ตอนที่ 54 องค์ชายสี่คือตัวอย่างแบบผิดๆ ของบุรุษในเมืองหลวง!

เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า]

เซี่ยชูมั่วเอ่ยออกมาพลางกุมมือมู่หรงเหยาฉือ ปลอบโยนนางว่า “พี่ยังจะหลอกเจ้าหรือ รอพวกเขาแต่งงานแล้ว เยี่ยเม่ยค่อยคลายความระแวง องค์ชายสี่สมปรารถนาแล้วก็ไม่สนใจในตัวเยี่ยเม่ยอีก ถึงเวลานั้นก็เป็นโอกาสทองของเจ้า!”

 

 

“เป็นเช่นนี้จริงหรือ” มู่หรงเหยาฉือมองเซี่ยชูมั่ว

 

 

เซี่ยชูมั่วพยักหน้าจริงจัง “เป็นเช่นนี้จริง! หลายปีมานี้ข้าเคยหลอกเจ้าหรือ”

 

 

เมื่อนางเอ่ยมู่หรงเหยาฉือก็พยักหน้าวางใจทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ฟังคำพูดของท่านพี่ งั้นข้าขอตัวกลับก่อน ข้าไม่ตามไปที่จวนองค์ชายสี่ หลังจากเห็นแล้วก็จะมีเรื่องปวดใจขึ้นอีก!”

 

 

“อืม !” เซี่ยชูมั่วพยักหน้า

 

 

มู่หรงเหยาฉือปาดน้ำตาจากไปพร้อมกับไฉ่ซัง

 

 

ไฉ่ซังอดไม่ไหว กล่าวกับเซี่ยชูมั่ว “คุณหนูเซี่ย ยามนี้มีแต่ท่านที่เกลี้ยกล่อมคุณหนูได้แล้ว เรื่องในวันนี้ขอบคุณท่านจริงๆ !”

 

 

“ไม่ต้องเกรงใจ” เซี่ยชูมั่วยิ้ม

 

 

หลังจากสองนายบ่าวจากไป เหมี่ยวเจินมองเซี่ยชูมั่ว เอ่ยว่า “ท่านหญิง ท่านคิดเช่นนี้จริงหรือ”

 

 

เซี่ยชูมั่วจับปอยผม เอ่ยเบาๆ “ไม่มีทางปล่อยให้ตัวโง่งมทำลายงานแต่งนี้ ถึงข้าเกลียดเยี่ยเม่ยมาก หวังว่าให้เกิดเรื่องในงานแต่งนาง แต่ว่า…ความจริง วันนี้นางแต่งให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนอย่างราบรื่น ภายหน้าข้าก็ไม่ต้องกังวล ว่านางจะมีความสัมพันธ์ใดๆ กับอี้อ๋องแล้ว!”

 

 

เหมี่ยวเจินก้มหน้ายิ้มออกมาทันที เอ่ยว่า “มู่หรงเหยาฉือช่างโง่งมนัก ไม่รู้ว่าถึงพวกท่านจะเกลียดเยี่ยเม่ย แต่จุดยืนของท่านกับนางไม่มีทางเหมือนกันได้!”

 

 

เยี่ยเม่ยแต่งงานกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ก็ไม่อาจแต่งกับเป่ยเฉินอี้ได้แล้ว เรื่องนี้สำหรับท่านหญิงของพวกนาง ถือเป็นเรื่องดีอย่างยิ่ง จะปล่อยให้มู่หรงเหยาฉือทำลายได้อย่างไรเล่า

 

 

เมื่อคิดถึงจุดนี้เหมี่ยวเจินยังเอ่ยต่อ “ที่น่าขันคือจนถึงบัดนี้ มู่หรงเหยาฉือยังเชื่อท่าน หากนางรู้ความคิดของท่าน ไม่แน่อาจจะโมโหจนตายก็ได้!”

 

 

เซี่ยชูมั่วหัวเราะ “เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าทำร้ายนางอย่างเดียวที่ไหน ความจริงคำพูดเมื่อครู่ของข้าไม่มีคำลวงเลย ถึงข้ามีความเห็นแก่ตัวที่อยากให้เยี่ยเม่ยแต่งกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน แต่ด้วยนิสัยขององค์ชายสี่ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ หากมู่หรงเหยาฉือไปทำลายงานแต่ง นางต้องตายโดยมิต้องสงสัย! ข้าไม่อยากสูญเสียพันธมิตรไป !”

