บทที่ 69 ผู้วิเศษสามประเภทที่อันตรายที่สุด

เมื่อผมโดนระบบครองร่าง

บทที่ 69 ผู้วิเศษสามประเภทที่อันตรายที่สุด

หลังจากเฉียวจื่อซานตรวจสอบก็เริ่มเข้าใจ ใบหน้าของเขาผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย จากนั้นเขาก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย “อาสวี่ไปสอนสโมสรฝึกบำเพ็ญเศรษฐีที่เพิ่งเปิดใหม่เพราะแพ้น้าไห่ไม่ใช่เหรอ พวกเขาทุกคนเป็นแค่คนธรรมดา มีแค่สามคนเท่านั้นที่เป็นผู้มีความสามารถพิเศษ และยังไม่มีประเภทโจมตีด้วย อามีหน้าที่รับผิดชอบสอนเท่านั้น ทำไมถึงได้ถูกพลังปราณแว้งกัดและยังบาดเจ็บภายในรุนแรงขนาดนี้ล่ะ”

สวี่เว่ยหวาส่ายหน้า “อย่าเพิ่งถามหาสาเหตุเลย บอกมาก่อนว่าจะแก้ไขได้ไหม”

เฉียวจื่อซาน ”ตอนนี้ย่อมไม่มีปัญหาที่จะจัดการมัน โชคดีที่ผมมาที่นี่เพื่อเลือกต้นกล้าที่จะสืบทอดวิธีการฝึกบำเพ็ญพลังปราณ ไม่อย่างนั้นถ้าอามาหาผมช้าไปหนึ่งวันล่ะก็ พลังปราณนี้จะปักหลักอยู่ในร่างกายของอา เมื่อใดก็ตามที่มีความคิดชั่วร้ายก็จะออกฤทธิ์ครั้งหนึ่ง จนกระทั่งสองสามเดือนถึงค่อยๆ หายไป ผมจะช่วยขับออกให้เดี๋ยวนี้ แต่ผมรู้สึกได้ คนที่ทำร้ายอาดูเหมือนจะตั้งรับการป้องกัน น่าจะเป็นอาที่เป็นฝ่ายหาเรื่องก่อนถึงได้ถูกพลังปราณแว้งกัดใช่ไหมล่ะ”

เมื่อสวี่เว่ยหวาได้ยินว่าแก้ไขปัญหาได้ก็ค่อยวางใจ

หลังจากนั้นเขาก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย “จื่อซานมองได้แม่นยำมาก ตอนที่อยู่ในชั้นเรียนอาอยากจะเพิ่มเนื้อหาให้นักเรียนสักหน่อย ทำให้พวกเขาตกใจ และให้พวกเขารับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยเร็วขึ้น นึกไม่ถึงว่าจะมีผู้มีความสามารถพิเศษด้านทำอาหารคนหนึ่งเหมือนหลาน มีพลังปราณคุ้มร่าง อาเลยไม่ได้เตรียมรับมือ เมื่อถึงตาที่อาจะขู่เขาก็ถูกพลังปราณที่พุ่งออกมาจากร่างของเขาฉับพลันทำให้บาดเจ็บแล้ว ถือว่าอาโชคร้ายละกัน แต่ก็โชคดีที่ได้เจอเธอทันเวลา”

ก่อนหน้านี้เฉียวจื่อซานมักจะอยู่ข้างนอก ย่อมไม่รู้เรื่องทั้งหมดจึงรักษาสวี่เว่ยหวาพลางซักถาม

ถึงอย่างไรเขาก็คุ้นเคยกับพลังปราณยิ่งกว่าอะไร แม้หลับตาก็ไม่มีทางผิดพลาด

เขาฟังถึงตรงนี้ก็ถามแทรกขึ้น “ความสามารถพิเศษทำอาหารงั้นหรือ อาหมายถึงคนที่ชื่อฟางหนิงใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นผมก็พอจะนึกสาเหตุออกแล้ว มันต้องเป็นเพราะอัศวิน A แน่ๆ อาจเป็นเพราะอาสวี่ดูถูกคนธรรมดามาตลอด ถึงได้ถูกลงโทษครั้งนี้”

