ฉันได้ยินเสียงของชายแปลกหน้าดังขึ้นมากะทันหัน พอหันไปมองต้นเสียงก็เห็นชายคนหนึ่งสวมชุดของนักบวชทั่วไปยืนอยู่
“เจ้าคือ…”
“ขออภัยที่แนะนำตัวช้าขอรับ ข้าได้รับคำสั่งจากนักบวชคาลูซให้มาดูแลท่านนักบุญ”
ชายหนุ่มคุกเข่าข้างหนึ่งลงด้านหน้าฉันทันทีที่แนะนำตัวเสร็จ พอได้ยินชื่อคาลูซที่ชายผู้นี้เอ่ยออกมาฉันก็เข้าใจทันที ดูเหมือนว่าคาลูซจะเข้าใจคำพูดของฉันที่สั่งไม่ให้พาผู้ชายมาอีกผิดไป สุดท้ายจึงยังหาผู้ชายคนใหม่มาให้ ชายหนุ่มพูดต่อไปว่า
“ตอนแรกกำลังคิดว่าจะกลับเลยดีหรือไม่เพราะเห็นไฟในห้องของท่านปิดอยู่ แต่นึกถึงเรื่องที่เคยได้ยินจากพวกผู้ชายที่เคยมาปรนนิบัติท่านนักบุญขึ้นมาได้ เขาเล่าว่าท่านชอบทำในสวน ข้าจึงเสี่ยงอันตรายแอบเข้ามาที่นี่ สุดท้ายก็ได้พบท่านนักบุญที่นี่จริงๆ นี่ต้องเป็นเพราะพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ชี้นำข้ามาหาท่านนักบุญหญิงแน่ขอรับ”
ฉันมองพิจารณาชายหนุ่มที่เปล่งคำพูดออกมาอย่างตื่นเต้น เห็นเส้นผมที่ยาวเกินกว่าจะเป็นนักบวช แล้วยังมีเสื้อผ้าของคนทั่วไปที่อยู่ใต้ชุดนักบวชนั่นอีก อันที่จริง ต่อให้ไม่ใช่เพราะของพวกนี้ เขาก็มีรูปโฉมที่ดูดีเกินกว่าจะเรียกว่านักบวชอยู่ดี ฉันยกมือนวดขมับพลางโบกมือไปทางเขา
“กลับไปเสียเถิด”
“…หมายความว่าอะไรหรือขอรับ”
“หมายความตามที่พูด รีบไปกลับเสีย กลับไปบอกคาลูซด้วยว่าให้เลิกส่งคนมาให้ข้าได้แล้ว”
เมื่อได้ยินคำพูดของฉัน ชายคนนั้นก็ตกตะลึงก่อนจะส่ายหัว
“ไม่ได้ขอรับ”
ครู่ต่อมา จู่ๆ เขาก็ขยับเข้ามาใกล้แล้วคว้าจับข้อเท้าของฉัน
“เจ้าทำอะไร…!”