 

 

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง ท่านหญิงช่างมองการณ์ไกลนัก” เหมี่ยวเจินเอ่ยชม

 

 

เซี่ยชูมั่วกลับมองเหมี่ยวเจิน หัวเราะเบาๆ เอ่ย “ที่เก็บเจ้ากลับมาปีนั้น ช่างเป็นการตัดสินใจอย่างชาญฉลาดนัก หลายปีมานี้เจ้าช่วยข้าเอาไว้มาก”

 

 

หลายปีมานี้ยามเซี่ยชูมั่วเผชิญกับอุปสรรค เหมี่ยวเจินเอ่ยแค่สองสามประโยค ก็ช่วยคลี่คลายได้ ทำให้เซี่ยชูมั่วรู้ว่าตนควรจัดการอย่างไร ถึงเซี่ยชูมั่วจะเป็นคนคิดหาหนทางเอง แต่ทุกครั้งล้วนเป็นคำแนะนำโดยไม่ตั้งใจของเหมี่ยวเจิน จุดนี้เซี่ยชูมั่วย่อมตระหนักได้

 

 

เหมี่ยวเจินก้มหน้าอย่างถ่อมตน “ท่านหญิงชมไปแล้ว เป็นท่านหญิงที่ฉลาด บ่าวก็แค่บังเอิญคาดเดาความคิดของท่านหญิงได้ก็เท่านั้น!”

 

 

เซี่ยชูมั่วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ไม่พูดมากอีก เพียงเอ่ยประโยคหนึ่งว่า “ปรนนิบัติข้าให้ดี ผลประโยชน์จะตกกับเจ้าไม่น้อย!”

 

 

จากนั้นนางก็หมุนกายจากไป

 

 

“ขอบคุณท่านหญิง” เหมี่ยวเจินพยักหน้าขอบคุณ มองแผ่นหลังเซี่ยชูมั่วมุมปากก็ยกยิ้มร้าย

 

 

……

 

 

เสียงกลองดังไปทั่วท้องถนนระยะหนึ่ง เนื่องจากจวนองค์ชายสี่อยู่ห่างจากจวนแม่ทัพใหญ่ไม่มาก เป็นระยะทางห้าร้อยกว่าเมตรเท่านั้น เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเองจงใจให้คนทั้งหลาย รวมถึงศัตรูหัวใจในเมืองหลวงเป็นพยานในงานแต่งงานของพวกเขา จึงไม่เตรียมเกี้ยว

 

 

เขาเดินจูงมือเยี่ยเม่ยไปจนถึงจวนองค์ชายสี่

 

 

ในโรงเตี๊ยมที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากจวนองค์ชายสี่ กูเยว่อู๋เหินยืนเอามือไพล่หลังอยู่บนหลังคาโรงเตี๊ยม มองฉากครึกครื้นเบื้องล่าง

 

 

ส่วนที่น่าสนใจก็คือหลังคาของอีกเรือนหนึ่งมีเป่ยเฉินอี้ยืนอยู่

 

 

หลังจากบุรุษทั้งสองแลกสายตากันแล้ว ต่างก็ถอนสายตากลับจ้องมองบ่าวสาวสวมชุดมงคลด้านล่างคู่นั้น

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนในชุดสีแดงดูดีเป็นพิเศษ

 

 

กลิ่นอายมารที่อยู่ติดตัวบนร่างเขา ในอาภรณ์สีแดงยิ่งชวนให้คนลุ่มหลง เขายังคงเป็นเหมือนเคย เมื่อสายตากวาดมองไปนั่นคือภัยพิบัติก่อเกิดแผ่นดินลุกไหม้เป็นไฟ

 

 

สตรีจำนวนไม่น้อยที่ห้อมล้อมอยู่แทบอยากพุ่งเขาไปดึงมือเยี่ยเม่ยออก แล้วสอดมือของตนเข้าสู่ฝ่ามือขององค์ชายสี่แทน

 

 

ส่วนเยี่ยเม่ย

 

 

ถึงมีผ้าคลุมสีแดงปิดหน้า คนไม่อาจเห็นรูปโฉมของนางแต่ความสง่างามเย็นชา เหมือนกิ่งเหมยที่ตระหง่านอยู่กลางต้นฤดูวสันต์ไม่ร่วงโรย งดงามไร้ที่เปรียบ

 

 

ภาพงดงามชั้นสูงนี้ ทำให้ผู้สัญจรไปมาคิดว่าคนทั้งสองช่างเหมาะสมกันยิ่งนัก

 

 

เมื่อถึงหน้าประตูจวนองค์ชายสี่ มีคนตระเตรียมกระถางไฟไว้คอยท่าอยู่ก่อนแล้ว แม่สื่อเอ่ยปากร้องว่า “ข้ามกระถางไฟ งานแต่งสุขสมหวัง เจริญรุ่งเรือง!”

