บทที่ 36 สารทฤดูกำลังจะสิ้นสุด

ท่องภพสยบหล้า

หลังจากออกกำลังตอนเช้าและฝึกรากพลังเต๋าเข้าออกตามปกติ เจียงวั่งก็ส่งเจียงอันอันไปสถานศึกษา จากนั้นจึงออกไปส่งตู้เหยี่ยหู่ที่นอกเมือง

การเดินทางไกลในช่วงหลายปีมานี้ไม่ใช่เรื่องสบาย แต่เต็มไปด้วยรสขมฝาดจากการพบพรากจากลา

สาเหตุที่ผู้คนอาศัยในหมู่บ้าน ตั้งรกรากในเมือง หลักๆ แล้วก็เพราะสัตว์ป่าที่สังหารไปก็ไม่หมดสิ้นเหล่านั้น ไปจนถึงพวกสัตว์ร้ายและสัตว์ปีศาจที่หลบซ่อนอยู่ตามป่าเขา

ในเมืองคือที่ปลอดภัย นอกเหนือจากนี้ก็คือถนนทางหลวง แต่ไม่ได้หมายความว่าอักขระตราเวทที่สลักอยู่บนถนนทางหลวงจะไม่เกิดข้อผิดพลาด ราชสำนักจวงเป็นไปไม่ได้และก็ไม่มีทางที่จะจ่ายเงินมหาศาลขนาดนั้น ความจริงแล้วอักขระตราเวทเหล่านั้นมีไว้เพื่อทำให้ตกใจกลัวเสียมากกว่า

วิธีที่ใช้การได้ดียิ่งกว่าก็คือ ราชสำนักจวงจะรวบรวมผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งมากวาดล้างถนนพวกนี้เป็นระยะ…ทางการเรียกว่า ‘ไถพื้น’ …เพื่อรับประกันว่าพวกสัตว์ร้ายที่ไร้ซึ่งสติปัญญาแต่ประสาทสัมผัสเฉียบคมจะจดจำอันตรายได้ และไม่กล้าเข้ามาใกล้ง่ายๆ

ด้วยพลังของตู้เหยี่ยหู่ ขอแค่เดินทางบนถนนทางหลวงก็แทบจะไม่มีอันตรายเลย

ตอนที่เจียงวั่งตามมาถึงชานเมือง เจ้าหรู่เฉิงกับหลิงเหอก็อยู่ด้วย นอกจากนี้ไม่มีใครอื่นอีก ในกลุ่มพี่น้อง ตู้เหยี่ยหู่เป็นคนนิสัยร่าเริง มีสหายมากที่สุด แต่เขาไม่ชอบอารมณ์แบบเด็กๆ ที่น่าอึดอัดใจ ดังนั้นจึงไม่ได้บอกเรื่องที่ไปเข้ากลุ่มทหารกับคนอื่นๆ และไหว้วานให้หลิงเหอนำเรื่องนี้ไปบอกต่อภายหลัง

บนพื้นมีโต๊ะสุราตัวหนึ่งวางอยู่ เป็นฝีมือของเจ้าหรู่เฉิงโดยไม่ต้องสืบ

เจียงวั่งล้วง ‘เคล็ดหลอมกายาสี่สัตว์เทพ’ ที่คัดมาทั้งคืนจนเสร็จออกมาจากอกเสื้อ ก่อนยื่นให้ตู้เหยี่ยหู่

ตู้เหยี่ยหู่พลิกเปิดดูไปสองหน้า ดวงตาพยัคฆ์ก็เปล่งประกาย “น้องสาม ของดีเลยนี่!”

