ตอนที่ 3.1 พิธีสวดภาวนา (1)

หนทางรอดของนักบุญหญิงตัวปลอม

การเตรียมพร้อมสำหรับพิธีสวดภาวนาเป็นไปอย่างราบรื่น แน่นอนอยู่แล้ว นั่นเพราะสิ่งที่เป็นอุปสรรคใหญ่ในการเตรียมงานก็คือนักบุญหญิง

คนที่ควรออกมาตรวจสอบและดูแลงานมากกว่าผู้ใดกลับไม่ออกมาจากห้องเลยทั้งที่มีงานทั้งหมดอยู่ในมือ ทำให้ตลอดเวลาที่ผ่านมาเหล่านักบวชต้องเผชิญกับความกังวลใจเป็นอย่างมาก

“พระองค์ทรงกล่าวว่าในตอนที่เจ้าเหนื่อยที่สุด…ยังไหวไหมคะ ท่านนักบุญหญิง”

นักบวชที่กำลังอ่านบทสวดภาวนาอยู่ตรงหน้า มองหน้าฉันพลางถามออกมาอย่างระมัดระวัง ฉันเข้าใจดีว่าทำไมนางถึงเป็นเช่นนั้น

‘เพราะถ้าเป็นอีเบลลีน่า ตอนนี้ก็คงจะรำคาญจนลุกหนีไปแล้วน่ะสิ’

ในความทรงจำของอีเบลลีน่ามีภาพของพิธีสวดภาวนาที่จัดขึ้นเมื่อปีที่แล้วอยู่ บทสวดภาวนาที่นักบุญหญิงต้องอ่านตลอดพิธีที่จัดขึ้นทั้งสองวันนั้นมีปริมาณมาก เมื่อปีที่แล้วระหว่างที่อีเบลลีน่ากำลังทบทวนบทสวดอยู่นั้น นางบ่นว่าเหนื่อยแล้วก็ลุกกลับเข้าห้องไปเลย แล้วยังกล่าวอีกว่าจะไม่กลับมาทำอีกแล้ว ทำให้เหล่านักบวชวุ่นวายมาก

‘แต่ถึงอย่างไร ปีที่แล้วก็เป็นช่วงที่เตรียมงานใกล้เสร็จแล้วจึงผ่านมันไปได้…’

ในปีนี้ อีเบลลีน่ายังไม่แม้แต่จะเริ่มทบทวนบทสวดภาวนาเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นพวกนักบวชคงกังวลว่าหากทำให้นักบุญหญิงไม่พอใจเข้า นางจะบอกว่าไม่อยากทำเหมือนเมื่อปีที่แล้ว

“ถ้าเหนื่อยแล้วพักสักนิดแล้วค่อยดูต่อดีไหมคะ”

นักบวชที่สังเกตสีหน้าฉันถามขึ้นมาอีกครั้งด้วยใบหน้าที่ใกล้จะร้องไห้เต็มที ฉันผงกศีรษะเบาๆ เป็นการตอบคำถามนั้น นักบวชคนนั้นจึงรีบสั่นกระดิ่งเรียกนักบวชทั่วไปที่มีหน้าที่รับใช้เข้ามา จากนั้นก็สั่งให้ไปเตรียมน้ำชาและของว่าง

“เชิญท่านพักผ่อนได้ตามสบายจนกว่าน้ำชาและของว่างจะมาเลยค่ะ อีกไม่นานก็คงเตรียมเสร็จแล้ว”

คงเพราะกลัวว่าถ้าอยู่ด้วยกันในห้องนี้ นักบุญหญิงจะหาเรื่องมาจับผิดได้งั้นหรื นักบวชที่รับหน้าที่ตรวจสอบบทสวดภาวนาจึงรีบออกไปข้างนอกหลังจากพูดจบ

ฉันเอนหลังพิงโซฟาก่อนจะหลับตาลง

‘มันต้องเหนื่อยอยู่แล้ว’

การเตรียมงานกำลังผ่านไปอย่างราบรื่น เรียกได้ว่าเป็นการเตรียมงานด้วยความเร็วที่บ้าคลั่งก็ไม่ผิดนัก กิจวัตรประจำวันของฉันในตอนนี้ถูกจัดไว้อย่างเข้มงวดมาก ไม่มีเรื่องไหนเลยที่ไม่สำคัญ แต่การทบทวนบทสวดภาวนาเรียกได้ว่าเป็นงานที่สำคัญที่สุดในบรรดางานทั้งหมด

