บทที่ 70 ทุกคนเริ่มแข่งฝึกวรยุทธ์เถอะ

เมื่อผมโดนระบบครองร่าง

เมื่อครูฝึกสวี่กลับมาก็ให้เจ้าหน้าที่ต้อนรับหยุดฉายวิดีโอการสอน ด้านฟางหนิงก็ขึ้นไปบนเวทีอีกครั้งเพื่อทดสอบคุณสมบัติการฝึกบำเพ็ญพลังชีวิตของเขา ครั้งนี้ไม่มีเหตุการณ์ไม่คาดคิด เขาเดินเข้าไปในกล่อง ครูฝึกสวี่ก็ปิดประตูแล้วปรับตัวเลข

สองนาทีต่อมา ฟางหนิงเดินออกมาพร้อมใบหน้านิ่งเฉย

เมื่อครู่ตอนอยู่ในกล่องเขาได้ยินแล้ว “การประเมินความอ่อนไหวของพลังชีวิตระดับ C+ และการประเมินอัตราความเร็วการเข้าออกพลังชีวิตระดับ C+”

“ยินดีด้วย ในที่สุดเราก็มีคนที่พอใช้ได้ในชั้นเรียนของเรา กลับไปนั่งเถอะ นักเรียนฟางหนิง” ดูเหมือนว่าเขาจะถูกฟางหนิงอัดจนสาหัสพอตัว ครูฝึกสวี่จึงพูดเรียบๆ เพียงไม่กี่คำ แล้วให้ฟางหนิงกลับไปนั่ง

ฟางหนิงไม่รีบร้อนเดินกลับไปนั่ง คุณสมบัติการฝึกบำเพ็ญไม่ถือว่าสูงมากนัก แต่ก็แข็งแกร่งกว่าเว่ยเซี่ยเมื่อครู่นี้พอสมควร ไม่นับว่าทำให้ระบบขายหน้า

คนต่อไปที่ถูกครูฝึกสวี่ขานชื่อเรียกเป็นชายวัยกลางคนสวมแว่นกรอบทองอายุราวสี่สิบกว่า เขาชื่อเจิ้งเต้า

“การประเมินระดับความอ่อนไหวของพลังชีวิตระดับ B+ และการประเมินอัตราความเร็วการเข้าออกพลังชีวิตระดับ B+”

ทุกคนตกตะลึงเมื่อได้ยิน รวมทั้งฟางหนิงด้วย เขามีระบบช่วยบำรุงอยู่ทุกวัน แต่ด้วยระยะเวลาอันสั้น ระดับเพียงประมาณสิบกว่าและคะแนนกระดูกพื้นฐานที่เพิ่มยังไม่มาก จึงได้ C+ ทั้งคู่ นั่นก็เป็นเรื่องปกติ คาดไม่ถึงว่าเจิ้งเต้าชายสวมแว่นวัยกลางคนและยังอายุสี่สิบกว่าจะถึงขั้น B+ ทั้งคู่!

คิดเรื่องนี้ขึ้นมาก็กลัวว่าครูฝึกสวี่ที่หยิ่งผยองคงจะตื่นตะลึงพรึงเพริดแน่นอน แต่ความจริงพิสูจน์แล้วว่าเขาคิดมากเกินไป!

ครูฝึกสวี่เพิ่งถูกฟางหนิงอัดไปดอกหนึ่ง จึงเงียบสงบลงมาก

ตอนนี้แผลน่าจะหายและกลับมาสู่สภาพเดิมแล้ว ครูฝึกสวี่ไม่ใช่แค่ไม่ตกตะลึง ยังพูดขึ้นด้วยสีหน้าเกินจริง “ระดับ B ทั้งคู่! แถมยังบวกด้วย! คุณเจิ้งเต้า ยินดีด้วยจริงๆ ยินดีด้วยต่อไปนี้จะได้อยู่ในกลุ่มผู้เล่น 2B[1]! และยังเป็นประเภทแข็งแกร่ง 2B ที่ไม่เหมือนใคร! คนก่อนหน้ามีคุณสมบัติการฝึกบำเพ็ญพลังชีวิตที่ไม่เหมือนใครคล้ายๆ คุณ และตอนนี้เขาฝึกฝนจนถึงระดับที่น่ากลัวมากแล้ว อยากรู้ไหมเขาคือใคร”