“ข้าดูด้วย ข้าดูด้วย” เจ้าหรู่เฉิงเขยิบเข้ามาอย่างสนอกสนใจ

แต่อ่านไปไม่กี่บรรทัดก็ส่ายหัว “หลอมกายาหรือ เหนื่อยจะตายชัก”

“วิชายุทธ์ดีขนาดนี้!” ตู้เหยี่ยหู่หงุดหงิดที่ไม่ได้ดั่งใจ “เจ้าอ่านแค่นิดเดียวก็วางทิ้งเสียแล้ว”

ถึงแม้จะมองออกตั้งแต่แวบแรกว่าวิชานี้คือเคล็ดหลอมกายาพยัคฆ์ขาวฉบับสมบูรณ์ แต่เขาก็ไม่ได้ถามที่มาจากเจียงวั่ง ตอนที่เจียงวั่งอยากบอกย่อมบอกออกมาเอง ทุกคนล้วนมีความลับของตนเองทั้งสิ้น กระทั่งเจียงอันอันยังมีเรื่องกลุ้มใจที่ไม่อยากบอกคนอื่นเลย ไม่มีความจำเป็นต้องสืบเสาะให้ถึงแก่น

เขาเองก็ไม่คิดที่จะยึดครองไว้คนเดียว วิชานี้แค่เห็นเขาก็รักมันแล้ว และหวังว่าพี่น้องคนอื่นๆ จะไม่พลาดมันด้วยเช่นกัน

เจ้าหรู่เฉิงโบกมือ “ยาวไปไม่อ่าน”

ตู้เหยี่ยหู่หันไปทางหลิงเหอ หลิงเหอส่ายศีรษะ “ตอนนี้ข้าอยากจะเปิดชีพจรและทำจุดผ่านสวรรค์ให้มั่นคงก่อน วิชายุทธ์อื่นยังไม่อาจไปใส่ใจ”

เขามีนิสัยหนักแน่น ทำอะไรจริงจังจนเกิดผล แต้มเต๋าของพี่น้องเอามารวมกันยังขาดอีกเพียงยี่สิบกว่าแต้มเต๋า หลายวันมานี้เขาเอาแต่ทำภารกิจ แต่ภารกิจที่เข้าขั้นยากจะรับมือด้วยพลังของเขา ส่วนใหญ่จึงเป็นการติดตามเหล่าศิษย์พี่ไปทำงานส่วนเกินบางส่วน ด้วยเหตุนี้แต้มเต๋าที่ได้รับจึงน้อยมาก มักได้เพิ่มมาแต้มสองแต้ม กระทั่งบางครั้งไม่ได้แต้มเลย แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็เข้าใกล้การเหนือกว่ามนุษย์สามัญมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว

เจียงวั่งยิ้มละไม “ข้าก็จะใช้วิชายุทธ์นี้หลอมกายาด้วย รอถึงตอนที่พวกเราได้พบกันอีกครั้ง ค่อยมาดูกันว่าใครฝึกได้ลึกซึ้งกว่า”

“พรสวรรค์วิชากระบี่ข้าสู้เจ้าไม่ได้ แต่วิชาฝึกฝนสายทหาร…ฮิๆ เจ้าคอยดูแล้วกัน” ตู้เหยี่ยหู่มั่นใจเต็มเปี่ยม

“เช่นนั้นก็พบกันที่ซินอัน!”

“พบกันที่ซินอัน”

พวกของเจียงวั่งจะไปเมืองซินอัน แน่นอนว่าย่อมเป็นวันที่จะเข้าสำนักเต๋าระดับรัฐ ส่วนตู้เหยี่ยหู่จะไปเมืองซินอัน อย่างน้อยก็ต้องได้รับยศขุนพลในหน่วยเกราะดำเก้าสินธุเสียก่อน จึงจะสามารถเข้าไปฝึกยุทธ์ในเมืองหลวงของรัฐจวงได้