‘ตอนแรกที่ได้ยินว่าต้องจำทั้งหมดนี่ ฉันเคยคิดว่าเป็นเรื่องที่ไร้สาระมาก’

ตอนเห็นความหนาของกระดาษที่วางกองอยู่บนโต๊ะครั้งแรก ยอมรับเลยว่าฉันมองกระดาษสลับกับนักบวชด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ นี่ไม่ใช่ปริมาณที่คนเราจะสามารถจดจำได้หมดภายในสองสัปดาห์ ไม่สิ สองสัปดาห์ที่ไหนกัน อันที่จริงเหลือเวลาอีกไม่ถึงสิบวันในการเตรียมงานด้วยซ้ำ

อาจเพราะพวกนักบวชก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ดังนั้นพวกเขาจึงโค้งคำนับแล้วกล่าวเสียงเบาว่าขอให้ช่วยจำเท่าที่จำได้ ทว่าขณะกำลังทบทวนบทสวดภาวนา ฉันก็ได้รู้ความจริงเรื่องหนึ่ง

‘อีเบลลีน่าก็ท่องจำบทสวดพวกนี้ไปแล้วมากกว่าที่คิด’

ตอนแรกที่ได้ยินว่าต้องจำเนื้อหาพวกนี้ทั้งหมด ฉันก็เคยคิดว่าจะบอกไปว่าไม่ทำแล้วเหมือนที่อีเบลลีน่าตัวจริงทำ แต่พอเริ่มอ่านบทสวดภาวนาที่พวกนักบวชถือมาให้ ฉันก็รู้สึกถึงความแปลกประหลาด บทสวดที่ควรจะไม่คุ้นเคยกลับถูกอ่านออกมาได้อย่างลื่นไหล

ไม่ใช่แค่การอ่านตัวหนังสือเท่านั้น แต่ร่างกายของอีเบลลีน่ายังจดจำบทสวดภาวนาส่วนใหญ่ได้แล้วอีกด้วย ดังนั้นการเตรียมงานจึงเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว

‘นี่นางจำไว้ตั้งแต่ตอนไหนกันแน่?’

ความทรงจำที่ผ่านมานานแล้วของอีเบลลีน่าพลันปรากฏขึ้นมา ร่างกายของอีเบลลีน่าที่เห็นในความทรงจำมีขนาดเล็กมาก ส่วนนักบวชที่อยู่รอบกายของนางกลับดูตัวใหญ่ผิดปกติ ดูเหมือนจะเป็นความทรงจำสมัยที่นางยังเป็นเด็กมาก อีเบลลีน่าที่อยู่ในความทรงจำนั้นกำลังนั่งเขียนบทสวดภาวนาอยู่บนโต๊ะหนังสือ

‘เพราะเป็นสิ่งที่เริ่มจำมาตั้งแต่เด็ก ก็เลยยังจำได้อยู่งั้นเหรอ’

มีเนื้อหาเขียนไว้ในหนังสือว่าอีเบลลีน่าเป็นคนที่เข้าพิธีสืบทอดตำแหน่งนักบุญหญิงและเข้ามาอยู่ในวิหารตั้งแต่สมัยที่ยังเด็กมาก บางทีในตอนนั้นนางคงทำหน้าที่ในฐานะนักบุญอย่างเต็มที่และเข้าเรียนด้วย ในตอนที่กำลังโล่งใจ ก็ได้ยินเสียงดังหนวกหูดังมาจากอีกฝากของประตู

“อย่างไรข้าก็จะเข้าพบท่านนักบุญให้ได้!”

เป็นเสียงที่คุ้นเคย แล้วก็เป็นเสียงที่ชวนให้หงุดหงิดมากด้วย เสียงเคาะประตูดังขึ้นอย่างเร่งรีบพร้อมกับเสียงนักบวชที่เรียกฉัน

“ท่านนักบุญหญิง นักบวชคาลูซต้องการจะเข้าพบท่าน”

สั่งให้กลับไปเลยดีไหมฉันคิดแต่ก็ส่ายหัวในทันที ฉันมีความรู้สึกว่าหากตอนนี้ไม่พบนักบวชคาลูซนั่น เขาจะต้องสร้างปัญหาที่หนักกว่าเดิมแน่

“บอกให้เขาเข้ามาได้”

“เข้าใจแล้วค่ะ ถ้าอย่างนั้น…อ๊ะ!”