สวี่เว่ยหวาไม่ใส่ใจประโยคหลังของเฉียวจื่อซาน เขารู้ว่าหลานชายคนนี้พูดจาไม่น่าฟัง แต่ประโยคแรกที่เฉียวจื่อซานเอ่ยนั้นกลับดึงดูดความใจของเขาได้ “หลานเข้าไปพัวพันกับเขาได้อย่างไรกัน เขาฝึกฝนเส้นทางไร้ความปราณีไม่ใช่หรือ เขาอยู่คนเดียวมาตลอด นอกจากญาติของเขางูขาว เขาไม่สนใจมนุษย์หน้าไหนเลยไม่ใช่หรือ”

เฉียวจื่อซาน “ฟางหนิงไม่เหมือนคนอื่น ร้านอาหารที่เขาเปิดคือร้านอาหารที่อัศวิน A ใช้ ทำหน้าที่เป็นผู้กล้าหาญทุกวันและนอกเหนือจากการฝึกฝนวิธีไร้ความปราณีแล้ว นึกไม่ถึงว่าเขายังฝึกฝนวิธีที่มีพลังปราณด้วย ผมสัมผัสได้แต่ไม่เข้าใจว่าเขาฝึกฝนทั้งสองอย่างได้ยังไงและไม่เคยพูดถึงกับคนอื่น ตอนนั้นผมมองไม่ออกว่าพลังปราณของเขาอยู่ระดับไหน นักเรียนฟางหนิงคนนี้มีทักษะการทำอาหารที่ยอดเยี่ยมและมีส่วนเกี่ยวข้องกับอัศวินไม่น้อย คงจะแบ่งพลังปราณให้เขาคุ้มครอง ไม่อย่างนั้นไม่มีทางมีพลังปราณคุ้มร่าง

เมื่อดูจากจุดนี้ ตอนนี้ผมแน่ใจแล้ว ว่าพลังปราณของอัศวิน A อย่างน้อยสูงกว่าผมหนึ่งขั้น ถึงขั้นคุ้มครองคนที่เกี่ยวข้องได้ แต่เรื่องที่ผมพูดนี้ต้องเก็บเป็นความลับนะครับ อย่าบอกใครเด็ดขาดรวมทั้งจื่อเจียงด้วย วันนี้อาสวี่เจอเขาแล้ว ผมถึงได้อธิบาย อาจะไม่ได้ไม่ต้องติดค้างในใจ”

สวี่เว่ยหวาพยักหน้า “เป็นอย่างนี้นี่เอง อารู้แล้ว เบื้องลึกของอัศวิน A มีมากเหลือเกิน และไม่ใช่เรื่องดี ยังมีคนแอบจับตาเขาด้วย”

เฉียวจื่อซาน “อืม อาเข้าใจก็ดีแล้วครับ”

เมื่อสวี่เว่ยหวารู้สึกว่ากระแสปราณในร่างกายที่กระแทกอวัยวะภายในไม่หยุดค่อยๆ อ่อนลงและหายไป เขาจึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมาจริงๆ หลังจากนั้นแววตาก็เย็นเยือก

…………

ขณะที่เฉียวจื่อซานรักษาให้ครูฝึกสวี่ ในเวลานี้ทุกคนกำลังชมวิดีดิโอการสอน ทัศนคติของพนักงานต้อนรับก็ดีมาก คอยตอบคำถามทุกข้อของสมาชิกด้วยความเคารพ

หัวข้อชุดวิดีโอการสอนคือ “ผู้วิเศษสามประเภทที่อันตรายที่สุด”

ในวิดีโอการสอนแบ่งเป็นวิดีโอสั้นสามเรื่อง

ในวิดีโอสั้นเรื่องแรก หัวข้อคือ “ประเภทพูดไม่เข้าหูคำเดียวฆ่ายกครัว”