จินตนาการอันยิ่งใหญ่ที่มีต่ออนาคตล้วนอยู่ในคำพูดคุยลับๆ ของคนวัยหนุ่มสาวทั้งสิ้น

กลุ่มพี่น้องนั่งดื่มกันตามใจ พูดคุยกันพักหนึ่ง นอกจากหลิงเหอที่ไม่ดื่มสุราแล้ว อีกสามคนก็ดื่มติดกันสามถ้วยใหญ่ ถึงนับเป็นการเลี้ยงส่ง แต่ก็ไม่มีใครมีคราบน้ำตาติดแขนเสื้อ

หลังจากนั้น ตู้เหยี่ยหู่ชูถ้วยสุราไปทางตะวันตกเฉียงใต้โดยไม่พูดจา ทำเพียงเทสุราลงไปเท่านั้น

ทุกคนรู้ว่าเขากำลังบอกลาใคร

ตู้เหยี่ยหู่ไปจิ่วเจียงครั้งนี้จะออกจากประตูทิศใต้ เดินไปตามถนนทางหลวง และเส้นทางที่นำไปสู่ริมแม่น้ำหลิวขจีก็อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้นั่นเอง

การรับสมัครคนของหน่วยเกราะดำเก้าสินธุเปิดกว้างตั้งแต่กรมทหารไปจนถึงสำนักเต๋า จะบอกว่ากองกำลังทหารกลุ่มนี้เป็นหน้าเป็นตาของรัฐจวงก็ไม่เกินเลย ดังนั้นยามเขาออกจากสำนักเต๋าประจำเมืองจึงไม่ต้องมีขั้นตอนมากมายนัก

สิ่งที่ควรจะพูดก็พูดหมดแล้ว ตามมาส่งถึงพันลี้ สุดท้ายก็จำต้องจากลา

“ข้าไปแล้ว!”

ท้ายที่สุด ตู้เหยี่ยหู่เอ่ยขึ้นเช่นนี้ ก่อนจะแบกกระเป๋าสัมภาระ เดินมือเปล่าไปตามทาง

เวลานี้ไม่มีทั้งลมทั้งฝน ชั้นเมฆเปิดออก

และสารทฤดูกำลังจะสิ้นสุดลง

หลินเจิ้งหลุนในฐานะที่เป็นลูกหลานตระกูลสาขาของตระกูลหลินแห่งเมืองวั่งเจียง ช่วงนี้มีบทบาทโดดเด่นกว่าใคร

แรกสุดตบแต่งแม่ม่ายเข้ามาคนหนึ่ง ถูกคนหัวเราะเย้ยหยัน แต่เขากลับไม่ใส่ใจ หลังจากแต่งงานสามีภรรยาก็รักใคร่กันดี ผ่านไปไม่กี่วัน เขาเปิดตลาดสมุนไพรในเมืองเฟิงหลิน ทำให้เขาได้รับการยอมรับอย่างไร้ข้อโต้แย้งในเมืองวั่งเจียงที่ให้ความสำคัญกับการค้าขายเป็นที่สุด และยังใช้โอกาสนี้เริ่มควบคุมกิจการสมุนไพรในตระกูลหลิน

ไม่พูดไม่ได้ว่าคนตระกูลสาขาเปลี่ยนมาเป็นทายาทสายตรง นกกระจอกกลายเป็นพญาหงส์ไปเสียแล้ว

เวลานี้ทุกคนเพิ่งจะได้รู้ว่า แม่ม่ายคนนั้นที่เขาแต่งงานด้วยไม่ธรรมดาเลย นางมีสินเดิมเจ้าสาวมาด้วย เป็นร้านขายสมุนไพรที่มีชื่อเสียงดีที่สุดในตำบลเฟิ่งซี!

