ตอนที่ 53 ข้าละทิ้งแผ่นดินได้ แต่ไม่มีทางทิ้งเจ้า

เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า]

เยี่ยเม่ยชะงักงัน หมดคำพูดตอบออกไป

 

 

นางก้มหน้ามองเห็นมือของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนที่ยื่นมา ชั่วขณะนั้น นางรู้สึกไม่อยากใส่ใจความแค้นระหว่างพวกเขาอีก เพียงคิดว่านี่เป็นงานแต่งงานธรรมดาเท่านั้น เป็นงานแต่งงานที่มีเพียงเขาและนาง

 

 

นางยื่นมือออกไปวางไว้ในฝ่ามือเขา

 

 

เสียงโห่ยินดีร้องดังมาจากทั่วสารทิศ

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกุมมือเยี่ยเม่ยแน่น ชั่วขณะนั้นเขารู้สึกราวกับว่ากำลังฝันไป หลังจากที่นางขอเลิกกับเขา หลังจากเห็นนางจูบกับกูเยว่อู๋เหิน หลังจากรู้ว่าพวกเขามีความแค้นระหว่างกัน

 

 

เขาก็ไม่กล้าคิดถึงวันนี้เลย

 

 

ทั้งไม่เคยคิดว่าวันนี้จะมาถึง

 

 

ในขณะนี้เขารู้สึกว่าฟ้าดินกำลังทอสายรุ้งให้พวกเขา ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ก็ไม่เปล่งประกายได้เท่ากับอารมณ์สดใสในวันนี้

 

 

เขากุมมือนาง บุคลลิกสูงสง่ากล่าวคำสาบานว่า “ในโลกมนุษย์นี้มีความเจ้าเล่ห์เพทุบายไม่น้อย มีความแค้นล้ำลึกมากมายมีการแยกจากทอดทิ้งมากมาย เยี่ยเม่ย ข้าสามารถละทิ้งแผ่นดินได้ แต่ไม่มีทางทอดทิ้งเจ้า”

 

 

สิ้นเสียงเขาก็กอบกุมมือนาง หมุนกายอย่างสง่างามตรงไปทางประตู

 

 

เรียวนิ้วเยี่ยเม่ยสั่นระริกไม่ตอบเขา ทว่าไม่อาจไม่บอกว่า คำพูดนี้ในที่สุดก็แทรกซึมเข้าสู่ใจนาง ทำให้ใจนางสั่นไหว

 

 

ละทิ้งแผ่นดินได้ แต่ไม่ยอมทอดทิ้งนางหรือ

 

 

ช่างเป็นคำสัญญาแสนหวาน

 

 

หากระหว่างพวกนางไม่มีหนี้เลือดก็คงดี เวลานี้นางพลันรู้สึกปวดหนึบที่จมูก สุดท้ายไม่รู้เพราะดีใจ หรือว่าปวดใจนางยังบอกไม่ถูก คิดเพียงกุมมือเขาไว้ เดินบนเส้นทางต่อไป

 

 

พรมแดงปูอยู่บนพื้น

 

 

ระหว่างคนทั้งสองไม่มีผ้าแดงในมือ เพียงกุมมือกันเดินตรงไปด้านหน้า

 

 

เส้นทางนี้คล้ายกับยาวอยู่บ้าง แต่ในเวลานี้พวกเขาสองคนต่างหวังว่า ถนนสายนี้จะเดินไปได้ชั่วนิรันดร์ อย่างนั้น…พวกเขาก็คงเดินอยู่บนเส้นทางแห่งความสุข ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต ไม่มีความแค้น มีเพียง…รัก

 

 

เมื่อพวกเขาเดินไปไม่กี่ก้าว

 

 

จิ่วหุนพลันปรากฏอยู่ด้านข้าง ยามเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเดินผ่าน เขาเอ่ยเสียงเบา “ท่านห้ามรังแกพี่สาวข้า ไม่เช่นนั้นข้าจะสับท่านซะ”

 

 

เยี่ยเม่ยหวนคิดขึ้นมาได้

 

 

ผู้คนล้วนบอกว่า ยามลูกสาวแต่งงาน มักไม่อยากจากบ้านไป พวกนางก็จะร้องไห้ หากบอกว่านางไม่อยากจากใครไป ก็สมควรเป็นจิ่วหุนแล้ว แต่ว่ายังดีที่ต่อให้นางแต่งกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน จิ่วหุนก็ยังอยู่ข้างกายนางเหมือนเดิม