“ข้าสามารถทำให้ท่านพอใจได้มากกว่าผู้ชายคนก่อนแน่ ได้โปรดอย่าไล่กลับไปแบบนี้เลยขอรับ”
ชายหนุ่มกล่าวพลางลูบขึ้นมาบนต้นขา ความรู้สึกขนลุกที่เกิดขึ้นเพราะถูกลูบเข้ามาด้านในต้นขาทำให้ฉันถีบชายคนนั้นออกไปอย่างแรง ทว่าชายผู้นั้นจับข้อเท้าของฉันแน่น
“เคยได้ยินเรื่องเล่ามาบ้างขอรับ ว่าท่านชอบตะโกนไล่เพื่อทำให้พวกเราตกใจ เพราะฉะนั้นมีคนที่หนีกลับไปทั้งที่ยังไม่ทันได้ทำอะไรเยอะเลย แต่ว่าข้าไม่เหมือนพวกอ่อนหัดพวกนั้น”
ชายผู้นั้นจับเข่าทั้งสองข้างของฉันบนม้านั่งแล้วอ้าออกด้านข้าง เขาแทรกตัวเข้ามาระหว่างขาก่อนที่ฉันจะได้พูดอะไรออกไป จากนั้นเขาก็มองมาที่ฉันแล้วพูดว่า
“จะปล่อยโอกาสอันดีที่ได้มาจากนักบวชคาลูซอย่างยากลำบากไปได้อย่างไรเล่าขอรับ ข้าจะทำให้ท่านนักบุญพึงพอใจแน่นอน ข้าก็อยากได้รับความรักจากท่านนักบุญเหมือนคนอื่นๆ เช่นกัน”
ชายผู้นั้นเลียริมปากอย่างเจ้าเล่ห์ ความรู้สึกขยะแขยงพลันไหลผ่านทั่วทั้งร่างโดยอัตโนมัติ ตอนนี้ฉันไม่มีเวลามาคิดว่าตนเป็นนักบุญหญิงหรืออะไรแล้ว ฉันดึงมือออกมาแล้วกระชากผมของชายที่เข้ามาใกล้ ก่อนจะร้องตะโกนออกไป
“ไสหัวไป! มีใครอยู่หรือไม่! ที่นี่… อื้อ!”
ทันทีที่ร้องตะโกนออกไป เขาก็อุดปากฉันด้วยสีหน้าตะลึงงัน
“ทำไม ทำไมทำเช่นนี้ล่ะขอรับ ถ้าท่านไม่ต้องการจริงๆ ใช้พลังศักดิ์สิทธ์จัดการข้าก็ได้แล้ว ที่ท่านไม่ทำอะไรเลยจนถึงตอนนี้หมายความท่านก็ต้องการอยู่บ้างมิใช่หรือขอรับ”
นั่นเพราะข้าไม่รู้วิธีใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ต่างหากเล่า!
ฉันตะโกนขึ้นอีกครั้งแม้จะถูกชายผู้นั้นอุดปากอยู่ ขณะเดียวกันก็เหวี่ยงแขนและขาไปกระแทกร่างกายของคนผู้นั้นจนสุดแรง ในตอนนั้นเอง
“อั่ก!”
อยู่ดีๆ ชายที่คร่อมอยู่บนตัวฉันก็เปล่งเสียงร้องออกมาแล้วปล่อยมือข้างที่อุดปากฉันไว้ พร้อมกับที่ร่างของเขาที่ลอยขึ้นไปในอากาศก่อนจะปลิวไปกระแทกกับต้นไม้ในสวน
สวบ!
ลอยไปไกลถึงไหนนะ กิ่งไม้ที่ชายผู้นั้นลอยไปกระแทกแตกหักเสียงดังแล้วเขาก็กลิ้งตกลงมากระแทกพื้น
‘ใครเป็นคนจับเขาโยนออกไป?’
เมื่อหันไปดู ลมหายใจพลันหยุดชะงัก
ดวงตาสีดำที่เห็นเมื่อช่วงกลางวันกำลังจ้องมาที่ฉันอย่างเปิดเผย
“…ราธบัน?”