ทุกคนเห็นชื่อเรื่องก็ประหวั่นพรั่นพรึง ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะฉายหนังสยองขวัญหรือหนังฆาตกรรม

เจ้าหน้าที่ต้อนรับ “นี่เป็นกรณีจริงที่เกิดขึ้นในรัฐหนึ่งของประเทศมิอิ เพิ่งผ่านมา 27 วันเท่านั้น ข้อมูลที่เราได้รับจากสำนักงานร่วมกิจการพิเศษสากลเป็นความลับ ไม่มีทางเผยแพร่ในช่องทางสาธารณะใดๆ”

ตอนนั้นเอง สมาชิกคนหนึ่งก็ยกมือขึ้นสอบถาม “เรียนมาจะครึ่งค่อนวันแล้ว พวกเรายังไม่ทราบที่มาของสโมสรเศรษฐีแห่งนี้เลย คุณช่วยแนะนำก่อนได้ไหม”

พนักงานต้อนรับพยักหน้าแล้วตอบด้วยความเคารพ “แน่นอน สโมสรฝึกบำเพ็ญเศรษฐีที่คุณเข้าร่วมนั้นเชื่อมโยงกับโรงเรียนฝึกอบรมพิเศษของสำนักงานสัจธรรมที่เปิดขึ้นเป็นพิเศษสำหรับสังคมและใช้เพื่อเผยแพร่ความรู้การฝึกบำเพ็ญทั่วไป ตอนนี้ยังเป็นเพียงต้นแบบ การจัดสรรครูผู้สอนยังไม่พรั่งพร้อม เมื่อขยายขนาดใหญ่ขึ้นจะมีอาจารย์มาสอนมากขึ้น

แน่นอนว่ามีนักเรียนอย่างเป็นทางการอยู่ห้องข้างๆ พวกเขาได้รับคัดเลือกจากโรงเรียนทั่วประเทศ เป็นการรับสมัครนักเรียนกับโรงเรียนโดยคัดเลือกผู้ที่เก่งที่สุดในกลุ่มหัวกะทิ หลังจากการตรวจสอบต่างๆ ถึงจะออกบัตรเชิญโดยเฉพาะ พวกเขาพัฒนาเร็วมากและขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้แบ่งเป็นหกชั้นปี แต่ละชั้นปีมีตั้งแต่หลายสิบถึงหลายพันคน ตอนนี้คุณสวี่จากสำนักสัจธรรมของเราเป็นผู้นำการสอนเอง”

พนักงานต้อนรับคนนี้เป็นเพียงคนธรรมดา คอยตอบทุกคำถามอย่างละเอียดไม่ต้องให้คอยซักถามเพิ่ม

หลังจากฟังการแนะนำที่มาที่ไปแล้วก็ดูวิดีโอสั้น ทุกคนก็เข้าใจแหล่งที่มาที่น่าเชื่อถือได้ จึงตั้งใจดูมันอย่างเต็มที่

วิดีโอสั้นเรื่องแรกสั้นมาก ใช้เวลาเพียงสิบนาทีและเนื้อหาไม่ซับซ้อน

ชายหนุ่มมิอิขับรถกินลมเล่นกับแฟนสาว ไม่ทันระวังน้ำกระเด็นใส่วัยรุ่นที่เดินอยู่ริมถนน อีกฝ่ายร้องด่าเขา “พวกแกจะตายยกครัว” เขาไม่ได้หยุดรถขอโทษ แต่ยังด่ากลับ จากนั้นแฟนสาวในรถก็ชูนิ้วกลางให้อีกฝ่าย แล้วทั้งสองก็จากไปทันที

ต่อมาในคืนนั้นเองตำรวจสายตรวจพบว่าเขาและแฟนสาวเสียชีวิตขณะนอนหลับ หลังจากนั้นครอบครัวของเขาและแฟนสาวก็ทยอยเสียชีวิตอย่างลึกลับขณะนอนหลับเช่นกัน มีเพียงคนใช้ที่ครอบครัวจ้างมาเท่านั้นที่ไม่ได้รับอันตราย สุดท้ายจากการเฝ้าสังเกต พบว่าในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาครอบครัวของพวกเขาสองคนมีเพียงเขาและชายหนุ่มที่เดินผ่านเท่านั้นที่มีความขัดแย้งกัน

