บทที่ 35 ท่านนี่ช่างน่าเบื่อเหลือเกิน

ท่องภพสยบหล้า

พอเทียบกับหอสามจรุงที่มีชื่อเสียงในรัฐใหญ่เมืองดังเหล่านั้นแล้ว หอสาขาที่มาเปิดในเมืองเฟิงหลินไม่ควรค่าให้เอ่ยถึงอะไร ทว่าคนที่ได้เจอกับเมี่ยวอวี้ล้วนไม่พูดเช่นนี้

ฟางเจ๋อโฮ่วคือหนึ่งในผู้ดูแลตระกูลฟางในตอนนี้ และเป็นบิดาแท้ๆ ของฟางเฮ่อหลิง ลุงของฟางเผิงจวี่ คนผู้นี้ขึ้นเหนือลงใต้ เห็นโลกกว้างมามากมาย ทั้งยังเปิดเส้นทางการค้าไปถึงรัฐอวิ๋นด้วยตัวคนเดียว มีพร้อมทั้งความสามารถและชื่อเสียง คล้ายจะได้เป็นประมุขตระกูลฟางคนต่อไปอยู่รางๆ บุคคลเช่นนี้กลับหมกมุ่นลุ่มหลงในตัวแม่นางเมี่ยวอวี้ ทุกครั้งที่กลับมาจากการเดินทางค้าขาย สิ่งแรกที่ต้องทำคือตรงมาหาความสำราญที่หอสามจรุง

เรื่องเช่นนี้ยังมีอีกนับไม่ถ้วน ฟางเจ๋อโฮ่วไม่ใช่คนใหญ่คนโตคนแรกที่คลานมาอยู่ใต้ชายกระโปรงของเมี่ยวอวี้ และก็ไม่ใช่คนสุดท้ายเช่นกัน

เจ้าหรู่เฉิงที่ชมชอบสาวงามก็นับรวมอยู่ในนี้ด้วย นับตั้งแต่ที่เขาได้ยินชื่อเสียงความงามของเมี่ยวอวี้ ก็จ่ายเงินไปก้อนโต แทบจะอยู่ที่หอสามจรุงแทนบ้านไปแล้ว ท่าทีเหมือนกับถ้าไม่ได้ก็จะไม่ยอมเลิกรา

“เป็นไปไม่ได้ที่จะมีเรื่องเช่นนี้” เจ้าหรู่เฉิงตอบอย่างสงบยิ่ง “หญิงที่จะปฏิเสธข้า จนป่านนี้ยังไม่เกิดเลย”

เขาแอบเสริมในใจ เจียงอันอันย่อมไม่ถือเป็นหญิงสาว นางยังเป็นแค่เด็กน้อยเปลือยก้นอยู่เลย

เมี่ยวอวี้พยักหน้าน้อยๆ เป็นเชิงเห็นด้วย “ก็จริง คุณชายเจ้าเป็นที่สุดของที่สุดความหล่อเหลา จ่ายเงินก็ที่สุดของที่สุดความใจถึง ความสามารถไม่ธรรมดา ชาติตระกูลก็ดี อนาคตข้างหน้ากว้างไกล มีหัวใจละเอียดอ่อน ปากก็หวานปานน้ำผึ้ง แล้วจะมีหญิงคนไหนปฏิเสธท่านได้? แต่ว่า”

ครั้นนางพูดคำว่าแต่ว่า ใบหน้าก็พลันฉายแววโศกเศร้า ชวนให้คนอยากรีบร้อนเข้าไปช่วยเช็ดออกให้ “แต่เพราะท่านชอบข้าไม่มากพอ…”

ราวกับว่าความชอบที่ไม่ชัดเจนมากพอของเจ้าหรู่เฉิงทำให้นางเสียใจ

“ฮี่ๆๆ…”

เสียงหัวเราะที่ทั้งลามกและแหลมสูงทำลายบรรยากาศในห้อง

หวงอาจ้านไม่รู้ตื่นขึ้นมาเมื่อไร ทว่าอาการเมามายยังไม่หายไป เวลานี้กำลังเอามือยันคาง มองแม่นางเมี่ยวอวี้ด้วยรอยยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ย “ฮี่ๆๆ…”

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่

เจียงวั่งปิดหน้าไม่พูดจา เขาจำได้ว่าเมี่ยวอวี้คือหญิงชุดแดงที่เขาเดินชนก่อนหน้านี้ แต่ในสถานการณ์เช่นนี้เขาไม่มีอำนาจที่จะพูดอะไรได้

ตู้เหยี่ยหู่คว้าตัวหวงอาจ้านอยากจะลากออกไปเชือดข้างนอก หลีกเลี่ยงไม่ให้ทำขายหน้าเช่นนี้อีก กำลังคิดว่าคุ้มหรือไม่ที่จะก่อคดีฆาตกรรมก่อนเข้ากองทัพ

