บทที่ 37 สามเมืองเสวนาเต๋า

ท่องภพสยบหล้า

เคล็ดหลอมกายาสี่สัตว์เทพ มังกรเขียวอยู่ทางทิศตะวันออก เป็นธาตุไม้

เจียงวั่งรับรู้พลังชีวิตอย่างละเอียด สัมผัสการเพิ่มขึ้นของเลือดลม ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองหรือไม่ แต่รากพลังเต๋าที่เกิดขึ้นใหม่ในจุดผ่านสวรรค์เหมือนว่องไวขึ้นเล็กน้อย ทำให้ความยากในการจัดวางจุดพลังลดลงไปมาก

ตอนที่ประตูฟ้าดินยังไม่เปิดออก ก็สามารถใช้พลังปราณธาตุไม้กระตุ้นกายเนื้อได้ นี่เป็นหนึ่งในข้อได้เปรียบของการฝึกฝนสายทหารอย่างไม่ต้องสงสัย

เคล็ดหลอมกายาสี่สัตว์เทพใช้พลังปราณธาตุทองตัดกระดูก ใช้พลังปราณธาตุไฟชะล้างกาย ใช้พลังปราณธาตุน้ำหล่อเลี้ยงเลือดเนื้อ รวมกับพลังปราณธาตุไม้ที่คอยเพิ่มเลือดลม ครบสมบูรณ์ในทุกด้านโดยไม่เสียมหามรรคา

สำหรับเจียงวั่งแล้ว เขาไม่มีความคิดจะฝึกฝนสายทหารโดยเฉพาะ และยิ่งไม่คิดจะลองใช้เลือดลมทะลวงชีพจรด้วย แต่พลังเลือดลมอันแข็งแกร่งก็สามารถเพิ่มรากพลังเต๋าได้เช่นกัน ซ้ำยังทำให้เขาสร้างกระแสวนเต๋ารวดเร็วยิ่งขึ้น

แต่เดิม ในทุกๆ วันเขาจะฝึกบำเพ็ญทะลวงชีพจรได้แค่สองถึงสามครั้ง เวลานอกเหนือจากนี้ทำได้เพียงฝึกวิชากระบี่และศึกษาตำราเต๋า แต่ตอนนี้เคล็ดกระบี่หมอกมงคลแห่งบูรพามาถึงจุดติดขัดแล้ว อย่างน้อยสำหรับเขาในตอนนี้ ถึงจะแบ่งสมาธิไปฝึกร่างกายก็ไม่เสียเวลาฝึกบำเพ็ญ

เค้าร่างของแผนผังจักรวาลดาราดูแล้วเหมือนงดงามอย่างยิ่ง แต่ช่างยากลำบากและช้าเกินไปหน่อย

ทว่าเจียงวั่งก็ไม่ได้ใจร้อน ในตอนที่เขายังเด็ก บิดาบอกเขาว่าโสมมนุษย์อายุเก้าสิบเก้าปีต้นหนึ่งขายได้หนึ่งร้อยตำลึงเงิน แต่หากยอมรออีกหนึ่งปี ราคาของมันจะมากมหาศาล

การรอไม่ใช่การสูญเปล่า อนาคตบางอย่างควรค่าแก่การรอคอย

ดังนั้นต่อให้ในสำนักเต๋าจะมีข่าวลือเล่ากันมากมาย ทั้งฟางเฮ่อหลิงใกล้จะหลอมกระแสวนเต๋าวงที่สองได้ ทั้งใครสักคนเปิดชีพจรได้แล้ว อีกไม่นานจะไล่ตามมาทัน

เจียงวั่งก็ยังคงทำไปตามลำดับขั้นตอน ไม่รีบไม่ร้อน รู้หน้าที่รู้สติอยู่ตลอดเวลา

……

เดือนสิบมีอีกชื่อว่าเดือนน้ำค้าง ฤดูใบไม้ร่วงผ่านไปฤดูหนาวย่างเข้ามา เพราะมีน้ำค้างมาก จึงได้ชื่อมาด้วยประการฉะนี้