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้วก็ปรายตามองเขา

 

 

ทว่าเห็นจิ่วหุนจ้องมองเยี่ยเม่ย ในสายตานั้นไม่มีความอิจฉา ไม่มีความไม่ยินยอม มีเพียงความเป็นห่วง เป็นกังวลจากใจจริงว่าหลังจากแต่งงานแล้วนางจะมีชีวิตอยู่ไม่เป็นสุข

 

 

เขาชะงักไปเล็กน้อย เอ่ยว่า “เจ้าวางใจ เยี่ยนขอรับรองต่อเจ้า ตั้งแต่บัดนี้ไปมีแต่นางรังแกผู้อื่น ไม่มีใครรังแกนางได้”

 

 

คนทั้งหมด “…” ถือว่าพวกเราตายไปหมดแล้วหรือยังไง

 

 

อย่ารังแกพวกเขาจะได้ไหม ?!

 

 

หางตาเยี่ยเม่ยกระตุก รู้สึกลึกๆ ว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนพูดไม่เก่งนัก คนที่ไม่รู้ความฟังเข้าพานจะหลงคิดว่านางเป็นพวกปีศาจที่ชอบรังแกคนเพื่อหาความสุข

 

 

คิดไม่ถึงว่าจิ่วหุนได้ยินแล้วกลับคลายใจลง พยักหน้าถอยไปด้านข้าง เอ่ยว่า “ข้าจะเชื่อใจท่านสักครั้งหนึ่ง เพียงครั้งเดียวเท่านั้น”

 

 

คนทั้งหมด “…!” นี่เท่ากับยอมรับเงียบๆ ว่าพวกเขาต้องถูกรังแกแล้ว? พวกท่านอย่าทำแบบนี้ พวกท่านช่วยใส่ใจความรู้สึกและความเป็นตายของผู้ชม ตัวประกอบอย่างพวกเราบ้างจะได้ไหม!

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังความหมายในคำพูดเขาออก เพียงครั้งเดียวเท่านั้นก็หมายความว่า เขามีโอกาสแต่งงานกับเยี่ยเม่ยเพียงครั้งเดียว หากเขารังแกนาง จิ่วหุนย่อมไม่มีทางยืนชมอยู่เฉยๆ

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหัวเราะเบาๆ ตอบจริงจังว่า “โอกาส มีครั้งเดียวก็พอแล้ว”

 

 

เพราะว่าเขาคว้าโอกาสไว้ จะไม่ปล่อยไปอีก

 

 

เยี่ยเม่ยฟังบทสนทนาของพวกเขา ขณะนั้นก็รู้สึกถึงสิ่งที่ท่วมท้นอยู่ในใจ ความรู้สึกแบบนี้น่าจะเรียกความสุขใช่ไหม มีสามีรักโปรดปราน มีน้องชายเป็นห่วง หากไม่มีความแค้น ทุกอย่างคงดีพร้อมไม่น้อยเลย

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนจูงมือนางเดินหน้าต่อไป

 

 

บรรดาคนที่อยู่ข้างๆ เริ่มสนใจจิ่วหุน รู้สึกว่าคุณชายผู้นี้หน้าตาหล่อเหลา ยืนอยู่ข้างองค์ชายสี่ก็ไม่อับประกายเลยสักน้อย ไม่รู้ว่าเป็นคุณชายบ้านใดกัน มีความสัมพันธ์ใดกับพระชายาองค์ชายสี่

 

 

พิธีแต่งงานดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น

 

 

มู่หรงเหยาฉืออยู่ในฝูงชน ชมดูด้วยความคั่งแค้น วันนั้นนางเชื่อฟังคำพูดของพี่เซี่ย เขียนจดหมายให้องค์ชายสี่ฉบับหนึ่ง บอกว่าตัวเองไม่ทันระวังถูกเข้าใจผิดแล้ว จากนั้นองค์ชายสี่หาได้ซักไซ้เอาความ สร้างความลำบากให้นาง

 

 

แต่ว่าเมื่อนางสงบเสงี่ยมอยู่หลายวัน สุดท้ายพบว่าสิ่งที่รอคอยอยู่ก็คืองานแต่งของพวกเขาสองคน

 

 

มู่หรงเหยาฉือกำหมัดแน่น

 

 

ไฉ่ซังมองนาง ปลอบว่า “ท่านหญิง ไม่สู้พวกเรากลับก่อนไหมเจ้าคะ ท่านเห็นภาพนี้แล้วรังแต่จะปวดใจมากขึ้น!”