สิ้นเสียงของนักบวชทั่วไป ประตูก็ถูกเปิดอย่างแรง จากนั้นนักบวชคาลูซก็เดินดุ่มๆ เข้ามาในห้อง นักบวชคนอื่นทำท่าจะเดินตามเขาเข้ามาด้วย

“ทุกคนออกไปรอข้างนอก”

“แต่ว่า ท่านนักบุญหญิง…”

“ไป”

ได้ยินคำสั่งที่เฉียบขาด นักบวชคนอื่นจึงไม่รู้ว่าควรทำตัวอย่างไร เลยได้แต่ทิ้งคำพูดไว้ว่า*‘ถ้ามีคำสั่งอะไร โปรดเรียกหา’* ก่อนจะออกไป ทันทีที่นักบวชคนอื่นออกจากห้องไปหมดแล้ว คาลูซก็ตะโกนเสียงดังออกมาทันที

“ทำไมท่านถึงทำกับข้าเช่นนี้!”

ใบหน้าพลันหงิกงอเมื่อได้ยินเขาตะโกน

‘เสียมารยาท’

ความคิดผุดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว คาลูซเป็นนักบวชระดับสูง แต่ต่อให้เขามีตำแหน่งสูงในวิหารหลวง แต่ก็ไม่ได้อยู่ในจุดที่สามารถขึ้นเสียงใส่นักบุญหญิงได้อย่างเหิมเกริมเช่นนี้ นอกจากนี้ เขายังกล้าตะโกนทั้งที่รู้อยู่ว่าด้านนอกได้ยินเสียงทั้งหมด กะแล้วว่าคนผู้นี้สมควรถูกกำจัดออกไปโดยไว

“เจ้าหมายถึงอะไรหรือ”

ฉันคิดหาเหตุผลในการไล่คาลูซออกไปให้ไกลพลางเอ่ยถาม ทันใดนั้นใบหน้าของคาลูซก็บิดเบี้ยว

“ท่านถามเพราะไม่รู้จริงๆ หรือ? ท่านแต่งตั้งให้ผู้อื่นดำรงตำแหน่งที่ว่างอยู่ของวิหารหลวงในพิธีสวดภาวนาปีนี้แล้วใช่หรือไม่!”

เป็นตามที่เขาพูด นักบวชระดับสูงคนอื่นที่ไม่ใช่คาลูซได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งแทนผู้อาวุโสที่ไม่อาจดูแลงานของวิหารได้ในตอนนี้เพราะชราภาพ แต่ฉันไม่ได้เลือกใครไปมั่วๆ หลังจากควานหาในความทรงจำของอีเบลลีน่าอยู่นานก็พบนักบวชระดับสูงผู้หนึ่งที่คอยตักเตือนนางอยู่เสมอ เป็นนักบวชที่ไม่เคยยอมแพ้แม้ถูกอีเบลลีน่าเมินรวมถึงขับไล่ไปยังที่ไกลตาในวิหารหลวง และยังส่งจดหมายหาอีเบลลีน่าอยู่ทุกวัน

ทันทีที่ฉันแต่งตั้งให้นางรับตำแหน่งผู้แทนผู้อาวุโส พวกนักบวชคนอื่นที่อยู่รอบข้างต่างก็ตกใจ คำว่า ‘เป็นไปได้อย่างไร’ ที่ปรากฏอยู่บนหน้าของพวกเขาทำให้รู้ว่าฉันจัดการเรื่องนี้ได้อย่างถูกต้อง ถ้าเป็นอีเบลลีน่าคนเดิมคงไม่มีทางแต่งตั้งนาง ดังนั้นพวกเขาถึงได้ทำสีหน้าแบบนั้นออกมา หากจิตวิญญาณของอีเบลลีน่ายังอยู่ในร่าง นางจะต้องแต่งตั้งให้คาลูซรับตำแหน่งผู้แทนผู้อาวุโสแน่

‘ในหนังสือมีเขียนไว้ว่านางแต่งตั้งนักบวชที่ไม่มีความสามารถในการจัดการพิธีสวดภาวนามากพอ สุดท้ายแล้วจึงทำให้กลายเป็นพิธีสวดภาวนาที่แย่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา’

นั่นไม่ใช่เรื่องเดียวที่ฉันทำระหว่างจัดเตรียมพิธีสวดภาวนา ฉันยังปรับเปลี่ยนคนที่อีเบลลีน่าเคยวางไว้ทั้งหมดด้วย เดิมทีฉันคิดว่าอาจจะไม่มีปัญหาอะไร จึงลองไปพบกับพวกเขาก่อนที่จะปรับเปลี่ยนเป็นครั้งสุดท้าย แต่แล้วก็ได้รู้ว่าคนพวกนั้นล้วนแต่เป็นพวกที่ไม่มีคุณสมบัติโดยไม่จำเป็นต้องสำรวจความทรงจำของอีเบลลีน่าเลย นั่นเพราะตอนที่ฉันไปพบ พวกเขากำลังเมาอยู่ในห้องของตัวเองในวิหาร

‘ทำไมอีเบลลีน่าถึงเลือกแต่งตั้งคนพวกนี้ได้เนี่ย’

ราวกับว่านางจงใจทำลายพิธีสวดภาวนาเสียมากกว่า

“ท่านได้ฟังข้าพูดอยู่หรือไม่!”

