เยี่ยเม่ยอึ้งเล็กน้อย ตอบสนองไม่ทัน
ได้ยินเสียงราบเรียบของเขา “ทำไมถึงเลือกเขา ความจริง…ข้าก็ชอบเจ้า”
นางตกตะลึง
เงยหน้ามองเขา กลับเห็นว่ากูเยว่อู๋เหินยังหลับไหลเหมือนเดิม ในใจของนางพลันรู้สึกไม่เป็นรสชาติ บางทีเป็นนางที่ทำร้ายเขา ตอนอยู่ชายแดน เขาช่วยแสดงละครกับนาง บางทีเพราะอยู่ด้วยกันทุกวัน
ดังนั้นพออยู่ด้วยกันนานเข้าเกิดเป็นความรัก เขาหวั่นไหวให้กับนาง?
ในเวลานี้นางกลับไม่อาจตอบสนองใดๆ ได้ เดิมนางคิดว่าหลังจากเลือกแล้ว เสินเซ่อเทียนอาจเสียใจ เป่ยเฉินอี้อาจเสียใจ คนเดียวที่นางคิดไม่ถึงว่าจะเสียใจขนาดนี้คือกูเยว่อู๋เหิน
ทั้งๆ ที่…เป็นคนสันโดษที่สุดในโลกนี้
ทั้งๆ ที่เขาดูแล้วเฉยชากว่าใครทั้งนั้น สง่างามมากกว่าใครทั้งหมด เหมือนกับวันนั้นในท้องพระโรง หลังจากนางตอบว่าเลือกเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เขาก็สะบัดชายเสื้อจากไปโดยไม่หันกลับมามองเลยสักนิด
แต่ว่าวันนี้…
ในยามที่เขาสลบไสลไม่ได้สติ เยี่ยเม่ยผละออกจากแขนเขา ลุกขึ้นมานั่งใหม่ มองใบหน้าเขา เริ่มใช้ความคิด
ตกดึกกูเยว่อู๋เหินถึงฟื้นขึ้นมา
เขาย่อมจำไม่ได้ว่ายามตัวเองเมามายจนแทบไม่เป็นคนพูดอะไรออกไปบ้าง เพียงแต่ยามลืมตาขึ้นมาเห็นเยี่ยเม่ยข้างเตียง เขาก็ตะลึงเล็กน้อย คนทั้งสองสบตากันอยู่นาน ไม่พูดอะไรออกมา
ในที่สุด เยี่ยเม่ยก็กำชับว่า “พักผ่อนให้ดี!”
แล้วก็จากไป
กูเยว่อู๋เหินไม่รั้งนางไว้ มองส่งหญิงสาวออกจากห้อง เขารู้ว่าตัวเองรั้งนางไม่ได้ ทั้งรู้ดีว่าเขาไม่อาจจูบเบาๆ ที่ริมฝีปากนางเหมือนตอนอยู่ชายแดนอีกแล้ว ถึงขั้นเขาไม่อาจแตะต้องชายเสื้อนางได้อย่างเหมาะสมอีก
ใจพลันกระตุกไปเล็กน้อย
เจ็บปวดมาก เขากุมหน้าอกตัวเองด้วยความตื่นตระหนก นี่คือ…ความรู้สึกปวดใจอย่างนั้นหรือ
……
หลายวันนี้อารมณ์ของเป่ยเจี้ยนเกอและเฉิงเสี่ยวจวนว้าวุ่นเป็นอย่างยิ่ง
นับตั้งแต่วันที่เยี่ยเม่ยเลือกเป่ยเฉินเสียเยี่ยน อารมณ์ของจวินซ่างก็ไม่ดีขึ้นบ้างเลย ทำไมพวกเขาถึงตัดสินว่าอารมณ์ของเสินเซ่อเทียนไม่ดี นั่นก็คือหลังจากกลับมา เสินเซ่อเทียนไม่มีความอยากอาหาร
จู่ๆ เขาก็ไม่ชอบตกปลาขึ้นมาแล้ว
และไม่ชอบออกไปอาบแดดอีก
แม้กระทั่งยามมีคนมาท้าประลองยุทธ์กับจวินซ่าง เขายังคร้านจะออกไปสังหารหมู่ ส่งเพียงบ่าวไพร่อย่างพวกเขาออกไปจัดการแทน
ที่น่ากลัวที่สุดคือ เป็นเวลาห้าวันเต็มๆ แล้ว เขาพลิกตำราทั้งหลายแล้วไม่พบว่าตัวเองยังไม่ได้กินของอร่อยอะไรบ้าง แล้วสั่งการให้เฉิงเสี่ยวจวนออกไปตามหา
เรื่องนี้สำหรับจวินซ่างแล้ว นับว่าเป็นเรื่องผิดปกติอย่างแรงกล้า
ทำเอาเฉิงเสี่ยวจวนกังวลใจจนต้องไปค้นตำราเอง ออกไปหาของกินให้เสินเซ่อเทียน
…
เวลาผ่านไปอีกหลายวัน
พรุ่งนี้ก็จะถึงวันแต่งงาน จิ่วหุนก็ยังไม่กลับมา
เรื่องนี้ทำให้อารมณ์ที่ว้าวุ่นอยู่แต่เดิมของเยี่ยเม่ยยิ่งกระวนกระวายไปใหญ่ จิ่วหุนหายไปอย่างไร้ร่องรอย เป็นหรือตายก็ยังไม่รู้ อย่าว่าแต่สถานการณ์ในยามนี้ของนางกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเลย ต่อให้ระหว่างนางกับเขาไม่เกิดเรื่องอะไร ไม่มีความแค้นระหว่างกัน นางก็ไม่มีอารมณ์แต่งงาน
ยังดีที่
ยามที่นางกลัดกลุ้มกังวลแสนสาหัสนอนไม่หลับอยู่หลายวัน บ่าวก็เข้ามารายงานว่า “คุณชายเสี่ยวจิ่วกลับมาแล้ว!”
