น้ำเสียงของชายคนนั้นช่างเยือกเย็นและสงบเงียบแบบสุดๆ แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งความดังและความเข้มแข็ง! ภายในห้องทำงานของอาจารย์ใหญ่เงียบลงทันที 

 

 

คุณนายเจี่ยนพูดพึมพำชื่อของเขากับตัวเองสองครั้งแล้วสีหน้าของหล่อนก็เปลี่ยนไป 

 

 

อาจารย์ใหญ่นิ่งอึ้งไม่ขยับไปไหน เช่นเดียวกับใบหน้าที่มีริ้วรอยของเขาก็ปกคลุมไปด้วยความอัศจรรย์ใจ ทำให้เขาดูตลกและน่าขัน 

 

 

“’ งั้น… งั้นคุณก็คือคุณอันใช่ไหม พวกเธอยังเด็กอยู่ ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวว่าทำอะไรลงไปหรอกค่า ขอโทษที่ทำให้คุณต้องลำบากด้วยนะคะ” คุณนายเจี่ยนโปรยยิ้มก่อนเดินมาหาทั้งสอง หล่อนอุตส่าห์พยายามเข้ามาจับแขนอันซย่าซย่าแสร้งทำเป็นรักใคร่เอ็นดู “หนูอัน ฉันขอโทษด้วยนะจ๊ะ ซินเอ๋อร์เป็นเด็กโง่เขลา เอาเป็นว่าพวกเราหลับตาข้างหนึ่งแล้วก็ยุติเรื่องนี้กันดีไหม” 

 

 

อันซย่าซย่าดึงแขนของเธอคืนด้วยท่าทีรังเกียจก่อนจะอ้อมไปหลบหลังอันอี้เป่ยอย่างระแวดระวัง 

 

 

เจี่ยนซินเอ๋อร์ดูเหมือนจะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ควรหยุด หล่อนจึงร้องแหวอย่างอวดดี “คุณแม่! จะบ้าเหรอ! เรื่องอะไรถึงไปขอโทษนังอันซย่าซย่า! ไล่มันออกไปสิ!” 

 

 

คุณนายเจี่ยนโกรธมากเสียจนถ้าไม่มีคนอื่นๆ อยู่ในห้องนี้แล้วละก็ หล่อนคงตบหน้าลูกสาวไปแล้ว แต่เนื่องจากหล่อนไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ จึงได้แต่ลดเสียงลงตวาดลูกสาวตัวดี “หุบปาก! แล้วอยู่เฉยๆ!” 

 

 

อันอี้เป่ยเป็นใครกันแน่! เขาเป็นคนที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ก็เหมือนจะเคยได้ยินชื่ออยู่บ้าง 

 

 

มีสำนักกฎหมายแห่งหนึ่งในเมืองอวี้ที่สามารถปิดทุกคดีที่พวกเขารับว่าความ ไม่ว่าจะคดีเล็กหรือใหญ่ต่างก็ปิดได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทนายของพวกเขาทุกคนล้วนแล้วแต่มีความสามารถแบบหาตัวจับยาก 

 

 

ท่ามกลางพวกนั้นมีทนายชั้นยอดคนหนึ่ง ตามสถิติที่ถูกบันทึกไว้ ในทุกๆ คดีที่อยู่ในมือเขานั้นมีอัตราการชนะคดีคือหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม! 

 

 

คุณนายเจี่ยนอดไม่ได้ที่จะคิดหวาดเกรงบุคคลที่น่ากลัวผู้นี้ 

 

 

รอยยิ้มของอันอี้เป่ยช่างคมกริบขณะที่เขาเอ่ยถาม “คุณเจี่ยน บอกหน่อยสิว่า น้องสาวของผมเป็นคนสร้างบาดแผลบนแขนของคุณจริงหรือไม่” 

 

 

เจี่ยนซินเอ๋อร์ตอบอย่างมั่นอกมั่นใจ “แน่นอน!” 