หนึ่งในตัวเอกชายของโลกใบนี้ อัศวินศักดิ์สิทธิ์ผู้เชื่อฟังคำสั่งของอีริส ราธบันยืนอยู่ตรงนั้น
เขาเป็นคนที่ดุดันจัง ตอนกลางวันที่มองเห็นเขาจากที่ไกลๆ ก็คิดแค่นั้น
ทว่าตอนนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ฉันกลับไม่สามารถหายใจได้เลย ถ้าดาบที่ทำจากเหล็กกล้าขนาดใหญ่กลายเป็นมนุษย์ ก็คงให้ความรู้สึกแบบนี้สินะ? ไหล่ที่กว้างเหมือนกำแพงขนาดมหึมาและส่วนสูงที่ต้องแหงนคอเพื่อมองดู แม้เขาใส่ชุดเครื่องแบบสีขาวของอัศวินวิหารแต่ก็ยังสามารถมองเห็นกล้ามเนื้อที่ผ่านการฝึกฝนมาซ้ำๆ ใต้ร่มผ้านั้นได้ ขณะเดียวกันก็ยังเห็นต้นแขนหนาและมือขนาดใหญ่ เป็นมือที่ใหญ่จนอาจจะบดขยี้หัวฉันได้ด้วยมือเดียว
ฉันพิจารณาดูเขาอย่างเหม่อลอยอยู่สักพัก จากนั้นจึงมองใบหน้าของเขาอีกครั้ง ในตอนนั้นเองฉันถึงได้รับรู้ถึงความจริงที่ว่าราธบันกำลังมองฉันอย่างรังเกียจที่สุด
“อา…”
ความรังเกียจที่รุนแรงซึ่งไม่พยายามปิดซ่อนเอาไว้ ฉันเผลอถอยหลังโดยไม่รู้ตัวเมื่อเห็นสายตาเช่นนั้นของเขา ถึงแม้จะไม่สามารถถอยได้อีกแล้วเพราะติดพนักเก้าอี้ของม้านั่งด้านหลัง
เขากำลังมองมาที่ฉันเหมือนกับที่ฉันมองเขาเช่นกัน จากนั้นก็เห็นสีหน้าของเขาเคร่งเครียดขึ้นก่อนจะหันหน้าหนีไป ฉันก้มลงสังเกตสภาพของตัวเองอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นท่าทีที่ทำราวกับว่าได้เห็นอะไรที่ไม่สมควรเห็นของเขา
‘พระเจ้าช่วย’
ไม่จำเป็นต้องถามก็เข้าใจได้ว่าเหตุใดราธบันจึงทำสีหน้าเช่นนั้น ก่อนที่ชายผู้นั้นจะมา ชายกระโปรงของชุดนอนก็เลิกขึ้นด้านบนแล้วเพราะมัวแต่พิจารณารอยด้านในต้นขา ตอนนี้กลับยิ่งยับมากกว่าเดิมเพราะถูกล่วงเกินเมื่อครู่ เป็นผลให้เรียวขาถูกเปิดเผยออกมาใต้แสงจันทร์ รวมทั้งร่องรอยที่มีอยู่บนต้นขาเหล่านั้นก็ถูกเปิดเผยออกมาจนหมดสิ้น
ทันทีที่ฉันรีบดึงชายกระโปรงลง ราธบันที่หันหน้าหนีไปก็เปิดปากพูดว่า
“หวังว่าคงจะไม่ได้เห็นอีกนะขอรับ”
นี่เป็นประโยคแรกที่ราธบันกล่าวกับฉัน น้ำเสียงทุ้มต่ำน่ากลัวที่ดังขึ้นท่ามกลางอากาศยามค่ำคืนและสายตาที่ใช้มองมาทางฉันอย่างเหยียดหยามปรากฏออกมาให้เห็นอย่างไม่ปิดบัง
หวังว่าคงไม่ได้เห็นอีก ประโยคนี้หมายความว่าอย่าทำให้เขาเห็นอีกหรือหมายถึงอย่าให้ผู้ใดเห็นสภาพแบบนี้อีกกันแน่ แต่อันที่จริงไม่ว่าจะความหมายไหนก็ไม่สำคัญ
ชั่วขณะที่ได้ยินเสียงของเขาทำให้ฉันตระหนักได้ว่าความคิดที่จะลองสานสัมพันธ์กับตัวเอกชายเป็นความคิดที่สิ้นคิดและอวดดีแค่ไหน