ยังปากคอเราะร้ายเช่นเดิม! บางคนหัวเราะเบาๆ ออกมา แต่แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่ไม่ได้หัวเราะเลย เพราะเรื่องนั้นไม่ได้ตลกอะไร ด้วยความที่พวกเขาเป็นคนมีการศึกษาจึงยังไม่ถึงขั้นหัวเราะออกมา

คนที่หัวเราะไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร ทุกคนอิจฉามาก

เจิ้งเต้าจับแว่นตาไร้ท่าทางขุ่นเคือง แววตาที่มองอีกฝ่ายกลับค่อนข้างมีเมตตาด้วยซ้ำ น้ำเสียงที่ตอบกลับมีมารยาทมาก “ขอให้คุณแนะนำด้วย”

ครูฝึกสวี่ “ฉันไม่กล้าพูดชื่อของเขาแต่เล่าคุณสมบัติให้ฟังได้ ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ความลับ การประเมินระดับความอ่อนไหวของพลังชีวิตระดับ S และการประเมินอัตราความเร็วการเข้าออกพลังชีวิตระดับ B เรียกสั้นๆ ว่าผู้ฝึกบำเพ็ญพลังชีวิตประเภท SB[2]…ฮ่าๆ จนถึงตอนนี้มีคนที่มีคุณสมบัติเช่นนี้เพียงคนเดียว ต่อไปพวกเราอาจจะพูดคุยกัน แม้ว่าคุณจะอายุมากแต่ดูแล้วต้นกำเนิดพลังนี้ไม่แน่อาจทำให้คุณเป็นศิษย์น้องของเขาได้ งั้นคุณก็โชคดีแล้ว”

ดูเหมือนเจิ้งเต้าจะฟังไม่เข้าใจน้ำเสียงเยาะเย้ยของอีกฝ่าย พยักหน้าตอบรับ “ขอบคุณที่ชี้แนะ ถ้ามีโอกาสขอให้ท่านผู้อาวุโสแนะนำด้วย”

ครูฝึกสวี่ส่ายหน้า “เหอะ ไม่ได้เรื่อง”

ถัดจากนี้ก็ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นอีก การทดสอบเกือบ 30 คนเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว ผู้ที่มีคุณสมบัติฝึกบำเพ็ญเป็นไปตามที่คาดไว้ ก็คือทั้งสามคนที่ได้ปลุกพลังพิเศษ ทุกคนไม่มีใครผิดหวังเลย ในเมื่อมีเพียงไม่กี่คนที่ฝึกฝนได้ คนส่วนใหญ่สอบตก ดังนั้นทุกคนจึงปลอบใจกันและกัน

การทดสอบจิตใจการฝึกบำเพ็ญต้องรอดำเนินการพรุ่งนี้ ตอนเที่ยงพักผ่อนกินข้าว พอถึงเวลาบ่ายสองก็เข้าเรียน

ครูฝึกสวี่ท่าทางจริงจัง เริ่มแนะนำความรู้การฝึกบำเพ็ญพื้นฐานให้พวกเขา แม้ว่าเนื้อหาจะไม่ค่อยละเอียดแต่ก็ยังค่อนข้างเป็นระบบและครอบคลุม แต่ยิ่งไปกว่านั้นคือการแนะนำวัตถุดิบพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการฝึกฝน เช่น วัตถุดิบยาหายากบางชนิด ประเภทอาหารพิเศษบางอย่างจะต้องปลูกอย่างไร ที่ไหน และเหมาะสมกับการปลูกอะไร สามารถซื้อล่วงหน้ามาสะสมเตรียมพร้อมได้ อย่างน้อยก็สร้างพื้นฐานที่ดีก่อน

ผู้คนต่างคิดว่าอย่างนี้ถูกต้องหรือไม่ พวกเราไม่ได้จ่ายเงินเพื่อถูกกดขี่ แต่ไม่คิดว่าครูฝึกสวี่ได้ตัดสินใจแต่แรกแล้ว หลังจากเลิกสอนวันนี้จะลาออกไปเก็บตัวฝึกฝน

