เฉิงฉือยิ้มน้อยๆ พร้อมกับพยักหน้า
โจวเสาจิ่นลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง เห็นเฉิงฉือไม่คิดจะรั้งให้นางอยู่ต่อ จึงรู้สึกผิดหวังยิ่งนัก ทว่ายังคงกล่าวขอตัวลาเฉิงฉือด้วยรอยยิ้ม
เฉิงฉือลอบถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง
เด็กผู้นี้ ช่างมีดวงตาที่พูดได้จริงๆ
กระจ่างสุกใส ไม่ว่าจะกี่หมื่นกี่พันคำพูดก็ราวกับล้วนรวมอยู่ในนั้น
เขาลุกขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ เดินไปเปิดหน้าต่าง
ภายใต้แสงจันทร์สว่างสุกใส เงาร่างของโจวเสาจิ่นที่สวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยสีขาวพระจันทร์นั้นผอมเพรียวบอบบาง ดูอ่อนโยนและงดงามประหนึ่งกิ่งหลิวยามล้อเล่นกับสายลม
เฉิงฉือก้มหน้าลง สีหน้าคลุมเครือไม่ชัดเจน
***
โจวเสาจิ่นมุ่ยปากมาตลอดทั้งทางจนถึงเรือนฝูชุ่ย
วันต่อมา ต่งซื่อป่วยหนัก ข่าวคราวที่เฉิงลู่ขายสมบัติของครอบครัวในราคาถูกจึงแพร่ออกไปทั่วซอยจิ่วหรู
อู๋เป่าจางได้ยินแล้วสีหน้าซีดเผือด จับหวีเอาไว้พร้อมกับครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ ถึงได้เดินออกมาจากห้องชั้นในอย่างยิ้มแย้ม กล่าวยิ้มๆ กับเฉิงนั่วที่กำลังนอนเอกเขนกอ่านบันทึกการเดินทางอยู่บนตั่งหลัวฮั่นโดยมีสาวใช้คอยปรนนิบัติอยู่ว่า “วันนี้คุณชายใหญ่ไม่ออกไปข้างนอกหรือเจ้าคะ ข้าเห็นดอกชิวไห่ถังที่สวนหลังบ้านกำลังบานพอดี ไม่สู้ให้บ่าวในครัวทำกับแกล้มมาสักสองสามอย่าง ข้าร่ำสุราเป็นเพื่อนคุณชายใหญ่สักสองสามจอกดีหรือไม่”
เฉิงนั่วตกใจจนเกือบจะตกลงมาจากตั่ง
เขามองสำรวจอู๋เป่าจางอย่างละเอียด เห็นอู๋เป่าจางพูดอย่างยิ้มแย้มและจริงใจ ดูน่ารักอ่อนหวาน แล้วก็อดเบิกดวงตาโพลงอย่างช่วยไม่ได้
นี่พระอาทิตย์คงขึ้นทางทิศตะวันตกแล้วจริงๆ
นับตั้งแต่เขากับอู๋เป่าจางแต่งงานกันมา อู๋เป่าจางไม่เพียงปฏิบัติกับเขาอย่างเย็นชาเท่านั้น จากคำกล่าวตักเตือนแรกเริ่มจนถึงศีลธรรมจรรยาในปัจจุบัน ล้วนไม่มีส่วนไหนของเขาที่เข้าตานางเลยสักอย่าง ทำให้เขาหงุดหงิดจนไม่รู้จะหงุดหงิดอย่างไรแล้ว แต่เมื่อคิดได้ว่าทั้งสองคนเพิ่งจะแต่งงานกัน อีกทั้งบิดามารดายังทะเลาะกันทุกสามวันห้าวันจนกลายเป็นเรื่องตลกของซอยจิ่วหรูไปแล้ว เขาจึงได้แต่เก็บความรู้สึกไม่พอใจที่มีไม่น้อยนี้เอาไว้ในใจ
แต่วันนี้อู๋เป่าจางเป็นอะไรไป?
จู่ๆ ก็อ่อนโยนกับเขาประหนึ่งน้ำขึ้นมา
เฉิงนั่วยังคงจำคำที่ท่านย่าเคยบอกเขาว่า ‘คนที่มาเสนอตัวอย่างกระตือรือร้นโดยไร้ต้นสายปลายเหตุ หากมิใช่ผู้สอดแนมก็เป็นโจรผู้ร้าย’ ประโยคนั้นได้ดี
หรือว่าอู๋เป่าจางทำผิดอะไรมาแล้วต้องการให้เขาช่วยออกหน้าแก้ปัญหาให้?
เขาเอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “นี่เจ้าเป็นอะไร เมื่อวานยังต่อว่าข้าว่าเอาแต่นอนอ่านบันทึกการเดินทางอยู่บนตั่งทั้งวัน เทียบไม่ได้แม้แต่กับเด็กที่เพิ่งเข้าเรียนด้วยซ้ำอยู่เลย…”
อู๋เป่าจางหน้าแดง กล่าวขึ้นว่า “นั่นมิใช่เพราะข้าโกรธที่ท่านไม่ตั้งใจฝึกฝนเขียนความเรียงหรอกหรือ หลังจากที่ท่านแม่ต่อว่าข้าไปคำรบหนึ่ง หลายวันมานี้ข้าได้ตริตรองอย่างละเอียดแล้ว รู้สึกว่าที่ท่านแม่กล่าวมาก็มีเหตุผลเป็นอย่างยิ่ง…”
ฮูหยินใหญ่เวิ่นค่อนข้างตามใจเฉิงนั่ว
เรื่องนี้เฉิงนั่วเองก็ทราบดี
ตอนนั้นอู๋เป่าจางไม่พอใจเป็นอย่างมาก กล่าวถ้อยคำประเภทที่ว่า ‘เป็นมารดาที่ตามใจบุตรชายเกินไป’ เหล่านั้นออกมา เขากลัวผู้อื่นได้ยิน อยากจะปิดปากอู๋เป่าจางเอาไว้ยิ่งนัก
คิดไม่ถึงว่าการที่เขาเลียนแบบพฤติกรรมของบิดาด้วยการไม่สนใจอู๋เป่าจางสองสามวันนั้น จะทำให้อู๋เป่าจางรู้จักความน่ายำเกรงของเขาแล้ว
เขาได้ยินแล้วก็เชิดคางขึ้น เปล่งเสียง “อืม” ออกมาเสียงหนึ่งด้วยความภาคภูมิใจที่แฝงความทะนงตัวอยู่ด้วยหลายส่วน แล้วกล่าวขึ้นว่า “เจ้ารู้ก็ดี ตระกูลเฉิงของพวกข้านี้เป็นตระกูลบัณฑิตที่มีแบบแผนสืบทอดต่อกันมา จึงเชี่ยวชาญเรื่องเรียนหนังสืออ่านตำราเป็นที่สุด เวลาไหนควรอ่านตำราอะไร และเวลาใดควรจะอ่านตำรานั้นล้วนมีกฎระเบียบที่แน่นอน เจ้าไม่เข้าใจก็ไม่ต้องมาคอยกำกับเจ้ากี้เจ้าการอยู่ข้างๆ…”
อู๋เป่าจางต้องยั้งตัวเองเอาไว้ถึงได้ไม่สะบัดแขนเสื้อเดินหนีไป
เหตุใดตอนแรกนางถึงคิดว่าการแต่งงานกับเฉิงนั่วก็เป็นเรื่องที่ไม่แย่นักกันนะ
ชีวิตนี้นอกจากของใช้จำเป็นในชีวิตประจำวันอย่างพวกฟืน ข้าว น้ำมันและเกลือแล้ว การมีสามีน่ารำคาญเช่นนี้ผู้หนึ่ง ก็ถือเป็นความน่ากังวลอีกประเภทหนึ่งเช่นกัน
น่าเสียดายที่เฉิงลู่เองก็เป็นคนที่พึ่งพาไม่ได้ผู้หนึ่ง มาถึงจุดที่ถึงกับต้องขายสมบัติตกทอดของตระกูลเพื่อรักษามารดาที่กำลังป่วย โชคดีที่ตอนนั้นนางไม่ได้ยืนกรานจะยื้อต่อไป นี่หากว่าแต่งกับเขาไป สิ่งที่ขาดแคลนก็จะเป็นของใช้จำเป็นในชีวิตประวันอย่างพวกฟืน ข้าว น้ำมันและเกลือเหล่านั้นแล้ว
แต่สุดท้ายแล้วของใช้จำเป็นในชีวิตประจำวันย่อมสำคัญกว่าความพึงใจในตัวกันและกันของทั้งสองฝ่าย
นางควรจะดีกับเฉิงนั่วเอาไว้สักหน่อยคงจะดีกว่ากระมัง ให้เฉิงนั่วไปต่อสู้กับพ่อแม่สามีที่ไม่ปรกติของนางคู่นั้นแทน
รอให้นางให้กำเนิดบุตรชายแล้วค่อยๆ เลี้ยงดูเขาให้ดี อีกทั้งยังมีร่มเงาเย็นสบายของต้นไม้ใหญ่อย่างตระกูลเฉิงอยู่ด้วยแล้ว นางไม่เชื่อว่าจะเลี้ยงดูจิ้นซื่อออกมาผู้หนึ่งไม่ได้
เมื่อคิดถึงเรื่องพวกนี้แล้ว อู๋เป่าจางรู้สึกว่าชีวิตดูมีความหวังขึ้นมา
นางเอ่ยกับเฉิงนั่วอย่างแย้มยิ้มว่า “ท่านจะไปชมดอกไม้ที่สวนหลังบ้านหรือไม่”
“ชมดอกไม้นั้นไม่ต้องแล้ว” เฉิงนั่วกล่าวอย่างสบายๆ “ให้บ่าวในครัวทำกับแกล้มมาสักสองอย่างและสุราชั้นดีมาหนึ่งไหถึงจะถูกต้อง!”