ราธบันที่อ่านเจอในหนังสือเป็นอัศวินที่สง่างามและมีเกียรติ ให้ความสำคัญกับชื่อเสียงและนับถือพระเจ้าอย่างไม่บิดพริ้ว แต่อีเบลลีน่ากลับดูแคลนเขาด้วยการทำให้เขากลายเป็นสุนัขต่อหน้าทุกคน บางทีนั่นอาจทำให้เขาถูกดูถูกไปทั้งชีวิต ดังนั้นแค่บอกว่าจากนี้ไปจะพยายามแล้วคิดว่าเรื่องพวกนี้จะหายไปอย่างนั้นหรือ
ราธบันไม่มีทางยกโทษให้อีเบลลีน่าแน่
ตอนนั้นเอง ชายที่กระแทกต้นไม้แล้วสลบไปก็ส่งเสียงครวญครางออกมา ฉันลุกขึ้นจากที่นั่งหลังจากได้สติกลับมาเพราะได้ยินเสียงนั้น จากนั้นก็โค้งตัวไปทางราธบัน
“ขอบใจเจ้าที่ให้ความช่วยเหลือ”
“…”
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ต้องพูดในสิ่งที่ควรพูดก่อน แน่นอนอยู่แล้วว่าไม่มีคำตอบใดกลับมาจากเขา และฉันก็ไม่ได้คาดหวัง เพราะเขาคงไม่อยากพูดกับฉันอีกแม้แต่พยางค์เดียว
“ถ้าไม่ได้เจ้า อาจเกิดเรื่องไม่ดี…”
“…ค่อยยังชั่วที่ไม่ได้ไปขัดจังหวะท่าน”
เขาพูดกลับมาก่อนที่ฉันจะพูดจบด้วยน้ำเสียงเย็นชาเหมือนเคย
“คราวหน้าท่านก็ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์เถิด มิเช่นนั้นคนอื่นจะเอาไปพูดได้ว่าแม้กระทั่งวิธีใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ก็มิอาจจำได้แล้ว”
ลมหายใจพลันสะดุดขึ้นมาเมื่อได้ยินคำพูดของเขา
นึกถึงเนื้อหาในหนังสือ วินาทีที่อีเบลลีน่าตระหนักว่าพลังศักดิ์สิทธิ์หายไป ราธบันเล็งดาบไปทางนางโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่นิด ดาบดำยาวที่พาดอยู่ด้านหลังของอีเบลลีน่าก่อนที่นางจะตายท่ามกลางเปลวเพลิง ก็เป็นดาบที่ราธบันทำขึ้นมาเอง
ชายผู้นี้คือคนที่ฆ่าฉัน ด้วยแขนข้างนั้น ด้วยมือนั้น
เบื้องหน้าพลันมืดมนเมื่อนึกถึงอนาคตที่จะมาถึงเมื่อใดก็ไม่รู้
***
“หัวหน้า!”
เหล่าอัศวินต่างก็ตกใจจนเปล่งเสียงตะโกนออกมาเมื่อเห็นราธบันเดินกลับเข้ามาในอาคาร นั่นคือราธบันที่ไม่รู้ว่าลมอะไรพัดมาถึงได้บอกว่าจะเฝ้าเวรแทนพวกเขาก่อนจะเดินออกไป แถมยังพาคนที่ก็ไม่รู้ว่าเก็บได้จากที่ไหนกลับมาด้วย
ในตอนแรกทุกคนต่างก็ตกใจจนส่งเสียงดังเมื่อเห็นชายสวมชุดนักบวช แต่ในไม่ช้าพวกเขาก็รู้ว่าชายที่ราธบันโยนทิ้งไม่ใช่นักบวชอย่างที่เข้าใจ ตอนนั้นเองร่างกายของเหล่าอัศวินพลันเกร็งขึ้นเพราะความตึงเครียด คนที่ไม่ใช่นักบวช กลับแสร้งทำตัวเป็นนักบวชลักลอบเข้ามาในวิหารแล้วถูกราธบันจับได้ ในอาคารของเหล่าอัศวินเต็มไปด้วยความตึงเครียดคล้ายว่าจะดึงดาบออกมาเดี๋ยวนั้น
ราธบันมองไปรอบๆ อัศวินแล้วกล่าวออกมาสั้นๆ
“ตอนเช้า พอเขาได้สติกลับมาค่อยส่งออกไป”