มีใครไม่รู้บ้างว่าการค้าสมุนไพรในเมืองเฟิงหลินขึ้นอยู่กับการเก็บเกี่ยวของตำบลเฟิ่งซี อีกทั้งในตำบลเฟิ่งซี ร้านขายสมุนไพรของตระกูลเจียงมีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมมาก แน่นอนว่าตอนนี้เปลี่ยนเป็นแซ่หลินไปแล้ว

ตอนแรกร้านสมุนไพรของตระกูลหลินคิดหาทุกวิธีที่จะขยับขยายเข้าไปในเมืองเฟิงหลิน แต่ก็คืบหน้าไปอย่างยากลำบาก ใครก็คิดไม่ถึงว่าหลินเจิ้งหลุนจะใช้อีกวิธี พลิกสถานการณ์จากการแต่งงานครั้งหนึ่ง และทำให้คนไม่น้อยที่มารู้ภายหลังต้องเสียใจ ถึงอย่างไรแม่ม่ายคนนั้นก็รูปร่างหน้าตาไม่ธรรมดา นับประสาอะไรกับผลประโยชน์เช่นนี้

ณ หอชมชลที่เมืองวั่งเจียง ยามนั่งมองทอดไกลในหอชมชล แม่น้ำชิงที่รูปร่างราวกับมังกรเจียวคดเคี้ยวอยู่ในสายตา

หลินเจิ้งหลุนนั่งอยู่บนที่นั่งประธาน กำลังเชื่อมสัมพันธ์อันดีกับสหายใหม่ที่เพิ่งพบกันพลางฟังคำเยินยอของทุกคน ดูภาคภูมิใจเหลือประมาณ

ตึง ตึง ตึง!

เสียงบนหอชัดเจนขนาดนี้ หลินเจิ้งหลุนหันหน้าไปมอง จะดูว่าใครกันที่มีตาแต่ไร้แวว เขาผู้ยิ่งใหญ่จากตระกูลหลินเหมาทั้งชั้นนี้เอาไว้แล้วแท้ๆ

พอมองออกไป กลุ่มคนที่นั่งอยู่กับเขาก็ทยอยลุกขึ้นยืน

“นายน้อยหลิน!”

“นายน้อยหลิน!”

นายน้อยตระกูลหลินมีอยู่มากมาย แต่ผู้ซึ่งทำให้คนมีหน้ามีตาที่นั่งอยู่มากมายขนาดนี้ลุกขึ้นมาโค้งคารวะได้มีเพียงคนเดียว นั่นคือบุตรชายภรรยาเอกของประมุขตระกูลหลิน ประมุขตระกูลในอนาคตที่ตระกูลหลินยอมรับแล้ว…หลินเจิ้งหลี่

หลินเจิ้งหลุนกำลังจะลุกขึ้นตามจิตใต้สำนึก แต่ก็ฝืนห้ามใจเอาไว้ นั่งนิ่งอยู่ที่เดิม และเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “น้องเจิ้งหลี่ วันนี้ทำไมว่างมายังหอชมชลได้ ข้าเหมาชั้นนี้ไว้แล้ว พวกเจ้าก็สนุกกันตามสบาย ค่าใช้จ่ายจดไว้ที่บัญชีข้าได้เลย”

ใช่แล้ว จะว่าไปเขาก็ยังเป็นพี่ชายของนายน้อยหลินคนนี้ ก่อนหน้านี้ที่ตำแหน่งต่ำต้อยยังพูดอะไรมากไม่ได้ ทว่าตอนนี้อาศัยคุณงามความดีครั้งใหญ่เข้ามาเป็นทายาทสายตรงแล้ว ถ้าพูดเรื่องความอาวุโส ลองจัดลำดับที่นั่งดูแล้วก็ควรจะออกมาเช่นนี้

แม้ว่าเขาจะไม่อาจแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดตระกูลหลินกับหลินเจิ้งหลี่ได้ แต่เขาที่กำลังจะได้ครอบครองกิจการสมุนไพรของทั้งตระกูลย่อมมีความมั่นใจในการนั่งคุยกันอยู่

ครั้นเอ่ยออกไป เหล่าคุณชายที่อยู่ด้านหลังหลินเจิ้งหลี่ก็หัวเราะ พวกเขาล้วนเป็นลูกหลานของผู้ร่ำรวยมีอำนาจ ต่อให้หัวเราะขึ้นมาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย หลินเจิ้งหลุนก็พูดอะไรไม่ได้

