สองวันหลังจากนั้น ก็มีข่าวคราวที่เฉิงสวี่สอบผ่านได้ตำแหน่งเจี้ยหยวนเผยแพร่ออกมา
ทั้งซอยจิ่วหรูเต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี
ต้องรู้ว่า คนในตระกูลเฉิงที่สอบขุนนางได้ลำดับดีที่สุดคือเฉิงเซ่าผู้เป็นนายท่านผู้เฒ่ารองของจวนหลัก เขาสอบได้ตำแหน่งปั๋งเหยี่ยน[1]ประจำปีการสอบเจี่ยซวีรัชศกหย่งชางปีที่สิบสอง แต่ตอนที่เฉิงเซ่าได้รับตำแหน่งปั๋งเหยี่ยนนั้น ก็อายุสามสิบเจ็ดปีแล้ว
แต่เจี้ยหยวนที่อายุสิบเจ็ดปี ความเป็นไปได้ก็มีมากเช่นกัน
ระหว่างทางที่โจวเสาจิ่นเดินไปเรือนหานชิวก็ได้ยินพวกบ่าวรับใช้ที่กำลังรดน้ำและตัดกิ่งต้นไม้ดอกไม้กันอยู่คุยโต้ต้อบกันว่า “…คุณชายใหญ่จะต้องสอบได้ตำแหน่งจ้วงหยวน[2]อย่างแน่นอน หลังจากนายท่านผู้เฒ่ารอง ซอยจิ่วหรูของพวกเราคงจะต้องสร้างซุ้มประตู ‘ผู้สอบผ่านจ้วงหยวน’ สักประตูแล้ว!”
“ข้าคิดว่าต่อให้คุณชายใหญ่ได้รับตำแหน่งจ้วงหยวน จวนหลักก็ไม่สร้างซุ้มประตู!” มีคนเอ่ยขึ้น “คนของจวนหลักล้วนไม่ชอบความอึกทึกคึกโครมมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ตอนที่นายท่านผู้เฒ่ารองได้รับตำแหน่งปั๋งเหยี่ยนนั้น มิใช่ว่าก็มีคนมาเกลี้ยกล่อมให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวสร้างซุ้มประตู ‘ผู้สอบผ่านปั๋งเหยี่ยน’ แต่ถูกฮูหยินผู้เฒ่ากัวปฏิเสธไปหรอกหรือ”
“แต่ซุ้มประตู ‘ผู้สอบผ่านปั๋งเหยี่ยน’ กับ ‘ผู้สอบผ่านจ้วงหยวน’ ไม่เหมือนกันนี่นา ครั้งก่อนเป็นน้องสามี แต่ครั้งนี้เป็นหลานชายแท้ๆ ของตัวเอง ทั้งยังเป็นหลานชายคนโตของจวนหลัก เป็นคนที่จะต้องรับช่วงดูแลซอยจิ่วหรู! ต่อให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่ยอม แล้วฮูหยินหยวนเล่า?” มีคนกล่าวแย้ง “นอกจากนี้อดีตก็คืออดีต ปัจจุบันก็คือปัจจุบัน เมื่อก่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัวเป็นแม่หม้ายลูกติด ที่ต้องเลี้ยงดูบุตรชายถึงสามคน เจ้าดูตอนนี้ บุตรชายทั้งสามคนล้วนเป็นจิ้นซื่อขั้นสอง บุตรชายคนโตเป็นขุนนางมีอำนาจอยู่ในราชสำนัก บุตรชายคนรองเป็นบัณฑิตตำแหน่งสูงอยู่ในสำนักฮั่นหลิน เจ้าว่า หากเจ้าเป็นฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะทำอย่างไร”
“แน่นอนว่าต้องเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่อยู่แล้ว!” มีคนเข้ามาร่วมวงสนทนากับบ่าวรับใช้สองสามคนนั้นเพิ่ม “อะไรก็ไม่ทำสักอย่าง มิเท่ากับการสวมอาภรณ์งดงามเดินอยู่ในค่ำคืนอันมืดมิดหรอกหรือ จะไปมีประโยชน์อะไร”
“เสียดายที่เจ้ามิใช่ฮูหยินผู้เฒ่ากัว!” มีคนกล่าวขึ้นพร้อมกับหัวเราะคิก “ความคิดของฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั้นแม้แต่ฮูหยินหยวนยังคาดเดาไม่ได้เลย เจ้าไปพักก่อนจะดีกว่า!”