 

 

“กลับไป?” มู่หรงเหยาฉือปรายตามองนาง แค่นเสียงเย็น เอ่ยปากว่า “กลับไปเพื่อหลอกตัวเองหรือ กลับไปแล้วก็ทำเหมือนว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นได้หรือ ข้าไม่กลับ! ข้าจะดูว่าวันนี้เยี่ยเม่ยเบิกบานใจแค่ไหน ภายหน้าข้าจะทำให้นางตายอย่างน่าอนาถมากกว่านั้น!”

 

 

ไฉ่ซังมุมปากกระตุกเล็กน้อย

 

 

อันที่จริงนางอยากว่า ผู้อื่นวันนี้จะยินดีหรือไม่ยินดี ท่านมองไม่เห็นทั้งนั้นได้หรือเปล่า บนศีรษะของผู้อื่นมีผ้าแดงคลุมอยู่ท่านมองเห็นอันใดเล่า ท่านคิดไปเองทั้งนั้น ไม่รู้ว่าทำไมท่านถึงรั้งรออยู่นี่เพื่อหาเรื่องทรมานตน

 

 

แต่ว่าคำพูดนี้นางไม่กล้าเอ่ยออกไป หลังจากเอ่ยไปแล้วองค์หญิงคงฆ่านางแน่

 

 

มู่หรงเหยาฉือครุ่นคิด กำหมัดแน่น เอ่ยว่า “ไม่ได้! ข้าต้องไม่ยอมให้พวกเขาแต่งงานกันอย่างราบรื่น!”

 

 

พูดแล้วมู่หรงเหยาฉือก็หมุนจากเดินไป

 

 

ไฉ่ซังรีบเอ่ยว่า “แต่ท่านหญิง ท่านหญิงเซี่ยบอกว่าให้ท่านหนักแน่นไว้ อย่าได้ผลีผลามทำอะไรพลการ อีกทั้งท่านหญิงเซี่ยยังเตือนว่า งานแต่งงานวันนี้องค์ชายสี่มีความสุขมาก หากท่านก่อเรื่องในงานแต่งของเขา องค์ชายสี่ต้องสังหารท่านแน่นอน!”

 

 

“นี่…” มู่หรงเหยาฉือชะงักฝีเท้า ในใจลนลาน

 

 

นิสัยของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน มู่หรงเหยาฉือรู้ดี ความจริงคำพูดนี้ไม่ผิดเลย หากวันนี้นางก่อเรื่องขึ้น คงต้องตายอย่างไร้ดินกลบแน่

 

 

เวลานี้

 

 

เสียงของสตรีนางหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลัง “หากวันนี้เจ้าไม่อาจสงบใจได้ เจ้าคงต้องตายโดยมิต้องสงสัยแล้ว! ใครต่างก็รู้ดีว่าเป่ยเฉินเยี่ยนให้ความสำคัญกับงานแต่งวันนี้แค่ไหน วันนี้ไม่ว่าใครเป็นคนก่อกวนงานแต่ง คนที่เกี่ยวข้องล้วนไม่อาจมีชีวิตรอด หากเจ้ายังอยากอยู่กับเขา วันนี้เจ้าก็ต้องทนให้ได้!”

 

 

มู่หรงเหยาฉือหันไปมองคนผู้นั้น ก็ร้องไห้ออกมาทันที “พี่เซี่ย ข้ารู้ท่านต้องไม่ทอดทิ้งไม่สนใจข้าแน่! แต่ว่า ข้าจะทนได้อย่างไร ข้าทนมาหลายวันแล้ว ผลคือพวกเขากำลังจะแต่งงานกัน ข้า…ข้าเห็นพวกเขาแต่งงานกัน รู้สึกเจ็บปวดใจเหลือเกิน!”

 

 

“อย่างนั้นเจ้าก็ไม่ต้องดู ไม่มองเสียยังสงบใจกว่า!”