที่ใดมาหรือ”

“จวนพระอาจารย์ช่างจื้อ!” นางตะโกนเสียงดัง “ตัวฝูอาหารของข้าล่ะ”

“มาแล้วเจ้าค่ะ!” ผ่านไปครู่หนึ่งตัวฝูก็มาพร้อมอาหารเมื่อเห็นว่าซูถูยังคงอยู่ที่นี่จึงถามอย่างสุภาพว่า “องค์ชายเจ็ดจะรับประทานอาหารที่นี่ด้วยหรือไม่เจ้าคะ”

นางแค่ถามพอเป็นพิธี แต่ไม่คิดว่าซูถูจะพยักหน้า “ได้”

ตัวฝู “…” นางไม่รู้จะถามอะไรแล้วก็ไม่มีข้าวเหลือแล้วด้วยดูเหมือนว่านางต้องสละส่วนของตนเองให้เขา!

หลังจากนั้นทั้งสองก็รับประทานอาหารร่วมกันสิ่งที่ทำให้หมิงเวยแปลกใจก็คือซูถูดูค่อนข้างเชี่ยวชาญในการใช้ตะเกียบ

“องค์ชายเจ็ดดูเชี่ยวชาญเรื่องวัฒนธรรมของจงหยวนเป็นอย่างดีนะเจ้าคะ”

ซูถูไม่ปฏิเสธ “จงหยวนได้นำหน้าพวกเราชาวหูเหรินในหลายๆ ด้าน แน่นอนว่าพวกเราต้องเรียนรู้จากพวกเขา”

“เช่นนั้นทั้งท่านและองค์ชายน่าซูสามารถพูดภาษาจงหยวนได้งั้นหรือ”

ซูถูตอบ “เผ่าของพวกเรามีท่านยายที่เป็นชาวจงหยวนนางเป็นคนสอนภาษาจงหยวนให้ข้าและน่าซู หลังจากนั้นข้าก็จับกุมบัณฑิตจากจงหยวน และขอให้พวกเขาสอนหนังสือแก่ข้า”

หมิงเวยชื่นชม “องค์ชายรักการเรียนรู้ไม่แปลกใจเลยที่จะประสบความสำเร็จเช่นนี้เจ้าค่ะ”

นางหมายถึงเรื่องของราชวงศ์เว่ยตะวันตก แต่ซูถูที่ไม่รู้กลับส่ายหัว “เช่นนี้เรียกว่าสำเร็จอะไรกัน”

เขามองหมิงเวย “แม่นางหมิงดูเหมือนจะรู้สถานการณ์ของเผ่าหมาป่าหิมะของพวกเรา”

หมิงเวยยิ้ม “ปกติองค์ชายเป็นคนพูดคำไหนคำนั้นซึ่งประจักษ์ชัดแจ้งอยู่แล้ว”

“เช่นนั้นท่านไม่คิดหรือว่าพฤติกรรมของข้าเป็นการไม่ซื่อสัตย์และอกตัญญู”

หมิงเวยคิดว่าสำหรับคนที่คิดก่อการกบฏจะมาไม่ซื่อสัตย์หรืออกตัญญูอะไรกันนางจึงตอบไปว่า “แพ้เป็นพระ ผู้ที่ไร้ศีลธรรมจรรยาเฉกเช่นสัตว์เดรัจฉานมีสถานที่นองเลือดมากมายในประวัติศาสตร์จงหยวน ความจงรักภักดี และความกตัญญูถูกนำมาใช้ควบคุมขุนนางไม่ใช่เพื่อเรียกร้องตำแหน่งเจ้าแผ่นดินเจ้าค่ะ”

“ที่แม่นางกล่าวมาก็ถูก แต่น่าเสียดายที่เหตุผลนี้คนจงหยวนอย่างพวกท่านคงไม่เข้าใจ”

หมิงเวยพูด “ถ้าคนส่วนใหญ่เข้าใจคนก่อกบฏคงไม่มีมากมายเช่นนี้ไม่ใช่หรือเจ้าคะ”

“ก็จริง” ทั้งสองคุยกันอยู่ครู่หนึ่งและในที่สุดก็เข้าสู่หัวข้อถัดไป

หลังจากทานอาหารเสร็จหมิงเวยก็หงุดหงิดเล็กน้อย “องค์ชายมาหาข้าคงอยากคุยเรื่องที่ข้าไปที่จวนพระอาจารย์ช่างจื้อเมื่อคืนใช่หรือไม่ มีอะไรอยากถามก็ถามมาเถิดเจ้าค่ะ อีกสักพักข้าจะไปนอนกลางวัน”

เพิ่งตื่นยังจะไปนอนอีกหรือซูถูกลืนคำพูดนั้นลงไปแล้วถามว่า “แม่นางไปที่จวนช่างจื้ออยู่นานกว่าจะกลับมาคงไม่ได้มีเรื่องทะเลาะกันใช่หรือไม่”

“แน่นอนเจ้าค่ะ” หมิงเวยจิบชาแล้วตอบกลับว่า “ข้าสนทนากับพวกเขา”

“พวกเขางั้นหรือ”

หมิงเวยวางถ้วยชาและยิ้มให้เขา “เรื่องที่รับปากท่านข้าทำให้แล้ว แต่ทำอย่างไรข้าหวังว่าองค์ชายจะไม่ยื่นมือเข้ามายุ่งกล่าวโดยสรุปก็คือพระประสงค์ของเทพเจ้าที่เผ่าฉีหูต้องการจะไม่ตกไปถึงมือของหัวหน้าเผ่าฉีหูแน่นอน” ซูถูมองนางโดยไม่พูดอะไร

“ท่านไม่เชื่อหรือ…ถ้าเช่นนั้นพวกเรายุติความร่วมมือกันดีหรือไม่เจ้าคะ อย่างไรเสียทางจวนพระอาจารย์ช่างจื้อก็สามารถทำเงินได้เช่นกัน”

หลังจากนั้นไม่นานซูถูก็กัดฟันพูดว่า “ได้! ข้าจะเชื่อท่านสักครั้ง!”

………………

[1] ปิงเล่า : ของหวานที่มีลักษณะคล้ายหวานเย็น มีส่วนผสมหลากหลายแตกต่างกันไป เช่นผลไม้ น้ำผลไม้ นมวัว ดอกเก็กฮวย น้ำแข็งฯลฯ