คนผู้นั้นไม่พอใจเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “หรือว่าเจ้าคาดเดาความคิดของฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้อย่างนั้นหรือ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวจะไม่เฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่”
ทั้งสองคนเจ้าเถียงประโยคหนึ่ง ข้าเถียงประโยคหนึ่ง ทะเลาะกันขึ้นมา
โจวเสาจิ่นส่ายศีรษะยิ้มๆ กำลังจะจากไป ก็ได้ยินคนกล่าวหว่านล้อมว่า “เอาละๆ พวกเจ้าไม่ต้องทะเลาะกันแล้ว! คนที่จวนหลักยังไม่อะไรกันเลย พวกเจ้าก็ดีกลับมาทะเลาะกันเอง ข้าคิดว่า ถึงแม้คุณชายใหญ่ผู้นั้นจะสอบผ่านได้ตำแหน่งเจี้ยหยวนแล้ว แต่ก็ยังห่างไกลจากตำแหน่งจ้วงหยวนอีกมากโข…”
“เจ้าจะเข้าใจอะไร!” มีคนกระโดดออกมาอีก กล่าวขึ้นว่า “ตอนที่ข้าไปซื้อของให้ฮูหยินใหญ่ที่ตลาดนั้น ได้ยินนักเล่าเรื่องที่โรงน้ำชาพูดว่า ถ้าหากมีรูปร่างหน้าตางดงามหล่อเหลา เมื่อได้ขึ้นไปที่พระที่นั่งจินหลวนแล้ว อย่างน้อยจะต้องได้รับตำแหน่งทั่นฮวา[3]สักตำแหน่งหนึ่ง นายท่านผู้เฒ่ารองจากจวนหลักของพวกเรานั้น ในปีนั้นไม่เพียงเขียนความเรียงได้ดีมากเท่านั้น หน้าตาก็โดดเด่นหล่อเหลามากเช่นกัน องค์ฮ่องเต้ทรงคิดจะคัดเลือกให้เขาเป็นทั่นฮวา ผลปรากฏว่าผู้เข้าร่วมการสอบที่อายุน้อยที่สุดในปีนั้นกลับเป็นนายท่านผู้เฒ่าเก้าของตระกูลหลี่จากหลูเจียง หน้าตาธรรมดาสามัญยิ่ง องค์ฮ่องเต้จึงคัดเลือกให้นายท่านผู้เฒ่าเก้าของตระกูลหลี่จากหลูเจียงผู้นั้นเป็นทั่นฮวา แล้วให้นายท่านผู้เฒ่ารองของพวกเราเป็นปั๋งเหยี่ยนแทน”
“พูดเหลวไหล” ทุกคนต่างไม่เชื่อ กล่าวขึ้นว่า “แล้วนายท่านสี่ฉือจากจวนหลักของพวกเราหน้าตาธรรมดาหรือ แล้วก็เคยได้ขึ้นไปที่พระที่นั่งจินหลวนมาแล้วเช่นกัน เหตุใดถึงไม่ได้รับตำแหน่งทั่นฮวากลับมาสักตำแหน่งเล่า?”
คนผู้นั้นพูดไม่ออก
ทุกคนจึงพากันพูดคุยเกี่ยวกับเฉิงฉือขึ้นมา
“เจ้าว่า นายท่านสี่ฉือเป็นอะไรไป สาวใช้ใหญ่ข้างกายหลายคนนั้นล้วนปล่อยให้แต่งงานออกไปกันหมด เหลือเพียงหนานผิงกับจี๋อิ๋งเท่านั้น หนานผิงผู้นั้นยังคงครองตัวโสดหลังจากคู่หมั้นเสียชีวิต แล้วก็ไม่หาคนเพิ่มแม้แต่คนเดียว บ่าวชายข้างกายก็หน้าตาดีเป็นลำดับต้นๆ…”
“จริงด้วยๆ! ข้าได้ยินคนจวนหลักพูดกันว่า นายท่านสี่ฉือไม่ไปพวกหอเริงสำราญอย่างหอฉินฉู่ หรือโรงละครหลีหยวนเหล่านั้นเลย กระทั่งแม้แต่สาวใช้อุ่นเตียงสักคนก็ไม่มี!”