ถูกต้องกับผีล่ะไม่ว่า!
อู๋เป่าจางกร่นด่าอยู่ในใจ ทว่ายังคงขานรับว่า “เจ้าค่ะ” ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ให้สาวใช้ไปที่ห้องครัว ส่วนตัวเองเดินไปหลังบ้านเป็นเพื่อนเฉิงนั่ว
เฉิงนั่วมองอู๋เป่าจางที่อ่อนน้อมว่านอนสอนง่ายแล้ว รู้สึกว่าชีวิตครอบครัวเล็กๆ ของตนนี้ก็ไม่แย่นัก สั่งบ่าวชายข้างกายว่า “นำเทียบเชิญไปส่งให้คุณชายใหญ่จวี่ บอกว่าข้าเชิญเขามากินข้าวและร่ำสุรา”
บ่าวชายออกไปอย่างรวดเร็ว
อู๋เป่าจางโกรธจนมือสั่นระริกไม่หยุด ยั้งตัวเองเอาไว้ถึงได้ไม่สาดน้ำชาร้อนๆ ในมือจอกนั้นใส่หน้าเฉิงนั่ว
ตระกูลเฉิงเป็นตระกูลบัณฑิต ยืดถือหลักปฏิบัติเก่าแก่ จึงไม่มีธรรมเนียมหยอกล้อบ่าวสาวถึงห้องหอ แต่วันที่นางแต่งเข้ามานั้น เป็นเฉิงจวี่ผู้นั้นที่นำแขกบุรุษที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากที่ใดกลุ่มหนึ่งวิ่งมาทำการหยอกล้อบ่าวสาวถึงห้องหอใหม่ของนาง ก่อนหน้านั้นนางไม่รู้ว่าตระกูลเฉิงยึดถือหลักปฏิบัติเก่าแก่ จึงไม่ได้ใส่ใจ คิดเพียงว่าไล่คนออกไปก็ได้แล้ว แต่ใครจะรู้ว่าเฉิงจวี่ผู้นั้นกลับกักขฬะหยาบคายยิ่งนักจนทำเอาคนรู้สึกขนลุกขนพองด้วยความโกรธ เนื่องจากเขาถึงกับแอบมาลูบนางครั้งหนึ่ง
ต่อมาหลังจากที่นางรู้ว่าตระกูลเฉิงไม่มีธรรมเนียมหยอกล้อบ่าวสาวถึงห้องหอ ก็อยากดื่มเลือดกัดกินเนื้อของเขายิ่งนัก แต่ไม่ว่านางจะพูดอย่างไรเฉิงนั่วคนโง่เขลาผู้นี้ล้วนแล้วแต่ไม่ฟัง พูดเพียงว่านางจิตใจคับแคบ เฉิงจวี่พาคนมาหยอกล้อถึงห้องหอทำให้นางเสียหน้า นางก็เลยมีอคติกับเฉิงจวี่…ด้วยเรื่องนี้ทั้งสองคนเกือบจะทะเลาะกันขึ้นมาแล้ว
อู๋เป่าจางจะจดจำคนผู้นี้ไปตลอดชีวิตไม่มีวันลืม!