คืนวันนั้นฟางหนิง ประธานจ้าว และยังมีตาอ้วนหลิวสามคนกินข้าวด้วยกัน พวกเขาคุยกันเรื่องที่ได้จากการเข้าเรียนวันนี้ และยังนัดแนะเจอกันหลังกลับไปเมืองฉีแล้วจะพิจารณาวิธีการทำโครงการลงทุนในธุรกิจการฝึกบำเพ็ญสำหรับอนาคต

แน่นอน ฟางหนิงไม่เข้าใจการลงทุนอะไรทั้งนั้น เขาแค่ฟังเรื่องแปลกใหม่ เมื่อถึงเวลาก็ออกเงินลงหุ้นเท่านั้นก็ได้แล้ว ถึงอย่างไรระบบก็ต้องการสื่อการฝึกอบรมเหล่านั้นด้วย ย่อมไม่ปฏิเสธแน่นอน หลังจากคุยเรื่องพวกนี้เสร็จ ทั้งสามก็แยกย้ายกลับห้องเพื่อพักผ่อน

ฟางหนิงไม่สนใจว่าสองคนนั้นจะทำอย่างอื่นต่อไหม มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเข้านอนเร็วขนาดนี้ เขาฝากร่างกายให้ระบบเก็บตัวฝึกบำเพ็ญ ส่วนสติสัมปชัญญะของเขาก็กลับเข้าไปในอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ของระบบทันที

ครั้งนี้เขาไม่ได้เล่นเกม ครูฝึกสวี่งูพิษตัวนี้ไม่ได้ทำให้เขาตื่นเต้น ในเมื่อมันเป็นความโชคร้ายของอีกฝ่าย แต่เป็นวิดีโอสามเรื่องนี้ต่างหากที่ทำให้เขาตื่นเต้น โดยเฉพาะเรื่องที่ไม่ได้ฉาย มันทำให้เขานึกถึงหนังสยองขวัญหลายเรื่องที่เขาเคยดูโดยบังเอิญ ถ้ายังมีใจจะเล่นเกมก็ต้องเรียกว่าใจใหญ่มากแล้ว

น่าเสียดายที่หัวใจของเขายังไม่ใหญ่ถึงระดับนั้น เขาได้เรียนรู้ความรู้พื้นฐานการฝึกบำเพ็ญมากมาย อาศัยพลังสมองที่แข็งแกร่ง เพียงแค่ฟังครั้งเดียวก็จดจำได้

แม้ว่าครูฝึกสวี่คนนี้จะมีความเป็นมืออาชีพ ความรู้ที่สอนก็เป็นของจริง แต่ฟางหนิงกลับหยิบ ‘คัมภีร์โพธิ’ ขึ้นมาอีกครั้ง ค่อยๆ เริ่มเรียนรู้พื้นฐานของมัน

เขาอ่านไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกตื่นเต้น ในใจคิดว่าด้านนอกมีระบบครองร่างเก็บตัวฝึกฝน และตัวเขาก็ยังฝึกฝนด้วย เพราะฉะนั้นไม่ต้องเอ่ยถึงว่าประสิทธิภาพจะเป็นเช่นไร อย่างน้อยก็เท่ากับสองคนฝึกพร้อมกัน เพียงแค่กระบวนการฝึกฝนพลังอย่างเดียวก็นำหน้าคนอื่นมากแล้ว

ขณะที่ฟางหนิงกำลังฝึกฝนด้วยความตื่นเต้น บางคนก็กำลังจะ “ฝึกฝน” เช่นกัน

ณ ห้องพักครูฝึกคนหนึ่งในหอพักครูฝึก เสียงคำรามดังออกมาจากในโทรศัพท์

“ในสงครามแกทำอย่างนี้คือหนีทหาร ต้องถูกยิงตาย!”

“หึ ตอนนี้คนธรรมดาก็ทำให้ฉันอาเจียนเป็นเลือดได้ ฉันยังจะมีหน้าเป็นครูฝึกอีกเหรอ ยังมีใครจะฟังฉัน ฉันจะกลับไปฝึกฝนต่อ ครั้งนี้ถ้าฝึกไม่ถึงที่พอใจ ฉันจะไม่ออกมายุ่งกับเรื่องเล็กน้อยพวกนี้ให้เสียเวลา”

“กล้าเหรอ ปีกกล้าขาแข็ง! แกรู้ไหม ถึงแกจะมีคุณสมบัติสูงกว่าฉัน คิดจะฝึกถึงระดับนั้นก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบปี!”