“ไม่จริงกระมัง! มิใช่ว่าจี๋อิ๋งผู้นั้นเป็นสาวใช้อุ่นเตียงของนายท่านสี่ฉือหรอกหรือ เช่นนั้นคราวก่อนที่คุณชายรองอี้ไปเกี้ยวจี๋อิ๋งแล้วถูกจี๋อิ๋งตี ข้าเห็นจี๋อิ๋งผู้นั้นกลับไม่โดนอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว…”
“ข้าเองก็คิดว่าจี๋อิ๋งผู้นั้นน่าจะเป็นสาวใช้อุ่นเตียงของนายท่านสี่ฉือ เจ้าดูรูปร่างหน้าตาของนาง แม้แต่คุณหนูจากตระกูลเจ้าเมืองยศขั้นสี่ผิ่นอย่างสะใภ้ใหญ่นั่วที่เพิ่งแต่งเข้ามายังเทียบนางไม่ได้เลย! ข้าว่ามิใช่เพราะข้างกายของนายท่านสี่ฉือไม่มีคน แต่เป็นเพราะคนธรรมดาสามัญทั่วไปไม่เข้าตาเขามากกว่า เจ้าดูจี๋อิ๋งผู้นั้น หน้าตางดงามขนาดนั้น คุณชายรองอี้ของพวกเรายังมองจนตาค้าง…”
โจวเสาจิ่นยิ่งเดินก็ยิ่งห่างออกไปเรื่อยๆ เสียงพูดคุยนั้นก็ยิ่งเบาลงเรื่อยๆ เช่นกัน นางยกยิ้มที่มุมปากอย่างห้ามไม่อยู่
กำลังคิดว่าถ้าจี๋อิ๋งมาได้ยินคำพูดพวกนี้เข้า ไม่รู้ว่าจะโมโหมากเพียงใด!
นางเดินเข้าโถงหลักไปด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกำลังคุยอะไรบางอย่างกับป้ารับใช้ประจำห้องครัวอยู่ เห็นโจวเสาจิ่นเดินเข้ามา ก็กล่าวยิ้มๆ ว่า “เช้าตรู่ขนาดนี้ไปเจอเรื่องน่ายินดีอะไรมาหรือ มีความสุขจนยิ้มไม่หุบเลยทีเดียว เล่าให้ข้าฟังบ้าง ข้าจะได้มีความสุขไปด้วย!”
ป้ารับใช้ประจำห้องครัวผู้นั้นยิ่งแล้วใหญ่กล่าวประจบประแจงอย่างยิ้มแย้มว่า “คุณหนูรองยิ้มเช่นนี้แล้ว ยิ่งเหมือนดอกไม้ดอกหนึ่งเข้าไปใหญ่ ช่างงดงามจริงๆ เจ้าค่ะ!”
โจวเสาจิ่นยอมรับว่าพอตนได้ยินผู้อื่นชมเฉิงฉือนางก็เลยรู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก แต่มันเห็นได้ชัดขนาดนั้นเลยหรือ
นางลูบหน้าตัวเองอย่างช่วยไม่ได้ กล่าวยิ้มๆ ว่า “เช้าวันนี้ก็ดูเหมือนกับทุกวัน ไม่ได้มีเรื่องอะไรเป็นพิเศษเลยนี่เจ้าคะ”
ป้ารับใช้ประจำห้องครัวจึงกล่าวขึ้นว่า “ต้องเป็นเพราะคุณชายใหญ่ใกล้จะแต่งงานแล้ว คุณหนูรองก็เลยมีความสุข!