“เหตุใดถึงบอกว่าชอบไม่มากพอล่ะ” มีเพียงเจ้าหรู่เฉิงที่เสียหน้าแต่ไม่เสียที สีหน้าสงบ ทำเหมือนกับไม่รู้จักหวงอาจ้าน แสดงทักษะของผู้เจนจัดในสนามรักออกมาหมดสิ้น “ข้าไม่เคยเกี้ยวผู้หญิงคนใดนานขนาดนี้มาก่อน นับตั้งแต่ได้พบกับแม่นางเมี่ยวอวี้ เวลาที่ข้ามาอยู่หอสามจรุงยังมากกว่าเวลาที่อยู่ในสำนักเต๋าของเมืองเสียอีก ความชอบของข้าแทบจะทะลักออกมา เกือบท่วมตรงนี้จนมิดอยู่แล้ว”

เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินเข้าไปหาเมี่ยวอวี้อย่างสง่างาม

“ตรงนี้” เขาทาบมือบนตำแหน่งหัวใจตัวเอง

ต้องบอกเลยว่าภาพฉากเช่นนี้ คนที่หล่อเหลาระดับนี้ ต่อให้เป็นแม่เล้าที่มีประสบการณ์นับไม่ถ้วนมาทั้งชีวิตก็ยังหน้ามืดตามัว อดไม่ได้ที่จะใจเต้นขึ้นมา

แต่เมี่ยวอวี้ใช้เพียงประโยคเดียวก็หยุดเขาเอาไว้ได้…

“ท่านไม่ได้ชอบข้าจริง ท่านนี่ช่างน่าเบื่อเหลือเกิน”

รอยยิ้มน่าหลงใหลบนใบหน้าของเจ้าหรู่เฉิงจางหายไป เขาหยุดฝีเท้าไม่เดินหน้าต่อ

“ตอนนี้ข้าก็ไม่ชอบเจ้าแล้วจริงๆ” เขาเอ่ยขึ้น “ข้าเกลียดผู้หญิงที่ฉลาดเกินไป”

เจียงวั่งรู้มาตลอด เจ้าหรู่เฉิงเป็นคนไม่ชอบอะไรยุ่งยากและไม่คิดมาก เขาเหมือนไม่มีเรื่องอะไรที่ใส่ใจ ถูไถไปตามเรื่องคือคติประจำตัวของเขา

เขาใช้เงินเหมือนกระดาษ ใช้เวลาเสียเปล่า และสิ้นเปลืองพรสวรรค์เหมือนสิ้นเปลืองเงินทอง แต่นี่ก็เป็นเรื่องเขาเอง ใครก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไปยุ่มย่าม

ดังนั้นเจียงวั่งจึงเข้าใจคำว่าชอบและไม่ชอบที่แสนจะเหลาะแหละจากปากของเจ้าหรู่เฉิง

แต่ไม่ว่าอย่างไร การพูดเรื่องชอบหรือไม่ชอบในหอคณิกา เดิมทีก็เป็นเรื่องที่น่าขันอยู่แล้ว

“ไปเถอะๆ กลับบ้าน ข้ายังต้องทำกับข้าวให้อันอันอีก” เจียงวั่งลุกขึ้นกล่าว

“พี่สาม” เจ้าหรู่เฉิงมองเขาด้วยสีหน้าจริงใจ “พวกเราห่อของกินกลับบ้านดีหรือไม่ อย่าทำเองเลย”

ตู้เหยี่ยหู่เองก็พยักหน้าอย่างเคร่งขรึม สีหน้ายังหวาดๆ อยู่ “อันอันยังเป็นแค่เด็กน้อย”

เจียงวั่งหน้าบึ้ง “จะไปหรือไม่ไป”

“ไปๆๆ”

ตู้เหยี่ยหู่หิ้วตัวหวงอาจ้านขึ้นมาโดยไม่สนการดิ้นรนและเสียงหัวเราะคิกคักของเขา กลุ่มคนพากันเดินออกไป

เมี่ยวอวี้ยิ้มละไมมองพวกเขาเดินจากไปโดยไม่พูดจา

ทว่านิ้วมือของนางทำท่าหมุนเบาๆ ในขณะที่ทุกคนไม่รู้ตัว วัตถุสีขาวเม็ดหนึ่งที่เตรียมไว้นานแล้วตกลงบนแผ่นหลังเจียงวั่งอย่างเงียบงัน

และซึมแทรกเข้าไป

ตู้เหยี่ยหู่ไปส่งสหายร่ำสุราที่เมามาย คุณชายเจ้ากลับไปพักผ่อนที่คฤหาสน์ ส่วนเจียงวั่งไปรับอันอันที่หอพักในสำนักเต๋าคนเดียว

ตอนที่ไปรับเจียงอันอัน เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ของนางไม่ดีนัก นางทำปากจู๋ ไม่รู้ว่าไปโกรธอะไรใครมา

“เป็นอะไรไป เสี่ยวอันอันของข้า” เจียงวั่งยิ้มตาหยี เอ่ยขึ้นอย่างอบอุ่นเป็นกันเอง

“เปล่า” เจียงอันอันตอบหน้ามุ่ย

“เช่นนั้นก็ดี” เจียงวั่งกวักมือ “กลับบ้านกันเถิด”