สำหรับประชาชนเมืองเฟิงหลิน เรื่องที่สำคัญที่สุดในเดือนสิบนี้ย่อมเป็นสามเมืองเสวนาเต๋า

สามเมืองเสวนาเต๋าที่ว่า ดูจากชื่อก็รู้ความหมาย เป็นการแข่งขันอรรถาธิบายเต๋าจากความร่วมมือของสำนักเต๋าที่อยู่ใกล้กันสามเมือง เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้และขัดเกลาซึ่งกันและกัน ทว่าความจริงเป็นการเตรียมตัวสอบเข้าสำนักเต๋าเขตปกครองในเดือนสิบเอ็ดของทุกปี สำนักเต๋าทั่วทุกที่ในรัฐจวงต่างมีกิจกรรมที่คล้ายกัน เพียงแค่ชื่อเรียกแตกต่างออกไป

ยกตัวอย่างเช่นชื่อ ‘ลมเหนือสำแดงหิมะ’ ที่พื้นที่เขตปกครองไต้ซาน เมืองชิงหลัน และเมืองไป๋ลู่เป็นตัวตั้งตัวตีจัดขึ้น ก็ดึงมาจากบทกลอน ‘เดือนสิบแรกเหมันต์ ลมเหนือแปรปรวน’ ฟังดูทรงภูมิน่าสนใจมาก ถึงขั้นว่าเป็นงานใหญ่ที่มีชื่อเสียงไปทั่วของเขตปกครองไต้ซาน ทุกปีดึงดูดผู้เดินทางท่องเที่ยวมาไม่น้อย แต่อันที่จริงก็เป็นแค่การแข่งขันแสดงเต๋าที่ห้าเมืองโดยรอบช่วยกันจัดขึ้นเท่านั้น

เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ‘สามเมืองเสวนาเต๋า’ เรียบง่ายกว่ามาก ช่วยไม่ได้ สามเมืองที่อยู่ติดกันมีเมืองวั่งเจียง เมืองเฟิงหลิน และเมืองซานซาน

เมืองเฟิงหลินไม่จำเป็นต้องพูดถึง ความเรียบง่ายคือรูปแบบของเมืองนี้อยู่แล้ว เขตชนบทเมืองเฟิงหลินมีต้นเฟิง (ต้นเมเปิล) แดงดุจเพลิง แต่กลอนที่พอจะมีชื่อเสียงอยู่บ้างเพียงบทเดียว ก็แต่งขึ้นโดยผู้ฝึกตนเมืองชิงหลันคนหนึ่งตอนที่เดินทางผ่านมา

เมืองวั่งเจียงมุ่งแต่ผลประโยชน์ ไม่สนว่าจะสง่างามหรือไม่ เมืองซานซานยิ่งเรียบง่ายขึ้นไปอีก คนที่นั่นตอนนี้ยังถูกเรียกอย่างดูหมิ่นว่าคนเถื่อนอยู่ด้วยซ้ำ

ลักษณะของทั้งสามเมืองเป็นเช่นนี้ ไม่มีอะไรให้พูดถึงอีก แต่จากการพัฒนาในหลายปีมานี้ งานเริ่มไม่ได้เป็นแค่การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของลูกศิษย์แล้ว ในมุมหนึ่งถึงขนาดสะท้อนให้เห็นความแข็งแกร่งอ่อนแอของสามเมือง ส่งผลต่อการจัดแบ่งทรัพยากรจากรัฐจวง จึงเริ่มมีกลิ่นอายของความดุเดือดแล้วเช่นกัน

ปีนี้ถึงตาของเมืองเฟิงหลินพอดี ทั้งเมืองเฟิงหลินตั้งแต่ระดับสูงถึงเจ้าเมือง ไปจนระดับล่างชาวบ้านทั่วไป ต่างก็ให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่ง โรงเตี๊ยมใหญ่ต่างๆ ประดับตกแต่งร้านกันแล้ว ทางการเพิ่มการดูแลรักษาความปลอดภัย ไม่มีเหตุลักเล็กขโมยน้อยไปช่วงหนึ่ง