 

 

อันอี้เป่ยหันมามองที่อันซย่าซย่า “ซย่าซย่า ถ้าน้องไม่ได้ทำ นี่จะเป็นหลักฐานว่าหล่อนพูดให้ร้ายน้อง แต่ถ้าหากน้องทำจริงๆ พี่ก็คงพูดได้แค่ว่า ทำดีมาก” 

 

 

“คุณ!” รอยยิ้มคุณนายเจี่ยนหายวับไป หล่อนจ้องเขม็งมาที่อันอี้เป่ย 

 

 

อันอี้เป่ยไม่ได้ดูเหมือนจะไม่ได้สังเกตว่าคำพูดของเขาท้าทายอีกฝ่ายเช่นไร เขายื่นมือออกไปตบศีรษะอันซย่าซย่าเบาๆ “ยังไงเสีย ก็เป็นแค่การป้องกันตัวเอง ต่อให้เราต้องไปจบลงที่ศาล พี่ก็ยังปกป้องน้องได้ ในข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการหมิ่นประมาทและทำร้ายผู้อื่น ไว้เรามารอดูกันนะ อ้อ…จริงสิ การให้การเท็จก็ถือว่าเป็นความผิดด้วย…” 

 

 

ก่อนที่เขาจะทันได้พูดจบ ขาติงอีอีก็อ่อนแรง ล้มพับลงกับพื้นด้วยเสียงดังตุ้บ 

 

 

“ฉัน… ฉันไม่ได้ให้การเท็จนะ…” หล่อนหน้าซีดปากสั่นด้วยความกลัว 

 

 

อันอี้เป่ยเหลือบมองหล่อนอย่างเ**้ยมเกรียม “อย่างนั้นก็บอกมาว่าคุณเจี่ยนได้รับบาดแผลได้ยังไง!” 

 

 

ติงอีอีหวาดกลัวจนตัวสั่นเพราะแววตาที่แข็งกร้าวของเขาจนแทบร้องไห้ หล่อนโพล่งออกมา “มัน… มันไม่ใช่ฝีมืออันซย่าซย่าหรอก ซะ ซินเอ๋อร์ทำตัวเอง เธอถึงกับบังคับให้ฉันแกล้งเป็นพยานให้ด้วย! ฉันไม่อยากให้การเท็จค่ะ ฉันไม่อยากติดคุก…” 

 

 

“ติงอีอี ยัยโง่!” เจี่ยนซินเอ๋อร์กรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง 

 

 

คุณนายเจี่ยนดึงตัวหล่อนไว้ในทันที สีหน้าหล่อนดูหวั่นกลัว 

 

 

อันอี้เป่ยสังเกตดูฉากในละครตรงหน้าโดยสงบก่อนจะจับมืออันซย่าซย่า “ไปกันเถอะ เรายังมีเอกสารแจ้งขอลาออกที่ต้องจัดการ ระหว่างนั้นพี่จะเตรียมจดหมายจากสำนักงานทนายความเพื่อส่งให้กับโรงเรียน!” 

 

 

ก่อนที่ทั้งสองจะก้าวออกจากห้องทำงาน อาจารย์ใหญ่ผู้เหงื่อกาฬแตกก็รีบวิ่งมาหา พยายามจะดึงบรรยากาศความเป็นทางการกลับคืนมา “เป็นการเข้าใจผิดน่ะครับ… มันก็แค่เรื่องเข้าใจผิดกันนิดหน่อยเท่านั้นเอง คุณอันครับ กรุณาใจเย็นลงก่อน เรามาพูดคุยเรื่องนี้อย่างคนที่เจริญแล้ว…” 

 

 

อันซย่าซย่ามองไปที่สีหน้าเจ้าเล่ห์ของอาจารย์ใหญ่ อดกลั้นอาเจียนแทบไม่ไหว หญิงสาวจึงวิ่งออกจากห้องอาจารย์ใหญ่ตามลำพัง 

 

 

ภายนอกห้อง ร่างสูงเพรียวหล่อเหลาร่างหนึ่งยืนพิงกำแพงอยู่ เขาเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นให้เธอ 

 

 

“พี่ชายของเธอนี่น่าประทับใจกว่าที่เขาลือกันอีกนะ” 

 

 

“เซิ่งอี่เจ๋อ… ทำไมมาอยู่ที่นี่ล่ะ” อันซย่าซย่าจ้องมองเขา ตาเบิกกว้าง