เจียงอันอันนิ่งไป ไม่คิดจะถามอีกสักหน่อย เป็นห่วงอีกสักหน่อยจริงหรือ

หลิงเหอที่อยู่อีกด้านก็ไม่อยู่ต่อแล้ว ทำเพียงโบกมือให้ “อันอันไว้เจอกัน”

เจียงวั่งเข้าใจ เกรงว่าพี่ใหญ่คนนี้คงอยากจะไปฝึกฝนนานแล้ว เพียงแต่ติดที่ต้องดูแลเจียงอันอันจึงไม่อาจทุ่มสมาธิได้ พรสวรรค์ของเขาไม่ถือว่าดีมาก แต่เรื่องความขยันพยายามคือที่หนึ่ง

“พี่หลิงเหอไว้เจอกัน” เจียงอันอันแม้จะอารมณ์ไม่ดี แต่ก็ยังมีมารยาทขั้นพื้นฐานอยู่

“จริงด้วย” ก่อนที่จะจากไป เจียงวั่งเอ่ยขึ้นคล้ายพลั้งปาก “แต้มเต๋าของพวกเราจะมอบให้ท่านทั้งหมด รวมแล้วน่าจะห่างจากราคาลูกกลอนเปิดชีพจรอีกไม่ไกล ท่านก็พยายามอีกหน่อย แล้วรีบนำไปแลกเสีย”

หลิงเหอนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกล่าว “น่าจะให้หรู่เฉิงก่อน เขาอายุน้อยที่สุด พรสวรรค์ก็ดีที่สุด ไม่ควรจะสิ้นเปลืองเลย”

“เขาไม่สนใจ” เจียงวั่งอธิบายอย่างง่ายๆ “ส่วนพี่หู่ก็ตัดสินใจไปอยู่หน่วยเกราะดำเก้าสินธุ เลือกเดินสายทหารดั้งเดิมที่ใช้เลือดลมทะลวงชีพจร”

หลิงเหอไม่ผลักไสอะไรอีก ตอบกลับมาแค่ว่า “ได้”

เขารู้ว่าถ้าเจ้าหรู่เฉิงไม่สนใจคือไม่สนใจจริงๆ ส่วนการตัดสินใจของตู้เหยี่ยหู่ก็ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้ สิ่งที่เขาทำได้มีไม่เยอะ ตอนนี้เรื่องที่อยากทำที่สุดก็คือ ต้องไม่ทำให้แต้มเต๋าและมิตรภาพเหล่านี้สูญเปล่าเป็นดีที่สุด

“กลับบ้านกัน” เจียงวั่งอุ้มเจียงอันอันขึ้นมานั่งบนบ่าขวา ก่อนย่างเท้าอย่างมั่นคงเดินกลับบ้าน

เจียงอันอันจู่ๆ ก็อารมณ์ดี ร้องว่า ‘ย่ะ’ ออกมา ขาเล็กๆ แกว่งไปมาอยู่ข้างหน้าตัวเจียงวั่ง

ระหว่างทางเดินออกจากสำนักเต๋า นางยังเป็นปากเป็นเสียงแทนเจียงวั่งอย่างกระตือรือร้น ทุกครั้งที่มีคนทักทายว่า ‘สวัสดีศิษย์พี่เจียง’ นางก็จะตอบกลับเสียงแจ๋วว่า ‘สวัสดีพวกเจ้าเหมือนกัน’

เจียงวั่งทำแค่พยักหน้าตามนางไป

“พี่หลิงเหอน่าเบื่อมากใช่ไหม” ระหว่างทางกลับบ้าน เจียงวั่งถามขึ้นมา

“ยังไม่ทันเลิกเรียน เขาก็มารอที่หน้าประตูแล้ว คนเขามีธุระต้องไปทำหลังเลิกเรียนอีก เขาก็ไม่ยอมให้ไป ตามติดข้าอยู่นั่น” เจียงอันอันพูดพลางกัดเล็บมือตัวเอง

หลิงเหอมีนิสัยใจกว้างน่าเข้าหา ให้เขามาช่วยดูเจียงอันอันนั้นเหมาะสมที่สุดแล้ว การตามติดเป็นเงาก็แค่วิธีการพื้นฐาน

“เจ้าจะมีธุระอะไรให้วุ่นกัน” เจียงวั่งพูดไปด้วย ดึงนิ้วของนางออกมาไปด้วย “อย่ากัดเล็บ”

“ฮึ!” เจียงอันอันโมโหจนทำท่าจะกระโดดลงมา แต่คิดๆ ดูยังห่างจากบ้านอีกช่วงหนึ่ง อย่างนั้นก็ช่างเถิด “ข้ายุ่งจะตายไป ไม่อยากคุยกับท่านแล้ว”

เจียงวั่งก็ไม่ใส่ใจ พยายามหาคำมาพูดต่อ “พี่หลิงเหอเป็นคนดีมาก อันอันต้องมีมารยาทกับเขา”

“จะชักสีหน้าไม่ได้”

“เลิกกัดเล็บได้แล้ว”

เสียงพูดค่อยๆ ไกลออกไปทุกที

“รู้! แล้ว! น่า!”

……………………………………….