“ตอนนี้ฉันถึงเสียเวลาไม่ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นสุดท้ายแม้แต่คุณก็จะตามทัน นับประสาอะไรกับบรรพบุรุษตระกูลไป๋ เขามีความขัดแย้งกับครอบครัวพวกเรา ฉันไม่ฝึกให้เก่ง ตอนนี้แค่กระอักเลือดเล็กน้อยเท่านั้น ถ้าถูกเขาจับได้ละก็ ไม่รอดแน่”

“แกไม่ฟังฉันสินะ เอาล่ะ ตอนนี้ยังไม่ใช่ช่วงสงคราม แกเป็นครูฝึกของโรงเรียน ไม่ใช่นักรบแนวหน้า ตามระเบียบถ้าแกต้องการลาออกจริงๆ ฉันขวางไม่ได้ คิดให้ดีแล้วกัน แกได้รับอนุมัติให้ลาออกแล้วจะมีชื่ออยู่บัญชีดำเฝ้าระวัง เข้าสำนักงานสัจธรรมไม่ได้อาจจะไม่เป็นไร แต่อาจจะถูกกักขังตลอดชีวิตก็เป็นไปได้! เมื่อถึงตอนนั้นแกจะสงบสุขไปตลอดชีวิต ตาแก่ไป๋จะไม่มีวันไปตามหาแกที่นั่น”

“โอ้ น่ากลัวขนาดนั้นจริงๆ เหรอ งั้นคุณช่วยเปิดทางหนีทีไล่ให้หน่อยได้ไหม เห็นแก่ฉันหน่อย ช่วยให้ฉันได้ลาหยุดงาน ไม่ต้องรับเงินเดือนก็ได้ ตอนกลางวันฉันไปหาจื่อซานและรักษาช้าไปหน่อย ตอนนี้อาการบาดเจ็บเลยกำเริบอีกแล้ว มันเป็นเรื่องยากจริงๆ ที่จะทำงานต่อไป…”

“หุบปาก! ถ้าแกเจ็บจริงก็พูดไม่ได้แล้ว!”

“จริงๆ ฉันยังอาเจียนเป็นเลือดอยู่ ถ้าไม่เชื่อฉันจะถ่ายรูปให้ดู”

“ฉันไม่มีทางอนุมัติให้! ถ้าแกแอบทำ ต่อไปอย่าคิดที่จะเหยียบบ้านสวี่อีก!”

“เหอะ ขู่ฉันแล้วยังมีเล่ห์เหลี่ยมใหม่ๆ ด้วย ไม่ให้เข้าก็ไม่เข้า พูดอย่างกับคุณเป็นใหญ่ที่บ้านอย่างนั้นแหละ…”

“คุณอยากแกล้งผมจริงๆ เหรอ”

“แก อยากจะให้ฉันโมโหตายหรือไง”

“อย่า อย่า อย่า ท่านเป็นเสาหลักของท้องฟ้าในสถาบันฝึกอบรมพิเศษของเรา ที่นี่ไม่มีฉันได้ แต่ไม่มีท่านไม่ได้ อย่าเพิ่งโกรธฉันในเวลานี้เลย ไม่งั้นฉันต้องเสียใจมากแน่ที่ไม่ได้เข้าตระกูลสวี่”

“ไป ไสหัวไปเลย ฉันคุมแกไม่ได้แล้ว!”

สวี่เว่ยหวาวางโทรศัพท์ลง แววตาเย็นชา แม้ปากจะเอ่ยเถียงกับตาเฒ่าได้สบาย แต่ในใจกลับระงับไฟอยู่

ร่างจริงของอัศวิน A คือมังกร ย่อมเป็นเรื่องปกติที่เขาจะสู้ไม่ได้ แต่คนที่ถูกปกป้องโดยไม่ได้ตั้งใจยังปล่อยให้ตัวเองตกที่นั่งลำบากและเสียหน้าอย่างแรงขนาดนี้ ชีวิตสามสิบกว่าปีนี้ช่างไร้ประโยชน์จริงๆ คุณสมบัติการฝึกพลังชีวิตของฉันคือ A คู่เชียวนะ!