ในสำนักเต๋าเมืองเฟิงหลินก็ย่อมมีการคัดเลือกเกิดขึ้นเป็นธรรมดา

……

“เรื่องก็เป็นแบบนี้” เว่ยชวี่จี๋ปรากฏตัวขึ้นพร้อมต่งเอออย่างหาได้ยาก เพียงแต่ต่างไม่ยอมนั่ง กลับยืนอยู่บนเวที

“ตามธรรมเนียมปฏิบัติ สำนักเต๋าประจำเมืองจะคัดเลือกลูกศิษย์ปีหนึ่ง ปีสาม และปีห้าชั้นปีละสองคนเข้าร่วมการแสดงเต๋าครั้งนี้” เว่ยชวี่จี๋ผิวดำเมี่ยม แววตาดุดัน เวลาที่ไม่ยิ้มดูน่ากลัวมาก “ข้าพูดตามตรงเลยแล้วกัน ชนะได้เท่านั้นห้ามแพ้ คนที่แพ้ อย่าหาว่าข้าแซ่เว่ยคนนี้ใช้อำนาจข่มเหงรังแกก็แล้วกัน”

ลูกศิษย์ปีหนึ่งที่ว่าคือผู้ฝึกตนที่ฝึกบำเพ็ญในสำนักเต๋าได้ประมาณหนึ่งปี ความจริงแล้วกำลังหลักจะเลือกจากศิษย์รุ่นพี่ เพราะฝึกบำเพ็ญได้ปีกว่าแล้ว ลูกศิษย์ปีสามและปีห้าก็ใช้หลักเดียวกัน เหตุที่ไม่มีลูกศิษย์ชั้นปีที่ห้าขึ้นไปร่วมแข่งขันเสวนาเต๋า ก็เพราะโดยปกติผู้ฝึกตนที่เลยปีห้าขึ้นไปแต่ยังเข้าสำนักเต๋าเขตปกครองไม่ได้ โดยพื้นฐานจะทิ้งความหวังในการฝึกบำเพ็ญ แล้วเปลี่ยนไปเสพสุขกับลาภยศความรุ่งเรืองทางโลกแทน

เจ้าเมืองพูดตรงๆ เช่นนี้ ทำเอาศิษย์สำนักเต๋าข้างล่างเวทีตื่นเต้นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ลูกศิษย์ที่วางแผนจะแสดงความโดดเด่นบนเวทีสามเมืองเสวนาเต๋าครั้งนี้เริ่มลังเลทันใด

“ลูกศิษย์ชั้นปีหนึ่งชนะหนึ่งรอบตบรางวัลสิบแต้มเต๋า ลูกศิษย์ชั้นปีสามชนะหนึ่งรอบได้ยี่สิบแต้มเต๋า ลูกศิษย์ชั้นปีห้าชนะหนึ่งรอบได้ห้าสิบแต้ม” แม้ปากจะเอ่ยเสริมเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศ แต่สีหน้าของต่งเออกลับเย็นชายิ่ง

คนหนึ่งหน้าดำ คนหนึ่งหน้าเย็นชา กลับเหมือนช่วยเสริมกันและกันให้เด่น บุคคลที่ใหญ่ที่สุดเพียงสองคนของเมืองเฟิงหลินต่างให้ความสำคัญกับการแสดงเต๋าครั้งนี้เหมือนกันโดยไม่ได้นัดหมาย

นี่ไม่ใช่เพราะเกี่ยวพันกับเรื่องการจัดแบ่งทรัพยากรเท่านั้น ในขณะเดียวกันก็เป็นการแสดงให้เห็นศักยภาพการบริหารปกครองของพวกเขา เป็นศักดิ์ศรีหน้าตา