ป้ารับใช้ผู้นี้ช่างพูดช่างเจรจาจริงๆ
โจวเสาจิ่นเม้มปากหัวเราะ
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนเอ่ยถามนางว่า “คุณชายใหญ่สวี่สอบผ่านได้ตำแหน่งเจี้ยหยวนแล้ว ทางจวนหลักมีการตระเตรียมอะไรหรือไม่”
“ไม่ทราบเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ “ข้าอาศัยอยู่ที่เรือนหานปี้ซาน ตั้งแต่ฮูหยินหยวนกลับมา ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็มอบหมายงานบ้านของจวนหลักให้ฮูหยินหยวนเป็นคนดูแล ฮูหยินหยวนมีการเตรียมการอะไรหรือไม่นั้น ดูเหมือนจะยังไม่ได้หารือกับฮูหยินผู้เฒ่าเลยเจ้าค่ะ อย่างไรก็ตาม จากความตั้งใจของฮูหยินผู้เฒ่าคือไม่ต้องเฉลิมฉลองใหญ่โตอะไร ให้คนในบ้านมารับประทานอาหารด้วยกันสักมื้อก็พอเจ้าค่ะ”
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนได้ยินแล้วก็กล่าวยกย่องยิ้มๆ ว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าเคยผ่านประสบการณ์มาแล้ว จึงสงบนิ่งยิ่งนัก หากเป็นข้า จะต้องจัดงิ้วโรงใหญ่ที่หน้าประตูสักสองสามวันเป็นแน่”
โจวเสาจิ่นหัวเราะออกมา
มีป้ารับใช้มาด้อมๆ มองๆ อยู่นอกประตู
โจวเสาจิ่นจำได้ว่าเป็นป้ารับใช้ผู้หนึ่งที่ทำหน้าที่กวาดพื้นอยู่ที่เรือนชั้นนอก จึงถามนางยิ้มๆ ว่า “มีเรื่องอะไรหรือ”
นางเดินเข้ามาอย่างระมัดระวัง ยอบกายทำความเคารพฮูหยินใหญ่เหมี่ยนและโจวเสาจิ่น พึมพำกล่าวขึ้นว่า “ฮูหยินใหญ่ คุณหนูรอง ข้าได้ยินคนพูดกันว่า ฮูหยินใหญ่ไป่ไม่สบาย ที่บ้านกำลังขายที่ดินกันอยู่ มีบางส่วนเป็นสมบัติตกทอดของตระกูลด้วยเจ้าค่ะ…”
หลายปีก่อนฮูหยินใหญ่ไป่กับจวนสี่ใกล้ชิดสนิทสนมกันยิ่งนัก ที่ห่างเหินกันไปก็เพราะเรื่องของสองปีมานี้ แล้วก็นับตั้งแต่เฉิงลู่ไปเรียนที่สำนักศึกษาเย่ว์ลู่ด้วย ในสายตาของผู้อื่น ฮูหยินใหญ่ไป่เป็นแม่หม้าย บุตรชายก็ไม่อยู่บ้าน จึงต้องปิดประตูบ้านอย่างแน่นหนาเป็นธรรมดา ไปมาหาสู่กับจวนสี่น้อยลงก็เป็นเรื่องปรกติ แต่กลับไม่มีใครสังเกตว่าความเป็นจริงแล้วจวนสี่กับบ้านของเฉิงลู่เลิกไปมาหาสู่กันแล้ว พอบ้านของเฉิงลู่มีเรื่องเกิดขึ้น พวกบ่าวรับใช้ได้ยินแล้วย่อมต้องมาแจ้งฮูหยินใหญ่เหมี่ยนสักคำเป็นธรรมดา
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนและโจวเสาจิ่นต่างตกใจเป็นอย่างมาก ทั้งสองมองหน้ากัน ไม่ได้พูดอะไรกว่าครู่ใหญ่
บ้านของเฉิงลู่ก็ถือว่าร่ำรวย ฮูหยินใหญ่ไป่ป่วยเป็นอะไร ถึงกับต้องเอาที่ดินไปขาย นอกจากนี้บางส่วนยังเป็นสมบัติตกทอดของตระกูลอีกด้วย!
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกล่าวกับป้ารับใช้ผู้นั้นว่า “เรื่องนี้ไม่อาจเอาไปพูดไปทั่วได้ ระหว่างนี้เจ้าจงเก็บเป็นความลับเอาไว้ในใจ รอข้าสอบถามนายท่านใหญ่ก่อนแล้วค่อยตัดสินใจกันอีกที” จากนั้นให้คนนำเหรียญทองแดงมามอบให้นางจำนวนหนึ่งเป็นรางวัล
ป้ารับใช้เดินจากไปด้วยความซาบซึ้งเป็นล้นพ้น
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนรีบให้คนไปเชิญเฉิงเหมี่ยนมา เล่าเรื่องนี้ให้เฉิงเหมี่ยนฟัง