แต่นางยังคงต้องกล่าวกับเฉิงนั่วอย่างแย้มยิ้มว่า “ท่านส่งเทียบเชิญไปให้คุณชายใหญ่จวี่ในเวลากะชั้นชิดเช่นนี้ จะเป็นการเสียมารยาทหรือไม่ ไม่สู้วันไหนค่อยเชิญเขามาเป็นแขกที่บ้านเป็นการเฉพาะดีกว่าเจ้าค่ะ”
เฉิงนั่วกล่าว “เจ้าจะรู้อะไร เขาชื่นชอบความครึกครื้นเป็นที่สุด ขอเพียงได้ยินว่าข้าเชิญเขามาร่ำสุรา เขาต้องมาอย่างแน่นอน!”
นั่นจึงยิ่งมิใช่คนดีอะไรแล้ว
อู๋เป่าจางรู้สึกว่าหากตนคุยกับเฉิงนั่วต่อไปอีกคงได้สำรอกโลหิตออกมาแน่ จึงหลับตาลง สวด “นโม อมิตาพุทธ[1]” สองสามรอบ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่ง จากนั้นกล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นข้าไปดูในครัวสักหน่อยว่าเตรียมอาหารไปถึงไหนแล้ว รอให้คุณชายใหญ่จวี่มาถึงแล้วค่อยสั่งให้พวกเขายกเข้ามานะเจ้าคะ”
เฉิงนั่วพยักหน้า
อู๋เป่าจางรีบลุกขึ้นแล้วมุ่งหน้าไปที่ห้องครัว
ตอนที่จากมานั้นได้ยินเฉิงนั่วสั่งบ่าวชายว่า “นานๆ ครั้งกว่าจะได้รวมตัวกันครั้งหนึ่งอย่างวันนี้ ข้าจะส่งเทียบเชิญเพิ่มอีกสักสองสามใบ…”
หากมองไม่เห็นก็จะได้ไม่ต้องรำคาญใจ อู๋เป่าจางจึงเพิ่มความเร็วของฝีเท้าให้เร็วขึ้นเดินออกจากสวนหลังบ้านมา นั่งจิบชาอยู่ในห้องชั้นในไปกว่าครึ่งจอกอารมณ์ถึงได้ค่อยๆ สงบลงมา
ไป๋กั่วสาวใช้ข้างกายของนางยกส้มเข้ามาจานหนึ่ง
อู๋เป่าจางจึงยิ่งอารมณ์ดีมากขึ้น ปอกส้มไปด้วยเอ่ยกับไป๋กั่วไปด้วยว่า “แต่งงานออกมาแล้วจะดีจะร้ายอย่างน้อยอยากกินส้มมากเท่าไรก็กินได้ ไม่ต้องคอยดูสีหน้าของฮูหยินกับน้องสาวของข้าทั้งสองคนนั้นอีก”
“ใครว่ามิใช่กันเจ้าคะ!” ไป๋กั่วกล่าวยิ้มๆ พร้อมกับนำผ้าเช็ดหน้าไปพันบริเวณคอให้อู๋เป่าจาง “ทั้งๆ ที่ฮูหยินรู้ว่าท่านชอบกินส้มเป็นที่สุด ไม่พูดเรื่องกินส้มแล้วเป็นร้อนใน ต่อให้เป็นฤดูที่เหมาะสำหรับกินส้มเช่นนี้ก็ให้ท่านกินเพียงห้าถึงหกลูกเท่านั้น ข้ามักจะรู้สึกว่าฮูหยินตั้งใจกลั้นแกล้งท่านเจ้าค่ะ”
อู๋เป่าจางเติบโตที่ซื่อชวน จึงชอบกินส้มเป็นที่สุด
นางพยักหน้าหงึกติดๆ กัน ยื่นส้มส่งให้ไป๋กั่วลูกหนึ่ง
ไป๋กั่วกินส้มไปด้วย กระซิบกล่าวเสียงเบาไปด้วยว่า “ตอนที่เดินผ่านโรงจอดเกี้ยวนั้น เห็นพี่ชายของซื่อเอ๋อร์ผู้เป็นสาวใช้ข้างกายของนายหญิงผู้เฒ่าจวนสี่ถือส้มเอาไว้หลายลูกพร้อมกับกล่าวโอ้อวดว่าเป็นส้มพันธ์ฝูมาจากฝูเจี้ยน เป็นของบรรณาการส่งให้พระราชวัง นายท่านใหญ่ของจวนหลักให้คนส่งกลับมาให้หลายตะกร้า คุณหนูรองตระกูลโจวได้มาหนึ่งตะกร้า จึงส่งไปให้นายหญิงผู้เฒ่ากวนและฮูหยินใหญ่เหมี่ยนที่จวนสี่มากกว่าครึ่งตะกร้าเป็นการแสดงความกตัญญู ซื่อเอ๋อร์จึงได้รับอานิสงส์ไปด้วย ได้รับมาหลายลูก สะใภ้ใหญ่ พวกเราก็ไปซื้อส้มพันธ์ฝูของฝูเจี้ยนกลับมากินบ้างดีหรือไม่เจ้าคะ!”