โดยเฉพาะหลังจากที่ตำบลเสี่ยวหลินกลายเป็นแดนรกร้าง เมืองเฟิงหลินยิ่งต้องรีบแสดงศักดา

“ต่อไปข้าจะประกาศรายชื่อ ใครที่รู้ตัวว่าความสามารถไม่พอและอยากถอนตัว ก็พูดมาตอนนี้เลย” ในเมื่อการเสวนาเต๋าครั้งนี้สำคัญอย่างยิ่งยวด ต่งเออก็ไม่ใช้วิธีอาสาตามความสมัครใจ แต่เรียกชื่อเลย “การเสวนาเต๋าครั้งนี้ให้จางหลินชวนเป็นผู้นำกลุ่ม…”

ข้างล่างเวที จางหลินชวนกุมหน้าผากอย่างจนปัญญา เอ่ยงึมงำว่า “ข้ากดดันเหลือเกิน”

“เจ้ากดดันมากนักหรือ” สายตาของต่งเออที่อยู่บนเวทีจ้องมา ด้วยพลังบำเพ็ญของผู้แข็งแกร่งระดับห้า อย่าพูดถึงเสียงพึมพำเลย ต่อให้เป็นเสียงผายลมเขาก็สามารถหาคนผายลมผู้นั้นเจอทันที

“แต่ว่าข้ามั่นใจมาก!” จางหลินชวนตอบกลับไปทันที

ต่งเออถึงได้ปล่อยเขาไป และเรียกชื่อของคนอื่นๆ ต่อ

“ศิษย์พี่จางสมกับเป็นศิษย์พี่จางจริงๆ แม้แต่เจ้าสำนักยังยอมรับท่านว่าเป็นบุคคลอันดับหนึ่งของสำนักเต๋า!” หวงอาจ้านกระซิบกระซาบอย่างประจบประแจงอยู่ข้างๆ

วันนี้ตอนที่จางหลินชวนมาถึงสำนักก็สายมากแล้ว จึงไม่ไปอยู่แถวข้างหน้า ยืนอยู่กับพวกเจียงวั่งแทน บางทีอาจจะเพื่อให้เจ้าสำนักลืมเขาไปก็เป็นได้ แต่ว่าก็ยังถูกเรียกออกมาทันทีอยู่ดี

“ถ้าจู้เหวยหว่อกับเว่ยเหยี่ยนเข้าร่วมได้ ความลำบากจะตกมาถึงข้าหรือไร” จางหลินชวนถลึงตาใส่หวงอาจ้านอย่างมีสติแจ่มแจ้ง เขาไม่อยากให้พรุ่งนี้เว่ยเหยี่ยนถือดาบมาฟันถึงหน้าประตูหรอก

ทว่าจู่ๆ เขาก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าอุดจมูก พูดขึ้นว่า “เจ้าไม่ได้อาบน้ำมานานเท่าไรแล้ว”

“ชายชาตรีอกสามศอก จะเสียเวลากับเรื่องอาบน้ำได้อย่างไร” หวงอาจ้านเอ่ยอย่างทรงคุณธรรม จากนั้นก็ก้มหน้าดม “ไม่มีกลิ่นนี่…”

จางหลินชวนขยับไปข้างหน้าสองก้าวอย่างรังเกียจ

เว่ยเหยี่ยนเป็นคนของกรมทหาร เข้าร่วมการเสวนาเต๋าไม่ได้ถือเป็นเรื่องปกตินัก แต่จู้เหวยหว่อทำไมถึงไม่อยู่ด้วย บุคคละระดับนี้ไม่ใช่ว่าควรปรากฏตัวในเวลานี้หรอกหรือ

เจียงวั่งคิดถึงตรงนี้ก็ถามขึ้น “ศิษย์พี่จู้เหตุใดจึงเข้าร่วมไม่ได้”