ไม่อะ ไม่ได้ฟัง

แต่จะให้ตอบกลับไปเช่นนั้นก็ไม่ได้ ฉันเลยพยักหน้ากลับไป แต่คาลูซกลับยิ่งส่งเสียงดังมากขึ้นเมื่อเห็นท่าทางเช่นนั้นของฉัน

“ท่านจะทำแบบนี้กับข้าไม่ได้! ท่านเองก็รู้ดีกว่าใครว่าข้าพยายามเพียงใดเพื่อเรื่องที่ท่านขอให้ข้าช่วยทำอย่างลับๆ!”

เขาตะโกนออกมาเสียงดังขนาดนี้ ความลับพวกนั้นก็คงไม่ใช่ความลับอีกต่อไปแล้ว

“นักบวชคาลูซ ข้าบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่าไม่ให้ส่งคนพวกนั้นมาให้อีก”

“แต่ว่า…”

“แต่ว่าเจ้ากลับไม่ฟังคำของข้า แล้วยังพาคนนอกเข้ามาในวิหารหลวงตามใจชอบ แถมคนผู้นั้น…ยังเสียมารยาทกับข้ามาก”

มันน่าสะอิดสะเอียนจนฉันไม่อยากจะเอ่ยปากออกมาว่าเขาพยายามจะขืนใจ อาจเป็นเพราะสัมผัสได้ว่าน้ำเสียงของฉันเคร่งเครียดขึ้น คาลูซจึงปิดปากเงียบ

“ข้าจำได้ดี…ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเจ้าพยายามอะไรมาเพื่อข้าบ้าง”

ความพยายามพาผู้ชายมาส่งให้ถึงเตียง ใจจริงฉันอยากจะส่งคาลูซไปขังไว้ที่คุกใต้ดินเสียตอนนี้แต่ก็ทำไม่ได้ ถึงอย่างไรก็เป็นความจริงที่ในอดีตอีเบลลีน่าจับมือกับคาลูซเพื่อให้ได้ใช้เวลาในแต่ละคืนกับชายแปลกหน้า นั่นเป็นเรื่องที่จะไม่มีวันหายไปแม้บอกว่าจากนี้ไปจะพยายาม

‘ถ้าอย่างนั้นต้องจัดการให้เงียบเชียบมากที่สุด’

แน่นอนว่าหมายถึงเรื่องที่จะกำจัดคาลูซ แต่ต้องทำอย่างเงียบเชียบ ฉันจะจ่ายค่าตอบแทนให้เขา อย่างน้อยก็ต้องปิดปากเขาไว้ให้สนิทจนกว่าอีริสจะปรากฎตัว

ฉันสั่งคาลูซที่ไม่อาจข่มความโกรธจนฟึดฟัดออกมาว่า

“นักบวชคาลูซ เจ้าหยิบกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาสิ แผ่นใดก็ได้”

“นี่ท่านจะให้…”

“อย่าให้ต้องพูดซ้ำเป็นครั้งที่สอง เพราะข้าไม่อาจอดทนกับเจ้าอีกต่อไป”

น้ำเสียงเย็นชาที่พูดกับคาลูซเป็นไปโดยธรรมชาติ อาจเป็นเพราะเขาสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงจึงได้ทำตามคำสั่งของฉันอย่างว่าง่าย ฉันมองเขาหยิบกระดาษขึ้นมาแล้วออกคำสั่ง

“อ่านบรรทัดแรก”

“เหตุใดจึงต้อง…พอพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ทอดสายตาลงมายังแผ่นดินนี้ ความทุกข์ระทมของมนุษย์ก็ทะลัก….”