“อะไรนะขอรับ? แต่ว่า…”
การอ้างตนเป็นนักบวชแล้วแอบเข้ามาในวิหารเป็นความผิดร้ายแรง เขาควรถูกจับมัดทันทีและสอบสวนตัวตน จากนั้นก็ซักถามอย่างละเอียดว่าเข้ามาภายในวิหารได้อย่างไร เพื่อจุดประสงค์ใด แต่นี่กลับบอกให้ปล่อยไปเฉยๆ เมื่อถึงตอนเช้า
ตอนนั้นเอง ใครบางคนในกลุ่มอัศวินก็พิจารณาชายที่นอนสลบอยู่ก่อนจะพึมพำออกมาราวกับเข้าใจอะไรบางอย่าง
“เขาหน้าตาดีมากเลยนะเนี่ย”
สีหน้าของเหล่าอัศวินพลันดำมืดเมื่อได้ยินคำพูดนั้น ในหมู่อัศวิน เรื่องที่นักบุญหญิงชอบพาผู้ชายจากข้างนอกมาเล่นสนุกในแต่ละคืนไม่ใช่ความลับ แสดงว่าชายผู้นี้ก็คงเป็นหนึ่งในผู้ชายพวกนั้น พอรู้อย่างนั้นพวกเขาก็เข้าใจทันทีว่าเหตุใดราธบันจึงสั่งให้ส่งออกไปเฉยๆ
สุดท้ายต่อให้พบว่ามีใครในหมู่นักบวชชั้นสูงเป็นชายบำเรอก็ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยออกไป ไม่สิ คนพวกนั้นต้องมาหาเหล่าอัศวินเพื่อกดดันไม่ให้พูดออกไปด้วยซ้ำ
อัศวินคนหนึ่งพูดกับราธบันว่า
“จะไม่สอบสวนหน่อยหรือขอรับ”
พอได้ยินคำถาม ราธบันก็ถามกลับไป
“ทำไมต้องทำเช่นนั้น”
เป็นน้ำเสียงที่สื่อว่าให้เขาอธิบายว่าต้องดันทุรังทำขนาดนั้นไปเพื่ออะไรในเมื่อทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างก็รู้ตัวตนของชายผู้นี้ดีอยู่แล้ว
อัศวินผู้นั้นเกาหัวพลางตอบกลับมา
“อย่างไรเสีย คนพวกนี้ก็มีไม่ถึงสิบคน เขาต้องยอมรับมาหมดแน่ ว่าเขาคือใคร ได้รับความช่วยเหลือจากนักบวชคนใด เข้ามาในวิหารด้วยจุดประสงค์ใด เสร็จแล้วเอาเขาไปแขวนประจานไว้หน้าวิหาร คนที่ผ่านไปมาก็จะได้รู้ว่าเมื่อคืนเกิดเรื่องอะไรขึ้นในวิหารอย่างไรเล่าขอรับ”
ใบหน้าของอัศวินผู้นั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน เป็นรอยยิ้มที่มีให้นักบุญหญิงที่พาชายผู้นี้เข้ามา
“…แล้วพวกเราจะได้อะไร”
“ขอรับ?”
“ข้าถามว่าทำแบบนั้นไปแล้วพวกเราจะได้อะไร อีกอย่าง ไม่แน่ว่าชายผู้นี้อาจมีบัตรเข้าออกวิหารชั่วคราวก็เป็นได้ ส่วนชุดนักบวช เขาอาจจะแก้ตัวว่าเป็นเพราะสถานการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จึงต้องใส่ไว้ชั่วคราว แล้วพวกนักบวชที่อนุญาตให้เขาเข้ามาก็ต้องช่วยเขาปกปิดจนถึงที่สุดด้วยแน่นอน ไม่ได้มีของอะไรหายไป ทั้งยังไม่มีใครได้รับบาด…”
ทันทีที่ราธบันหยุดคำที่กำลังพูด เหล่าอัศวินก็มองไปที่เขาราวกับจะถามว่าหยุดพูดทำไม
“…อย่างไรก็ตาม พวกเขาคงจะปิดบังว่านี่เป็นความผิดที่เล็กมาก แล้วหลังจากนั้นล่ะ? ทางวิหารก็คงถูกหัวเราะเยาะ?”