พลังปราณนี้ช่างโหดเหี้ยมนัก นี่เป็นเพียงการสำแดงพลังจิตของคนเสินโจวเท่านั้น คนที่แข็งแกร่งที่สุดยังไม่ปรากฏออกมา

ไม่น่าแปลกใจเลยที่ตาเฒ่าตระกูลไป๋จะอยากออกไปสร้างครอบครัว และต้องการรวบรวมพลังจิตของครอบครัวด้วย ช่างเจ้าเล่ห์จริงๆ ทำไมตอนนั้นฉันถึงไม่เข้าใจ และยังโง่งมหัวเราะเยาะเขาตั้งนาน

ฉันไม่มีทางเชื่อ ฉันฝึกฝนวรยุทธ์ที่มีหนึ่งเดียวของตระกูลสวี่จนถึงขั้นสูงสุดแล้ว เหนือกว่าตาเฒ่าขึ้นไปอีก แม้เข้าใจถึงขั้นนั้น ฉันก็ยังเอาชนะพลังปราณรุนแรงนั่นไม่ได้ พลังจิตแรงกล้ามาก!

แม้ว่าเขาจะกระตือรือร้นมากในการฝึกฝน แต่สวี่เว่ยหวาก็ยังมีสติ รู้ว่าขืนฝึกในสภาพนี้ก็แทบไม่ต่างอะไรกับรนหาที่ตาย รอพรุ่งนี้หาคนช่วยทำขั้นตอนลางานให้เรียบร้อย จัดการเรื่องยุ่งยากนี้ก่อนค่อยว่ากัน

เขาหยิบเบียร์สองขวดออกจากห้อง ปกติแล้วเขาไม่แตะต้องของมึนเมาเด็ดขาด แต่ตอนนี้มันเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เขาหลับตาลงได้

ฟางหนิงอ่าน ‘คัมภีร์โพธิ’ อย่างออกรส รู้สึกว่าหากมีเวลาสักสองสามเดือนอาจเรียนหัวใจของมันได้มากทีเดียว

ตอนนั้นเอง ระบบก็เอ่ยขึ้น

ระบบ “ไม่เปิดแผนที่ระบบน่าปวดหัว มาเมืองใหญ่สองวันแล้วถึงจะเจอปีศาจสักตัว”

ฟางหนิงประหลาดใจ รีบวางหนังสือลง เขาเปิดแผนที่ระบบดู เวลานี้แผนที่ยังเป็นสีดำสนิท แต่มีจุดสีแดงบนสีดำสนิทนั้นซ่อนอยู่ใกล้ตำแหน่งของตัวเอง คาดว่าห่างออกไปไม่กี่เมตร

นอกนั้นก็มองไม่เห็นอะไรแล้ว จะเห็นแต่ภาพตรงนี้ในแผนที่ระบบ ฟางหนิงไม่รู้จะทำอย่างไรดีแต่ก็ไม่กล้าเปิดมุมมองระบบดู เพราะกลัวว่าจะมีผีโผล่ออกมา ไม่อย่างนั้นเขาได้ฝันร้ายไปหลายวันแน่นอน

เสียงของฟางหนิงสั่นเล็กน้อย “มันเป็นปีศาจแบบไหน น่ากลัวไหม”

ระบบไม่กลัวเลยสักนิด อธิบายออกมา “มันไม่มีรูปร่างชัดเจน สำหรับมนุษย์อย่างโฮสต์อาจน่ากลัวมาก หากเจอคนธรรมดามันจะฆ่าทันที แต่ตอนนี้โฮสต์ไม่ต้องกลัวไป มันวนเวียนแถวนี้หลายรอบแล้วแต่ยังหาโฮสต์ไม่เจอ มันกำลังสับสน…รอดูไปก่อน ระบบจะสังเกตก่อนว่ามันมีพรรคพวกหรือไม่ ไม่มีแผนที่จับปีศาจอาจยากหน่อย ถ้าเจอเพิ่มอีกตัวหนึ่งก็ดี”

………………………………………

[1] 2B เป็นสแลงจีนหมายถึง งี่เง่า, ตอบสนองช้า, หัวไม่ไว

[2] SB เป็นคำด่าแปลว่า โง่