ทว่าหลินเจิ้งหลี่กลับนิ่งสงบเหลือเกิน เขาประสานมือคารวะหลินเจิ้งหลุน “พี่เจิ้งหลุนเกรงใจไปแล้ว”

เมื่อนั่งลงตามการเชื้อเชิญของหลินเจิ้งหลุน หลินเจิ้งหลี่ก็ยิ้มกล่าว “ตลอดมาไม่มีโอกาสได้พูดเลย วันนี้ในเมื่อบังเอิญได้พบกันแล้ว น้องคนนี้มีเรื่องจะคุยกับพี่ชายเสียหน่อย”

หลินเจิ้งหลุนมองไปรอบๆ ด้วยความลำพองใจ ความหมายประมาณว่าพวกเจ้าดูสิ ประมุขตระกูลหลินในอนาคตยังเคารพข้าเสียขนาดนี้

ทว่าปากกลับพูดอย่างถ่อมตัว “น้องเจิ้งหลี่เกรงใจไปแล้ว มีอะไรก็พูดมาเถิด พี่ชายที่โตกว่าไม่กี่ปีคนนี้ก็มีประสบการณ์ชีวิตมาเล่าให้เจ้าฟังเหมือนกัน”

“เช่นนั้นก็ดี” หลินเจิ้งหลี่ยิ้มๆ “การค้าขายสมุนไพรทางเมืองเฟิงหลิน ตอนนี้มั่นคงดีแล้วหรือ”

คำถามนี้ตรงเข้าประเด็นสำคัญ หลินเจิ้งหลุนหัวเราะร่า “พี่ชายออกโรงแล้ว มีเหตุผลที่จะทำไม่ได้เสียที่ไหน น้องเจิ้งหลี่ดูเอาไว้เถิด ไม่เกินสามสี่ปี สมุนไพรทั่วทั้งเขตเมืองเฟิงหลินจะต้องเป็นของพวกเราตระกูลหลิน!”

“เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นก็ดี” หลินเจิ้งหลี่พยักหน้าติดๆ กัน “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พี่ก็ไปพักผ่อนที่สวนสารทฤดูได้แล้ว”

“ใช่แล้ว!” หลินเจิ้งหลุนเออออไปตามจิตใต้สำนึกพักหนึ่ง จากนั้นก็ได้สติกลับมา “อะ..อะไรนะ?!”

ชื่อสวนสารทฤดูนั้นไพเราะ แต่กลับเป็นแค่สถานที่ที่คนชราผู้โดดเดี่ยวพักหลังเกษียณในตระกูล เขาหลินเจิ้งหลุนอายุเท่าไรกัน เหตุใดต้องไปพักด้วย

“น้องเจิ้งหลี่อย่าล้อเล่นแบบนี้สิ” หลินเจิ้งหลุนฝืนหัวเราะ

หลินเจิ้งหลี่กลับหุบยิ้มลง “ข้าไม่เคยพูดเล่น สมุนไพรส่วนนี้ข้าจะรับช่วงต่อเอง”

เหล่าคุณชายที่ขึ้นหอมากับเขาหัวเราะอีกครั้ง เสียงหัวเราะแม้จะแผ่วเบา แต่ฟังแล้วหนักหนาเหลือเกิน

สายลมสารทฤดูพัดผ่านผิวน้ำแม่น้ำชิง จากนั้นพัดเข้าสู่หอชมชลจนมาถึงตัวของหลินเจิ้งหลุน

เขาตระหนักได้ว่าตนเองไม่อาจต่อต้านปฏิเสธได้

ในตอนนี้เขาถึงเพิ่งรู้สึกหนาวขึ้นมา

เขาคิดในใจ ที่แท้ก็เข้าสู่ปลายสารทฤดูแล้วนี่เอง

……………………………………….