เห็นได้ชัดว่าเฉิงเหมี่ยนเองก็เพิ่งจะได้ยินเป็นครั้งแรก ดูประหลาดใจเป็นอย่างมาก กล่าวขึ้นในทันทีทันใดว่า “ข้าจะให้คนไปสืบดู”
ถึงแม้จะบอกว่าทั้งสองครอบครัวแทบจะไม่ได้ไปมาหาสู่กันแล้ว แต่หนึ่งพู่กันไม่อาจตวัดคำว่า ‘เฉิง’ ออกมาสองตัวได้ ในสายตาของคนจินหลิงแล้ว เฉิงลู่ยังคงเป็นบุตรหลานของตระกูลเฉิงอยู่ มารดาของเฉิงลู่ไม่สบาย ถึงขั้นต้องขายที่ดิน ถึงแม้ซอยจิ่วหรูจะไม่เอาเงินออกมาช่วยเหลือเขาให้ผ่านช่วงเวลายากลำบากนี้ แต่ก็ไม่อาจปล่อยให้สมบัติตกทอดของตระกูลเฉิงตกไปอยู่ในมือของผู้อื่นได้ จึงควรจะซื้อที่ดินที่เฉิงลู่ต้องการขายมาถึงจะถูก โดยเฉพาะจวนสี่ที่สนิทสนมกับครอบครัวเฉิงลู่ หากไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว คงทำให้คนเข้าใจผิดว่าใจจืดใจดำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนพยักหน้า เดินออกไปส่งเฉิงเหมี่ยนอย่างหนักใจ หลังจากที่ครุ่นคิดซ้ำไปซ้ำมาอยู่ภายในห้องครู่ใหญ่แล้ว ก็ทิ้งโจวเสาจิ่นไว้ที่เรือนหานชิว ส่วนตัวเองเดินไปหาฮูหยินผู้เฒ่ากวน
โจวเสาจิ่นรู้สึกกังวลใจเล็กน้อยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ชาติก่อนหลังจากที่ถูกตระกูลเฉิงขับไล่ออกไปแล้ว เฉิงลู่ถึงจะขายทรัพย์สมบัติให้จวนสามแล้วพาต่งซื่อผู้เป็นมารดาออกจากเมืองจินหลิงไป
ชาตินี้ในเมื่อเขากำลังเผชิญกับสถานการณ์ยากลำบากเรื่องถูกถอดถอนชื่ออยู่ ต่อไปอาจไม่ได้เป็นขุนนาง จึงควรจะรักษาสมบัติตกทอดของตระกูลเอาไว้ถึงจะถูก เหตุใดถึงจะขายสมบัติตกทอดของตระกูลด้วย?
ตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเฉิงลู่กันแน่
นางเข้าใจมาตลอดว่าที่ต่งซื่อไม่สบายนั้นเป็นคำกล่าวอ้างของเฉิงลู่ นี่ต่งซื่อป่วยจริงๆ อย่างนั้นหรือ
หรือว่าเฉิงลู่มีแผนอะไร
ไม่ง่ายเลยกว่าจะรอจนถึงตอนเย็น เฉิงเหมี่ยนเข้ามาทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่ากวนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม กล่าวขึ้นว่า “สืบมาแน่ชัดแล้วขอรับ ฮูหยินใหญ่ไป่ไม่สบายจริงๆ โจวเหนียงจื่อไปตรวจดูอาการมา แต่อาการป่วยของฮูหยินใหญ่ไป่แปลกประหลาดยิ่งนัก เดี๋ยวดีเดี๋ยวแย่ โจวเหนียงจื่อก็บอกไม่ได้ว่าตกลงเป็นโรคอะไรกันแน่ ท่านหมอโจวบอกว่า ไปเชิญหมอหลวงที่จิงเฉิงมาตรวจดูจะดีที่สุด เฉิงเซียงชิงเร่งกลับมาเมื่อสามวันก่อน วันนี้รอดูอาการป่วยอยู่ที่บ้าน ส่วนเรื่องขายนาขายที่ล้วนปล่อยให้จ้าวต้าไห่บ่าวคนสนิทข้างกายเฉิงเซียงชิงเป็นคนไปจัดการทั้งหมด ก่อนมาที่นี่ข้าได้ไปพบน้องชายฉือกับท่านผู้นำตระกูลจวนรองมาแล้ว น้องชายฉือบอกว่า หากถึงขั้นนี้แล้วจริงๆ เขาจะออกเงินห้าร้อยเหลี่ยงเพื่อช่วยเหลือเฉิงเซียงชิง ส่วนท่านผู้นำตระกูลจวนรองบอกว่าจะซื้อสมบัติตกทอดของเฉิงลู่เอาไว้…”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนได้ยินแล้วก็ย่นหัวคิ้วขึ้น
เฉิงฉือยินดีจะออกเงินให้ห้าร้อยเหลี่ยง แต่ท่านผู้นำตระกูลจวนรองกลับต้องการซื้อสมบัติตกทอดของเฉิงลู่เอาไว้…ระดับสูงต่ำช่างแตกต่างกันอย่างเด่นชัดจริงๆ