อู๋เป่าจางเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก กล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นก็ซื้อกลับมาสักหนึ่งตะกร้า ประเดี๋ยวข้าจะได้มอบเป็นรางวัลให้สาวใช้คนสนิทข้างกายของฮูหยินใหญ่บ้างสักสองสามลูก”
ไป๋กั่วน้อมรับคำอย่างยินดี ซื้อส้มกลับมาถึงตอนเย็น ใช้เงินไปเกือบสามเหลี่ยง อู๋เป่าจางลองชิมดูแล้ว รสชาติดีกว่าส้มธรรมดาทั่วไปมากนัก จึงนำไปให้ฮูหยินใหญ่เวิ่นครึ่งตะกร้า
ฮูหยินใหญ่เวิ่นแปะแผ่นยาเอาไว้ตรงขมับทั้งสองข้าง กำลังเอนตัวนอนโอดครวญอยู่บนเตียง เห็นส้มนั่นแล้ว ก็มอบให้คนที่รับใช้อยู่ข้างกายไปโดยที่ไม่ชิมดูเลยแม้แต่ผลเดียว
อู๋เป่าจางหน้าแดงก่ำจนประหนึ่งจะหลั่งโลหิตออกมาได้ กลับไปที่เรือนข้างอย่างขุ่นเคืองและอับอาย
สองวันถัดมานางไปร่วมงานเลี้ยงของเฉิงเก้าที่จวนสี่ ได้กินส้มที่งานเลี้ยงแล้วก็รีบถามสาวใช้ที่ดูแลผลไม้และของว่างของจวนสี่อย่างตะลึงงันว่า “นี่คือส้มอะไรหรือ รสชาติดีจริงๆ!”
สาวใช้ผู้นั้นกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “ต้องขอบคุณวาสนาของคุณหนูรองของพวกข้า หอก่วงเซิงนำส้มพันธ์ฝูกลับมาจากฝูเจี้ยนเป็นการเฉพาะจำนวนหนึ่ง แม้จะบอกว่าเทียบไม่ได้กับส้มที่นายท่านใหญ่ส่งมาแสดงความกตัญญูฮูหยินผู้เฒ่ากัว แต่ก็ไม่เหมือนกับส้มที่เป็นของเหลือที่นำมาขายทอดตลาดเหล่านั้นเจ้าค่ะ”
ถึงว่าฮูหยินใหญ่เวิ่นถึงนำส้มที่นางส่งไปให้มอบให้ผู้อื่นโดยที่ไม่แม้แต่จะมองเลยสักครั้ง!
ไม่รู้ว่าคนที่ได้รับส้มไปเหล่านั้นเอานางไปเล่าลับหลังอย่างไรบ้าง
อู๋เป่าจางรู้สึกว่าบ่าวรับใช้ของจวนห้าไม่ได้ให้เกียรตินางเท่ากับตอนที่นางเพิ่งแต่งงานเข้ามาใหม่ๆ
นางประหนึ่งนั่งอยู่บนเบาะเข็ม หาข้ออ้างออกไปจากศาลาที่กำลังแสดงงิ้ว ออกไปเดินอยู่ตรงริมทะเลสาบอย่างขุ่นเคืองเพียงลำพัง
ตรงทางเดินข้างๆ มีคนกำลังพูดคุยกันอยู่
นอกจากนี้ยังเป็นเสียงของบุรุษคนหนึ่งและสตรีคนหนึ่งอีกด้วย
ด้านหน้าต้นตงชิงที่ตัดแต่งเป็นรั้วสีเขียวชอุ่มนั้น บุรุษร่างสูงใหญ่ปราดเปรื่อง สตรีร่างบอบบางอ่อนหวาน ดูงดงามประหนึ่งคนในภาพวาดคู่หนึ่ง
เมื่อเพ่งสายตามองอีกครั้ง ก็พบว่าเป็นเฉิงสวี่กับโจวเสาจิ่น!