“อ้อ ดูเหมือนว่าจะไปตามสังหารมารกลืนจิตใจแล้ว” จางหลินชวนตอบอย่างสบายๆ

เจียงวั่ง หลิงเหอ และหวงอาจ้านต่างตะลึงอ้าปากค้างไปพร้อมกัน

ตามสังหารรึ

เก้ามหามารขึ้นชื่อว่าเหี้ยมโหดปานนั้น! ทรมานสังหารคนรัฐเลี่ย ทำเรื่องชั่วช้านับไม่ถ้วน ถึงเรียกว่าเป็นคนสามานย์ในแผ่นดินก็ไม่เกินไป ต่อให้สยงเวิ่นจะเป็นคนที่อ่อนแอที่สุดในเก้ามหามาร อาศัยฝีมืออันโหดเหี้ยมถึงมีชื่ออยู่ในนั้นได้ แต่นั่นก็เป็นผู้แข็งแกร่งระดับหกที่เปิดประตูฟ้าดินได้แล้ว มีคุณสมบัติที่จะถูกเรียกว่าผู้บำเพ็ญมังกรทะยาน!

ผู้บำเพ็ญระดับเก้าใช้รากพลังเต๋าวางจุดพลัง สร้างกระแสวนเต๋า วางรากฐานให้สำเร็จ วิญญาณแท้ชีพจรเต๋าจะว่ายวนอยู่กระแสวนเต๋านั้น เรียกว่าระดับเคลื่อนชีพจร

ผู้บำเพ็ญระดับแปดสร้างกระแสวนเต๋าได้สามวง ทั้งยังสร้างวงจรจักรวาลเล็กไว้ในจุดผ่านสวรรค์ เรียกว่าระดับวัฏจักรดารา

ผู้บำเพ็ญระดับเจ็ดสร้างวงจรจักรวาลเล็กฟ้า ดิน และมนุษย์รวมสามจุด รวมเป็นวงจรจักรวาลใหญ่ได้สำเร็จ จากนั้นโคจรไปทั่วกายเนื้อและชะล้างจุดผ่านสวรรค์ เมื่อชีพจรเต๋ามหามังกรตื่นขึ้น จึงจะได้พบประตูฟ้าดิน! นี่คือระดับผ่านสวรรค์

ประตูฟ้าดินที่ปิดจุดผ่านสวรรค์เรียกว่าเป็นด่านแรกของการฝึกบำเพ็ญ มีเพียงเปิดประตูฟ้าดินออกเท่านั้นถึงจะกระจ่างรู้แจ้ง ชีพจรเต๋าดุจมังกรทะยาน

ก่อนจะถึงระดับหก ศิษย์สำนักเต๋าทุกคนล้วนสวมชุดเครื่องแบบเต๋าเป็นผ้าป่านเท่านั้น เพื่อแสดงถึงจิตใจที่ไม่เกรงกลัวความลำบาก มานะบากบั่นฟันฝ่าขวากหนาม

และหลังจากระดับหกไป ผู้แข็งแกร่งระดับสามขั้นกลางจะสวมชุดคลุมเต๋ามังกรทะยานได้ ระดับมังกรทะยาน เบิกคลัง และหอนอก สามขอบเขตพลังนี้แตกต่างด้านรายละเอียดเล็กน้อยเท่านั้น

นี่เป็นสัญลักษณ์ของฐานะประเภทหนึ่ง เป็นรูปธรรมของเกียรติยศ

ผู้บำเพ็ญคนใดก็ตามที่มีคุณสมบัติได้สวมชุดคลุมเต๋ามังกรทะยาน ล้วนเรียกได้ว่าผู้แข็งแกร่ง

สยงเวิ่นที่ชื่อเสียงโหดเหี้ยมเลื่องลือเช่นนี้ ยิ่งเป็นยอดฝีมือในหมู่ผู้บำเพ็ญระดับมังกรทะยาน

และตอนนี้ จู้เหวยหว่อที่เป็นเพียงศิษย์สำนักเต๋าประจำเมืองกลับไปไล่ล่าสังหารมันอย่างนั้นหรือ

………………………………………………………