เยี่ยเม่ยลุกขึ้นในบัดดล
ออกไปข้างนอกอย่างร้อนรน
ยามจิ่วหุนเข้ามา ก็หอบ**บใบใหญ่เข้ามาด้วย สภาพเขาดูน่าอนาถนัก คล้ายคนเร่งรีบเดินทาง มอมแมมไปหมด
เห็นเยี่ยเม่ยออกมาอย่างร้อนรน
เขาก็อึ้งไป “ท่านพี่?”
“เจ้าไปไหนมา ไปโดยไม่ร่ำลาเลยสักคำ พวกเราตามหาเจ้าอยู่หลายวัน กังวลว่าเจ้าจะเกิดเรื่อง!” เยี่ยเม่ยรัวคำพูดออกมา นางไม่ใช่คนพูดมาก แต่เวลานี้ไม่รู้ว่าเพราะความกังวลใจหรืออะไร ทำให้นางพูดออกไปไม่น้อย
จิ่วหุนมองคนทั้งหมด ค่อยตระหนักได้ว่าตัวเองหายตัวไป เกรงว่าคนทั้งหลายคงกังวลแล้ว
เขาก้มหน้าลง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเล็กราวกับสัตว์ตัวจ้อย “ขอโทษ”
เดิมทีเยี่ยเม่ยแค่เป็นห่วงเขาเท่านั้น ไม่ได้คิดถือโทษโกรธเคือง เห็นเขาเอ่ยคำขอโทษด้วยท่าทางเสียใจ ในใจนางรู้สึกบอกไม่ถูก เอ่ยว่า “ไม่เป็นไร ข้าไม่ได้โทษเจ้า เจ้าไปไหนมา”
เมื่อนางถามออก
จิ่วหุนก็เช็ดคราบดินเลอะเทอะบนใบหน้า วาง**บลงที่พื้น เปิดออก ภายใน**บนั้นล้วนเป็นตั๋วแลกเงิน ทั้งยังเป็นตั๋วแลกเงินที่มีมูลค่าสูงยิ่ง แค่ใบหนึ่งก็มากเพียงพอให้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายไปทั้งชาติ แล้วนี่มีเต็มๆ **บ
เขาเงยหน้ามองเยี่ยเม่ย แววตาวาวประกายราวผลึกแก้ว ทว่ายังกลัวว่านางจะต่อว่าที่เขาหายตัวไปติดต่อกันหลายวัน เอ่ยด้วยเสียงเบาราวกับภรรยาตัวน้อย “ข้าไปยังถ้ำที่ขาเก็บเงินมา ขุดเอาเงินทั้งหมดขึ้นมา จากนั้นก็รีบกลับมาให้ทันก่อนงานแต่งหนึ่งวัน ท่านพี่ ท่านไม่มีครอบครัว ดังนั้นนี่คือของที่เป็นสินเดิมให้ท่าน ข้าได้ยินพวกเขาบอกว่า ยามเจ้าสาวแต่งงานต้องมีสินเดิมอู้ฟู่ ถึงจะมีตำแหน่งฐานะในบ้านสามี”
เยี่ยเม่ยชะงักงัน
ดังนั้นเขาถึงได้มีสภาพมอมแมมแบบนี้
เขาไม่มีเวลาแม้กระทั่งล้างเศษฝุ่นดินที่เปื้อนหน้า
เขาเดินทางไปตั้งหลายที่ ต่อให้ขี่ม้ากลับมายังต้องใช้เวลาสิบวันครึ่งเดือน เขากลับใช้เวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วันกลับมาแล้ว
ซือหม่าหรุ่ยมองเยี่ยเม่ยอย่างอดไม่ไหว นางย่อมมองออกว่าจิ่วหุนหาได้มีความรู้สึกแค่พี่สาวน้องชายกับเยี่ยเม่ยเท่านั้น แต่เมื่อมาถึงขั้นนี้ พรุ่งนี้เยี่ยเม่ยกำลังจะแต่งงาน นางได้แต่บอกว่ามีเรื่องให้กลัดกลุ้มอีกแล้ว
เยี่ยเม่ยรู้สึกว่ากระบอกตาร้อนผ่าว นางไม่มีญาติครอบครัวก็จริง ไม่มีบ้านฝั่งแม่ แต่ว่าจิ่วหุนน้องชายที่รับมาจากข้างทางผู้นี้ กลับเป็นคนแรกที่ให้ความอบอุ่นดั่งครอบครัวกับนาง
นางเข้าไปกอดจิ่วหุนแน่น เอ่ยเบาๆ ว่า “เสี่ยวจิ่ว ขอบใจเจ้า!”