เจ้าหน้าที่ต้อนรับอธิบาย “ชายหนุ่มคนนี้ถูกหน่วยงานพิเศษที่เกี่ยวข้องของมิอิยิงตายในระหว่างกระบวนการจับกุม แต่ก่อนหน้านี้ เหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นหลายครั้งในประเทศอื่นๆ แล้ว แม้ว่าผู้ต้องสงสัยจะเป็นฆาตกรถูกฆ่าหรือจับกุมแล้ว แต่ก็ยังเกิดเหตุไม่หยุดหย่อน

“บางคนเริ่มสงสัยว่าเป็นการกระทำของปีศาจ วัยรุ่นคนนี้เป็นเพียงโฮสต์ของปีศาจตัวนี้เท่านั้น พวกเราเรียกฆาตกรโหดเหี้ยมนี้ว่า ประเภทพูดไม่เข้าหูคำเดียวฆ่ายกครัว แรงจูงใจการฆ่ามักมาจากความขัดแย้งเพียงหนึ่งหรือสองประโยค”

ทุกคนค่อนข้างตกใจหลังจากดูวิดีโอสั้นเรื่องนี้ ไม่มีทางที่จะป้องกันความตายที่ประหลาดแบบนี้ได้

ดูเหมือนครูฝึกสวี่ที่ปากร้ายเมื่อครู่ไม่ได้แค่ขู่พวกเขา ไม่รู้ว่าทุกวันในเสินโจวเกิดเรื่องแบบนี้มากสักเท่าไรและเป็นเรื่องธรรมดามาก พวกเขาถามตัวเองว่าหากยังพอมีความรู้ จะไม่มีทางเกิดเรื่องแบบนี้ใช่ไหม แต่ก็ไม่มีหลักประกันว่าคนในครอบครัวจะไม่ระวัง นั่นจะไม่เป็นอันตรายได้อย่างไร

ฟางหนิงไม่หวั่นกลัวสักนิดเพราะร่างกายถูกระบบครองร่าง มันไม่หลับไม่นอนหลับด้วยซ้ำ ส่วนเขาเองถ้าไม่มีเรื่องอะไรก็หลบอยู่ในอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ของระบบ ไม่น่าจะต้องกังวลว่าจะถูกปีศาจเจอตัว…

นอกจากเขาแล้ว ในบรรดานักเรียนยังมีชายวัยกลางคนสวมแว่นกรอบทองคนนั้น ท่าทางของเขาสงบมาก เพียงแต่จับแว่นตาทำทีครุ่นคิด แววตาเผยความจนใจและขัดแย้งแต่กลับมีแสงเย็นยะเยือกส่องสะท้อนบนเลนส์แว่นตา

วิดีโอสั้นเรื่องที่สองเกิดขึ้นในยุโรป

ชื่อเรื่องคือ “ประเภทหลอกเงินยึดร่าง”

เนื้อหาเรื่องนี้ค่อนข้างยาวกินเวลาครึ่งชั่วโมง

แต่เนื้อหากลับเรียบง่ายมาก ไม่มีการวางแผนสมรู้ร่วมคิด เป็นเรื่องราวของแม่มดชั่วร้ายที่ใช้เวลากว่าสิบปี ค่อยๆ เปลี่ยนคนในตระกูลเศรษฐีให้เป็นหุ่นเชิดของเธอ และสุดท้ายก็ให้ทรัพย์สมบัติแม่มดเสวยสุข

แม่มดถูกเปิดโปงเพราะสมาชิกในครอบครัวคนหนึ่งไปกราบไหว้สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และนักบวชที่ผ่านไปมาเห็นว่าวิญญาณของพวกเขาไม่สมบูรณ์ ในที่สุดแม่มดชั่วร้ายก็ถูกจับเผาอย่างลับๆ