 

 

การข้ามกระถางไฟนี้ เป็นสิ่งจำเป็นในราชสำนักเป่ยเฉิน

 

 

ไม่ว่าจะเป็นภรรยาเอกหรืออนุภรรยา นั่นมีความหมายว่างานแต่งงานสุขสมหวัง หลังแต่งไปแล้ว คนทั้งสองปรองดองหวานชื่น แต่ว่าอีกมุมมองหนึ่งก็คือ เพื่อเป็นการข่มขู่สะใภ้ที่กำลังจะแต่งเข้ามา ให้นางรู้ว่าหลังจากแต่งมาแล้วก็เป็นคนของสามี เห็นสามีเป็นใหญ่ สามีเป็นดั่งผืนฟ้า

 

 

ก่อนเยี่ยเม่ยแต่งงาน ฟังเรื่องเหล่านี้จากซือหม่าหรุ่ย แต่ว่าก็แค่พิธีการเท่านั้น ดังนั้นนางจึงไม่ใส่ใจ

 

 

ขณะกำลังยกขาเพื่อก้าวข้ามไป

 

 

คิดไม่ถึงว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับกุมมือนางแน่น ผลักนางไปข้างๆ สองสามีภรรยาเดินเข้าไปด้านใน ส่วนกระถางไฟนี้…

 

 

องค์ชายสี่…ข้ามไปแล้ว

 

 

ข้ามแล้ว ข้ามแล้ว…

 

 

นี่…

 

 

คนทั้งหมดอยู่ในอารามตกตะลึง มองเห็นกับตาว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนข้ามกระถางไฟด้วยตัวเอง พาเยี่ยเม่ยเข้าจวนไปพร้อมกัน

 

 

อารมณ์ของบุรุษทั้งหลายคล้ายกับกินแมลงวันลงไปทั้งฝูง

 

 

สรุปแล้วใครแต่งกับใครกันแน่ ไม่ใช่ผู้หญิงเป็นฝ่ายข้ามกระถางไฟหรือ ทำไมองค์ชายสี่ถึงข้ามเองเล่า นี่มันอะไรกันเนี่ย ฝันไปแน่ๆ! ต่อไปลูกของพวกเขาจะใช้แซ่อะไร แซ่เป่ยเฉินหรือแซ่…ป๋ายกันแน่? ได้ยินมาว่าเยี่ยเม่ยแซ่ป๋ายนี่!

 

 

แม่สื่อก็ตกใจเช่นกัน แต่ไรมาไม่เคยพบเจอคนไม่ทำตามกฎมาก่อน

 

 

เยี่ยเม่ยเองก็ตะลึงไป นางอึ้งไปบ้าง เอ่ยเบาๆ ว่า “ก็แค่พิธีการเท่านั้น ความจริงท่านไม่ต้อง…”

 

 

ไม่รอให้นางพูดจบ เขาก็ค่อยๆ ยิ้มเอ่ยว่า “กระถางไฟนี้จำเป็นต้องข้าม งานแต่งถึงสุขสมหวัง แต่เยี่ยนไม่อาจเอาเปรียบเจ้าได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เยี่ยนเป็นคนข้ามกระถางไฟนี้ไม่มีอะไรไม่เหมาะสม”

 

 

อวี้เหว่ย “…” ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งได้ไหม ท่านกำลังเป็นตัวอย่างแบบผิดๆ ให้บุรุษทั่วเมืองหลวง!

 

 

ต่อไปคงไม่มีสามีเป็นใหญ่ แล้วจะสั่งสอนอบรมภรรยาอย่างไร!

 

 

นี่ไม่ใช่เสียงในใจของอวี้เหว่ยเท่านั้น ทั้งเป็นเสียงในใจของบุรุษทั้งหลาย

 

 

เหล่าสตรีต่างมองแล้วหัวใจเต้นตุบตับ ต่างหันไปมองสามีที่อยู่ข้างกายด้วยสายตาไม่พอใจ คล้ายกำลังมองสิ่งของที่ยากจะอดทนได้อีกต่อไป