พอเขาอ่านถึงตรงนั้น ฉันก็ลุกขึ้นไปหยิบกระดาษในมือเขาออก จากนั้นก็โยนไปด้านหลัง

“ตอนนี้ เจ้าลองพูดประโยคที่ต่อจากนั้นดู”

“หมายความว่าอย่างไร จะพูดประโยคต่อไปได้อย่างไรในเมื่อไม่ได้ดู…”

“นักบวชคาลูซ ในกระดาษพวกนั้นล้วนมีแต่คำสวดภาวนาที่จะใช้ในพิธีสวดภาวนาทั้งนั้น แน่นอนว่าข้าในฐานะนักบุญหญิงต้องจำให้ได้อยู่แล้ว ยังมีคนอื่นที่ต้องเป็นผู้ช่วยให้กับผู้อาวุโสที่ต้องจำเช่นกัน แต่ว่า…”

มองไปยังโต๊ะหนังสือ บทสวดภาวนากว่าสิบแผ่นวางอยู่บนนั้น

“ในบรรดาบทสวดที่อยู่ที่นี่ มีบทสวดใดที่เจ้าจดจำได้ตั้งแต่ต้นจนจบหรือไม่”

“…”

คาลูซไม่ตอบกลับมา คงไม่มีบทสวดที่เขาจำได้ เขาก้มหัวลง ไหล่ของเขาสั่นระรัวราวกับไม่คิดจะข่มความแค้นเอาไว้

“ข้าจะไม่แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องที่เจ้าเคยพยายามทำมา เพราะฉะนั้นภายในเร็ววันนี้ ข้าจะไม่ให้เจ้าต้องเสียใจ…”

“ไม่จำเป็นขอรับ”

ทันใดนั้นกระดาษก็ปลิวกระจัดกระจายไปทั่ว คาลูซโยนกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะลงพื้น ดวงตาของเขาที่จ้องเขม็งมาทางฉันเป็นสีแดงก่ำด้วยเลือด เขากัดฟันพูดออกมาด้วยดวงตาที่น่าขนลุก

“ท่านจะต้องเสียใจที่ไม่เลือกข้าเป็นผู้อาวุโส ท่านนักบุญหญิง”

หลังจากพูดจบ คาลูซก็เดินออกไปด้านนอกทันที เหล่านักบวชที่ยืนรออยู่ด้านนอกตกใจที่จู่ๆ ประตูก็เปิดออกมากระแทก แต่เขาก็เดินจากไปไกลโดยไม่หันกลับมามองอีกเลย

ฉันมองดูเขาจากไปเงียบๆ แล้วโน้มตัวลง ควรจะจัดการกระดาษที่ตกอยู่บนพื้นก่อนที่นักบวชคนอื่นจะเข้ามาในห้องแล้วเอะอะโวยวาย

‘คิดผิดแล้วที่คิดจะจัดการอย่างเงียบๆ’

ฉันตั้งใจจะให้ทรัพย์สมบัติแก่นักบวชคาลูซประมาณหนึ่ง จากนั้นก็ส่งเขาไปอยู่ที่ไกลๆ แต่ดูเหมือนเขาจะเป็นคนทะเยอทะยานกว่าที่ฉันคิดเอาไว้

ตอนที่กำลังเก็บกระดาษอยู่นั่นเอง ก็เห็นกระดาษแผ่นหนึ่งซึ่งไม่ใช่กระดาษบทสวดภาวนาเข้า

“นี่มัน…”

เป็นเอกสารเกี่ยวกับเรื่องการดูแลรักษาความปลอดภัยของพิธีสวดภาวนา ในนั้นเขียนไว้ว่าราธบันจะไม่เข้าร่วมในการอารักขาความปลอดภัยส่วนตัวของนักบุญหญิงเพื่อไปรับหน้าที่ในการดูแลภาพรวมของพิธีสวดภาวนาแทน

‘รู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้’

รู้อยู่แล้วว่าราธบันคงไม่มีทางมาเป็นองครักษ์ส่วนตัวให้แน่ ลองคิดดูแล้วหากเขายังมายืนข้างอีเบลลีน่าด้วยท่าทางราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น นั่นกลับยิ่งเป็นเรื่องแปลกมิใช่หรือ ทั้งเรื่องที่ถูกดูแคลน แล้วไหนจะยังมีเรื่องที่เกิดขึ้นในสวนอีก ตอนนั้นเขาพาชายหนุ่มที่หมดสติเพราะกระแทกต้นไม้กลับไปด้วย ดังนั้นเขาก็คงรู้ว่าชายผู้นั้นเข้ามาในวิหารด้วยเส้นทางใดและด้วยวัตถุประสงค์อะไร

แต่ถึงกระนั้นฉันก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหดหู่

ไม่ว่าจากนี้ไปจะพยายามแค่ไหน อนาคตก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

ราวกับมีใครบางคนพูดกระซิบอยู่อย่างนั้น