พอได้ฟังคำพูดของราธบัน อัศวินคนที่บอกให้จับตัวชายผู้นี้ไปแขวนไว้ข้างนอกก็ตอบกลับมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“…แต่อย่างน้อยก็ทำให้นางถูกหัวเราะเยาะไม่ใช่หรือขอรับ”
“…”
“สตรีผู้นั้นกำลังทำเรื่องอะไรอยู่ ผู้คนจะ…”
“ชีเดล”
อัศวินที่ถูกเรียกว่าชีเดลปิดปากลงเมื่อได้ยินน้ำเสียงเย็นชาของราธบัน
“ระวังปากของเจ้าด้วย ตอนเจ้าเข้ามาเป็นอัศวินได้สาบานตนไว้แล้ว”
“…”
พอได้ยินคำพูดนั้น ชีเดลนิ่วหน้าขึ้นมาทันที ราธบันเปล่งเสียงเรียกชื่อของเขาอีกครั้ง
“ชีเดล”
น้ำเสียงคล้ายสั่งให้รีบตอบ
“…เข้าใจแล้วขอรับ ข้าจะระวังกิริยาวาจาเกี่ยวกับท่านนักบุญหญิงให้มากขึ้น”
ชีเดลพูดจบก็โค้งคำนับให้ราธบัน จากนั้นก็เดินออกไปทันที เหล่าอัศวินคนอื่นที่ยืนอยู่ด้านข้างเห็นชีเดลเปิดประตูเดินออกไปแบบนั้นก็ส่ายหัวไปมา
“ท่านผู้บัญชาการช่วยเข้าใจด้วยขอรับ ชีเดลน่ะ…”
ชีเดลเป็นอัศวินที่ใฝ่ฝันจะเป็นให้ได้อย่างราธบันมากกว่าอัศวินคนใดในวิหารแห่งนี้ พวกอัศวินถึงกับล้อกันว่าชีเดลเข้ามาเป็นอัศวินเพื่อมาปรนนิบัติราธบัน ดังนั้นตอนที่ชีเดลได้ยินว่าราธบันต้องคลานเยี่ยงสุนัขต่อหน้านักบุญหญิง เขาจึงแทบจะออกไปฆ่านางเดี๋ยวนั้น
ทว่าในตอนนี้ ราธบัน ผู้ที่ถูกดูแคลนกลับสั่งให้ชีเดลรักษามารยาทกับนักบุญหญิง ใจเขาคงราวกับมีไฟสุม
“ดูแลคนผู้นั้นให้ดี”
“ไม่ต้องกังวลขอรับ ข้าจะรีบส่งเขาออกไปทันทีที่ฟ้าสว่าง”
หลังจากได้ยินคำตอบ ราธบันก็หมุนตัวจากไป
เขาเดินไปตามทางเดินอยู่สักพัก และมุ่งหน้าไปยังห้องทำงานของเขาที่อยู่สุดปลายทางเดิน พอเปิดประตูบานหรูหราก้าวเข้าไป ก็เห็นเพดานและกำแพงที่แกะสลักขึ้นอย่างหรูหราเช่นเดียวกับบานประตู แต่ความเจิดจรัสก็หยุดอยู่แค่นั้น ภายในห้องทำงานมีเพียงโต๊ะหนังสือและเก้าอี้ ตู้เสื้อผ้าและลิ้นชัก ส่วนห้องเล็กๆ ที่อยู่ด้านข้างมีเพียงโต๊ะและเก้าอี้เตี้ย ๆ ไม่กี่ตัวสำหรับแขกที่มาเป็นครั้งคราวเท่านั้น
เป็นห้องที่โดดเดี่ยวขนาดที่ใครเห็นก็คงคิดว่าเป็นห้องที่ไม่มีคนอยู่
แม้เหล่าอัศวินและนักบวชที่มาเยี่ยมจะบอกให้เขาตกแต่งห้องเพิ่มบ้าง แต่เขาก็ปฏิเสธกลับไป เพราะสิ่งของที่ไม่จำเป็นพวกนั้นก็เป็นเพียงความฟุ่มเฟือยที่อัศวินของวิหารต้องหลีกเลี่ยง
ราธบันแขวนเสื้อคลุมที่ถอดออกไว้ที่ไม้แขวนเสื้อ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะ เขาทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ต่างจากปกติ จากนั้นก็ยกมือขึ้นลูบหน้า
‘นี่อะไร’