อู๋เป่าจางใจเต้นตึกตัก
นึกถึงความคลุมเครือระหว่างเฉิงสวี่และโจวเสาจิ่นในงานวันครบรอบมหาวันเกิดแปดสิบปีของท่านผู้นำตระกูลจวนรองในปีนั้นขึ้นมา
อู๋เป่าจางพลันมีชีวิตชีวาราวกับได้ดื่มน้ำโสมคนก็ไม่ปาน รู้สึกว่าระหว่างเรื่องนี้ต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังเป็นแน่
นางก้มตัวลง ขยับเข้าไปใกล้อย่างระมัดระวัง ได้ยินโจวเสาจิ่นเอ่ยขึ้นอย่างกรุ่นโกรธว่า “…ข้าพูดกับท่านไปหลายต่อหลายครั้งแล้วว่าข้าไม่ชอบท่าน ไม่คิดจะแต่งให้ท่าน ท่านสอบผ่านได้รับตำแหน่งเจี้ยหยวนก็ดี หรือต่อให้สอบผ่านได้รับตำแหน่งจ้วงหยวนก็ดี ล้วนไม่เกี่ยวอะไรกับข้า ต่อให้ท่านไปสู่ขอข้ากับท่านพ่อของข้า ท่านพ่อของข้าก็จะมาถามความเห็นของข้าอยู่ดีว่าเห็นด้วยหรือไม่ ข้าขอแนะนำท่านว่าอย่าได้นำความเสื่อมเกียรติมาให้ตัวเองจะดีที่สุด!”
ถึงแม้คำพูดจะตรงไปตรงมาและรุนแรง แต่น้ำเสียงที่ทั้งอ่อนหวานและหยดย้อยของนางนั้นกลับไม่ทำให้คนรู้สึกว่าได้รับความอับอายเลยสักนิด
เฉิงสวี่เองก็เป็นเช่นนั้น
เขากล่าวขึ้นอย่างสุภาพและอ่อนโยนว่า “เจ้ารู้สึกว่าข้าไม่ดีตรงไหน ข้ายินดีจะแก้ไขให้ นอกจากนี้ตอนนี้ข้าสอบผ่านได้ตำแหน่งเจี้ยหยวนแล้ว เรื่องแต่งงานข้าจึงตัดสินใจด้วยตัวเองได้แล้ว…”
โจวเสาจิ่นรู้สึกไร้เรี่ยวแรงยิ่งนัก
นางไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรถึงจะทำให้เฉิงสวี่เข้าใจเจตนาของนางเสียที
โจวเสาจิ่นได้แต่นิ่งเงียบ ฟังเฉิงสวี่พูดเจื้อยแจ้วจนจบ กล่าวขึ้นว่า “หากครั้งต่อไปท่านยังมาขวางข้าเช่นนี้อีก ข้าจะไปบอกฮูหยินผู้เฒ่า!”
แต่ใครจะรู้ว่าเมื่อเฉิงสวี่ได้ยินแล้วกลับเผยความยินดีออกมาสายหนึ่ง
โจวเสาจิ่นตะลึงงัน จากนั้นก็โกรธจัดจนปวดตับ
เหตุใดเฉิงสวี่ถึงเป็นเช่นนี้อยู่ตลอด
ครั้งก่อนเขาก็ตั้งใจทำข้าวสารให้เป็นข้าวสุก เพื่อบีบบังคับให้คนในบ้านยอมรับตน ครั้งนี้ก็เทียวไล้เทียวขื่อมาเกี้ยวนางอย่างไร้ยางอาย หวังจะใช้ข่าวลือพวกนี้ทำให้พวกผู้ใหญ่ล่าถอย
โจวเสาจิ่นไม่อยากจะพูดกับเฉิงสวี่อีกแม้แต่ประโยคเดียว นางตะโกนเรียนชุนหว่าน กล่าวขึ้นว่า “พวกเราไปกันเถอะ! คุณชายใหญ่สวี่ไม่กลัวเสียหน้า ก็ให้เขาดิ้นพล่านไปคนเดียวก็แล้วกัน”
อู๋เป่าจางถึงได้ค้นพบว่าจากที่ไม่ไกลนั้นมีชุนหว่านสาวใช้ใหญ่ข้างกายของโจวเสาจิ่นและฮวนสี่กับต้าซูบ่าวชายของเฉิงสวี่ยืนอยู่ด้วย
………………………………………………………………….
[1] นโม อมิตพูทธ ข้าพเจ้าขอนอบน้อมต่อพระอมิตาพุทธเจ้า