ขณะที่วิดีโอสั้นเรื่องที่สามกำลังจะฉาย ครูฝึกสวี่ก็เข้ามาโบกมือ วิดีโอสั้นหยุดชั่วคราว ทุกคนเห็นชื่อเรื่องที่ฉายอยู่บนนั้น “ประเภทฆาตกรรมที่ไม่ธรรมดาและอธิบายไม่ได้”

“โอเค ไม่ต้องฉายหนังสยองขวัญแล้ว” เขาพูดกับเจ้าหน้าที่ต้อนรับ อีกฝ่ายหยุดทันที

“เรื่องที่สาม ฉันจะเล่าสั้นๆ เกือบจะเหมือนนิทานเด็กเล่นมด แน่นอนในนิทานพวกเราเป็นมด คนที่ไม่รู้ว่ามีอยู่คือเด็กๆ พวกเขาอาจฉี่ในรังมด หรือใช้แว่นขยายในอากาศเผามด หรือขุดเขาวงกตลึกบนชายหาดแล้วโยนมดเข้าไปเพื่อหาทางออก สรุปแล้วพวกคุณคาดเดาไม่ได้ว่าทำไมถึงเกิดภัยพิบัติเหล่านี้”

บางทีอาจเป็นเพราะถูกฟางหนิงเล่นงานเมื่อครู่ น้ำเสียงครูฝึกสวี่จึงไม่เย่อหยิ่งเหมือนก่อนหน้านี้

แต่อารมณ์ของทุกคนกลับไม่ผ่อนคลายเลยสักนิด สีหน้าของคนส่วนใหญ่เคร่งขรึม บางคนถึงกับขมวดคิ้ว ราวกับคิดแผนรับมือจนปวดหัวจะระเบิด

ครูฝึกสวี่กวาดสายตามอง แต่ละคนต่างคิดว่าตนเองเงินและอำนาจ เบื้องหน้าพลังของยุคใหม่ พวกแกยังมีความสำคัญอะไรอีก อ้อ… พูดไปแล้ว ตัวเองก็ไม่เท่าไรเช่นกัน พวกไห่เฉิงก็พูดถูกจริงๆ พลังคืออันดับหนึ่งเสมอ ดูท่าต้องรีบออกจากงานห่วยๆ นี้ แล้วกลับไปเก็บตัวฝึกฝน ไม่อย่างนั้นต้องกลายเป็นตัวตลกแน่นอน ขายหน้าชะมัด

เขาคิดอย่างนั้นในใจแต่กลับปากแข็ง “เอาล่ะ เมื่อครู่แค่เกิดเรื่องไม่คาดคิดนิดหน่อย ช่วงนี้ฉันบำรุงมากไป ปราณและเลือดจึงรุนแรงมาก ฮ่าฮ่า กระอักเลือดออกมาหน่อยก็ไม่เป็นไรแล้ว ดูฉันสิปกติดีไม่ใช่เหรอ แถมกลับมาสอนพวกคุณได้ ฉันไม่ได้โกหกคุณเลย”

ทุกคนต่างคิดว่าเชื่อแกสิถึงจะแปลก นานขนาดนี้ออกไปกระอักเลือดเล่นๆ เหรอ

แต่ความลับที่พวกเขาอยากรู้ทำไมฟางหนิงถึงปล่อยแสงสีขาวได้ ครูฝึกไม่แม้แต่จะพูดถึง ราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ในเมื่อเขาไม่เอ่ยมันขึ้นมา จึงไม่มีใครยกมือถามสักคนเดียว ด้วยกลัวว่าจะโดนครูฝึกปากร้ายคนนี้ดูถูก อีกอย่างตอนนี้เขายังอารมณ์เสียหนักมาก

“เอาล่ะ พูดเรื่องที่แทรกมาเสร็จแล้ว พวกเรามาเริ่มเรียนต่อเถอะ ฟางหนิง คุณมาทดสอบคุณสมบัติต่อได้”

………………………………………………