สีหน้าของนักบุญหญิงที่เขาเห็นในสวนยังคงวนเวียนอยู่ในหัว
หลังจากสบตากับนักบุญหญิงในตอนกลางวันที่จัตุรัสกลาง จิตใจเขาก็ไม่สงบเลยตลอดทั้งวัน
แม้จะคิดว่าควรรักษาความเยือกเย็นเอาไว้แต่เขาก็มักจะนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นอยู่เสมอ วันที่นักบุญหญิงจงใจทำให้เขาอับอาย
สุดท้ายเขาก็บอกอัศวินที่เฝ้าเวรตอนกลางคืนว่าเขาจะเฝ้าแทนให้ แม้จะครู่เดียว แต่หากได้ออกไปเดินคนเดียวก็น่าจะทำให้จิตใจสงบลงได้บ้าง
เดินอยู่ในวิหารหลวงคนเดียวไปสักพักก็เปลี่ยนเส้นทางไปยังสวนซึ่งปกติไม่เคยก้าวเข้าไป นั่นเพราะเขาอยากเดินในที่ที่เงียบสงบมากกว่าที่ที่มีผู้คนเดินไปมา แต่เมื่อเขาได้ยินเสียงของนักบุญหญิงและผู้ชาย เขาก็รู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งกับการตัดสินใจนั้น
ใครจะไปคิดว่าจะต้องมาเจอคนที่ไม่อยากพบเจอมากที่สุดในสภาพที่ไม่อยากเห็นที่สุด
ถ้าหูของเขาที่กำลังจะหมุนตัวออกไม่ได้ยินเสียงของนักบุญหญิงที่ร้องเรียกให้คนช่วย เขาก็คงจะเดินออกจากสวนไปทั้งอย่างนั้นแล้ว
หลังจากจับชายที่คร่อมอยู่บนร่างของนักบุญหญิงโยนออกไป นางก็เหม่อมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง สายตาที่มองมาทำให้ราธบันรู้สึกแปลกใจ นักบุญหญิงกำลังมองมาที่เขาราวกับมองคนที่เพิ่งเคยพบเจอเป็นครั้งแรก ในสายตาของนักบุญหญิงผู้นี้ไม่มีรอยยิ้มเย้ยหยันที่มักมีให้เขาเสมอ ดังนั้นราธบันจึงไม่หลบสายตานางและจ้องมองกลับไป
คนที่อยู่หน้าเราตอนนี้คือนักบุญหญิงอีเบลลีน่าจริงหรือ
“เฮ้อออ”
ราธบันถอนหายใจพลางส่ายหัว ดูเหมือนช่วงนี้จิตใจของเขาจะฟุ้งซ่านไปเสียแล้ว ความคิดเช่นนี้ยังคิดออกมาได้
ราธบันลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินไปยังโต๊ะหนังสือ มีเอกสารที่รอให้เขาจัดการอยู่อีกหลายฉบับ ดวงตาของราธบันหรี่ลงเมื่อเห็นเอกสารที่วางอยู่ด้านบนสุด
“การเฝ้าระวังในพิธีสวดภาวนา…”
ตามปกติแล้วผู้บัญชาการอัศวินเป็นผู้ที่ต้องอารักขาอยู่ด้านข้างนักบุญหญิงเพื่อรักษาความปลอดภัย ทว่าพิธีอธิษฐานในปีนี้ เขาค่อนข้างมั่นใจว่าเขาจะต้องได้รับหน้าที่อื่น เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ ในเอกสารเขียนไว้ว่าให้เขาไปรับผิดชอบดูแลด้านสถานที่จัดงานแทนการอารักขานักบุญหญิงแทนได้หรือไม่
‘จะเอาอย่างไรดี’
ราธบันมองดูเอกสารนั้นอยู่ครู่หนึ่ง เขาไม่อาจละออกจากโต๊ะหนังสือได้เลยจนกระทั่งอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้า