นางพึมพำกล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นเจ้านำข่าวไปแจ้งเฉิงเซียงชิงสักหน่อยก็แล้วกัน” แล้วก็กล่าวกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนว่า “เจ้านำพวกยาบำรุงร่างกายไปเยี่ยมฮูหยินใหญ่ไป่สักหน่อย ถือเป็นไมตรีระหว่างสองตระกูล”
เฉิงเหมี่ยนและฮูหยินใหญ่เหมี่ยนต่างขานรับคำอย่างพร้อมเพียงกัน ฮูหยินผู้เฒ่ากวนถอนหายใจพร้อมกับส่ายศีรษะขณะที่ปล่อยให้โจวเสาจิ่นประคองนางเข้าไปในห้องชั้นใน
โจวเสาจิ่นปลอบโยนฮูหยินผู้เฒ่ากวนว่า “ท่านอย่าเป็นกังวลไปเลยเจ้าค่ะ ทุกคนต่างกำลังช่วยเหลือพวกเขากันอยู่ พวกเขาต้องผ่านความยากลำบากนี้ไปได้อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนพยักหน้าอย่างหมดกำลังใจ กล่าวขึ้นว่า “อาจจะเป็นเพราะอายุมากแล้ว ข้าในตอนนี้ยิ่งอยู่ก็ยิ่งเชื่อเรื่องทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ที่ยังไม่ได้ตอบแทนมิใช่เพราะไม่ต้องตอบแทน เพียงแต่ยังไม่ถึงเวลาเท่านั้น คนเรานี้ ดีต่อกันให้มากเข้าไว้จะดีกว่า”
นี่คงพูดถึงเรื่องที่ฮูหยินใหญ่ไป่ไม่สบายนั้นกระมัง
โจวเสาจิ่นไม่ได้เอ่ยคำใด ทว่าในใจกลับรู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก
เมื่อกลับถึงเรือนหานปี้ซาน นางจึงไปที่เรือนหลีอิน
เฉิงฉือกำลังฝึกเขียนอักษรอยู่ใต้ตะเกียง เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวก็เงยหน้าขึ้นมากล่าวยิ้มๆ ว่า “มาเพราะเรื่องของเฉิงลู่ใช่หรือไม่”
ภายใต้แสงตะเกียงสีเหลืองอ่อน นัยน์ตายิ้มละไมของเขาดูอบอุ่นราวดวงอาทิตย์ในฤดูหนาว ทำให้คนรู้สึกมึนเมา
โจวเสาจิ่นชะงักจิตใจเลื่อนลอย แล้วถึงได้พยักหน้า
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าไม่ต้องสนใจเขา ต่งซื่อแสร้งทำเป็นไม่สบาย เฉิงลู่จะได้มีข้ออ้างเอาสมบัติตกทอดของตระกูลไปขายนำเงินไปติดสินบนผู้ดูแลฝ่ายการศึกษา”
โจวเสาจิ่นเบิกดวงตาโพลง กล่าวขึ้นว่า “มาถึงขั้นนี้แล้วหรือเจ้าคะ”
เฉิงฉือยิ้มกว้างมากยิ่งขึ้น น้ำเสียงก็อบอุ่นยิ่งขึ้นด้วย กล่าวขึ้นว่า “เจ้าวางใจเถิด ไม่ว่าเขาจะเข้าหาผู้ใดก็ไม่มีประโยชน์”
แน่นอนว่าโจวเสาจิ่นย่อมเชื่อใจเขา เพียงแต่นางรู้สึกมึนงงเล็กน้อย รู้สึกว่าเรื่องนี้มาถึงอย่างกะทันหันเกินไป
เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “ไม่ใช่เรื่องกะทันหัน เขาอายุเท่านี้แต่ตัดสินใจเช่นนี้ได้ แสดงว่าต้องมีการวางแผนเอาไว้แล้วอย่างแน่นอน”
พูดราวกับว่าเขาอายุมากเหลือเกินอย่างไรอย่างนั้น
โจวเสาจิ่นอดค่อนขอดอยู่ในใจไม่ได้ ยู่ปากพลางกล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นข้าไปก่อนนะเจ้าคะ!”
……………………………………………………
[1] ปั๋งเหยี่ยน คือตำแหน่งของคนที่สอบจิ้นซื่อได้คะแนนสูงสุดเป็นลำดับที่สอง
[2] จ้วงหยวน คือตำแหน่งของคนที่สอบจิ้นซื่อได้คะแนนสูงสุดเป็นลำดับที่หนึ่ง
[3] ทั่นฮวา คือตำแหน่งของคนที่สอบจิ้นซื่อได้คะแนนสูงสุดเป็นลำดับที่สาม