นางหาได้กังวลว่า หลังจากแต่งงานกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เพราะไม่มีสินเดิมจะไม่มีฐานะในบ้าน แต่นางรู้สึกขอบคุณจริงๆ จิ่วหุนคิดเพื่อนางมากขนาดนี้ ทำเพื่อนางมากขนาดนี้
จิ่วหุนไม่พูดอะไร
นี่เป็นครั้งที่สองที่เยี่ยเม่ยกอดเขา
ครั้งแรกคือตอนที่นางรับเขาเป็นน้องชาย
ครั้งที่สองคือตอนนี้ ก่อนนางจะแต่งงานในวันพรุ่งนี้
อ้อมกอดของนางมีค่ามาก ทุกครั้งล้วนทำให้เขาเจ็บใจแต่กลับยังเบิกบานได้มาก เขาเอ่ยเบาๆ “ท่านพี่ ท่านต้องมีชีวิตที่ดี ข้าจะปกป้องท่าน”
“ข้าทำได้แน่!”
……
วันรุ่งขึ้น
งานแต่งงานครึกครื้นสนุกสนาน
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยืนอยู่หน้าประตูจวนแม่ทัพแต่เช้าตรู่เพื่อรอเยี่ยเม่ยออกมา คนทั้งหลายอดหยอกล้อไม่ได้ บอกว่ายังไม่ถึงฤกษ์มงคล องค์ชายสี่ก็มาถึงก่อนตั้งหนึ่งชั่วยาม เขารออยู่หน้าประตูบ้านอยากแต่งเจ้าสาวจนแทบอดใจไม่ไหว
คนที่อารมณ์ร้ายมาตลอดอย่างเป่ยเฉินเสียเยี่ยน กลับไม่สนใจสายตาและคำวิจารณ์ของพวกปากมาก รอเยี่ยเม่ยด้วยความอารมณ์ดี
หลังจากเยี่ยเม่ยออกมา บนศีรษะคลุมด้วยผ้าแดง ยืนนิ่งอยู่เบื้องหน้าเขา
“เป่ยเฉินเสียเยี่ยน!” นางเรียกเขาคำหนึ่ง เอ่ยนิ่งๆ ว่า “ในโลกนี้น้อยคนนักจะหยุดฝีเท้าลง ยอมรอเป็นฝ่ายถูกอย่างไร้เงื่อนไข รอคนที่ไม่รู้ว่าจะหันกลับมาหรือไม่ ยิ่งมีคนจำนวนน้อยที่เหมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ พยายามทุ่มเททุกอย่างเพื่อกุมใจของคนผู้หนึ่งเอาไว้ สิ่งล่อลวงใจในโลกนี้ก็งดงามเสียจนทำให้คนหน้ามืดตามัว ใครต่างก็รู้ว่าไม่จำเป็นต้องเป็นเพียงคนผู้นี้เท่านั้น ดังนั้นเดิมทีท่านไม่ควรปฏิเสธตัวเลือกที่ดียิ่งกว่าสำหรับท่าน…”
เดิมทีการไม่เลือกนาง เขาจะสามารถมีชีวิตอย่างอิสระเสรี
เขาชะงักไป กลับยิ้มออก ยื่นมือไปหานาง “แต่ว่าเยี่ยเม่ย ต้องเป็นเจ้าคนเดียวเท่านั้น หากไม่มีเจ้า ข้าก็มีชีวิตต่อไปไม่ได้อีก!”