ตอนที่ 71 ปีศาจใต้เงาจันทร์ (2)

ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ

ไป๋หลี่ชูคลึงจอกกระเบื้องเคลือบสีขาวในมือ เอ่ยช้าๆ ว่า “เจ้ากำลังกล่าวโทษข้าหรือ”

 

 

ติ้งอ๋องสีหน้าเย็นเยียบ “กระหม่อมมิบังอาจ แต่ทรงลืมสัญญาระหว่างฝ่าบาทกับกระหม่อมแล้วหรือ กระหม่อมบริสุทธิ์ใจต่อพระองค์นะพ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ถอนหายใจ ที่แท้มีมือที่สามนี่เอง ติ้งอ๋องได้รับความไม่เป็นธรรมจริงๆ

 

 

ไป๋หลี่ชูหัวเราะเบาๆ คิ้วตาฉายแววเย็นเยียบวูบหนึ่ง “น้องสาม เจ้าบริสุทธิ์ใจต่อข้า การลงมือกับบุตรอนุสกุลชิวในงานประลองสัตว์ ก็เพราะจริงใจต่อข้า ดังนั้นจึงคิดสอดแนมว่าเกิดอะไรขึ้นในอุโมงค์ใต้ดินนั่น หรือเพียงเพราะแค่อยากระบายโทสะ หืม?”

 

 

ได้ยินว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับตนเอง ชิวเยี่ยไป๋พลันตื่นตัว เงี่ยหูฟังอย่างใจจดใจจ่อ

 

 

ติ้งอ๋องมองซีกหน้าของไป๋หลี่ชูที่อยู่ในเงามืดไม่ชัดนัก ได้แต่ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “กระหม่อมมิได้ลงมือกับนายน้อยสี่สกุลชิวผู้นั้น เพียงแต่บีบให้เขาลงสนาม ทางด้านเฉินโหวกับเสนาบดีอู๋ กระหม่อมย่อมต้องไว้หน้าพวกเขาและต้องมีคำอธิบายให้บ้าง”

 

 

“ที่ให้พวกมันยิงธนูใส่นายน้อยสี่สกุลชิวตอนผ่านทางมิใช่คำสั่งน้องเราหรอกหรือ ภายหลังยังถูกตระกูลของผู้เสียหายลากลงน้ำด้วย เจ้าก็ไม่ทุกข์ร้อน” ไป๋หลี่ชูยิ้มหยัน เอื้อมมือไปยังถาดหยกข้างกาย หยิบขนมแป้งสีทองชิ้นหนึ่งใส่ปากช้าๆ

 

 

ที่ใดมีไป๋หลี่ชู ย่อมต้องมีอาหารชั้นเลิศเสมอ

 

 

ติ้งอ๋องสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย แม้จะรู้มานานแล้วว่า ต่อหน้าดวงตางามชั่วร้ายที่ดูพิกลนี้ เหมือนจะไม่อาจปิดบังสิ่งใดได้

 

 

ทว่าความรู้สึกที่ถูกผู้อื่นจับได้ไล่ทันเช่นนี้ช่างน่าอึดอัดนัก ติ้งอ๋องจึงหลุบตาลง เอ่ยเสียงขรึมว่า “กระหม่อมเห็นว่าคนผู้นี้อยู่ในอุโมงค์กับฝ่าบาทนานทีเดียว เป็นผู้มีวรยุทธ์สูงแต่ซ่อนเร้นมิแสดงออก เกรงว่าอาจมีเจตนาไม่ซื่อ หมายปองร้ายฝ่าบาท จึงได้วางแผนทดสอบดู ส่วนเรื่องอื่นๆ หาใช่ฝีมือกระหม่อม”

 

 

นี่เป็นคำกล่าวยืนยันโดยไม่พิสูจน์ความบริสุทธิ์

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ขบคิดตามถ้อยคำที่ได้ยิน ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง ดูทีว่าเรื่องบนเขาชิวซานก็เป็นฝีมือของคนเหล่านั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นการระบายโทสะใส่นาง การพัวพันกับฝ่าบาทชูผู้นี้แม้เพียงน้อยนิด มีแต่นำเรื่องเดือดร้อนมาให้

 

 

“น้องสาม” ไป๋หลี่ชูพลันลุกขึ้น ติ้งอ๋องถึงกับถอยไปก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัว ทว่าอากัปกิริยาที่คล้ายตนเป็นฝ่ายอ่อนด้อยกว่านี้ทำเอาติ้งอ๋องชะงักไป ครั้นสบตากับดวงตาดำสนิทไร้แววของสิ่งมีชีวิต เขาก็เบือนหน้าหนีอย่างกระอักกระอ่วน

 

 

ไป๋หลี่ชูถอนหายใจเบาๆ “เจ้ากลัวข้าหรือ”

 

 

ติ้งอ๋องไม่ตอบ เพียงกระตุกมุมปากอย่างแข็งขืน

 

 

“ไม่ต้องกลัว น้องสาม” น้ำเสียงแหบเอ่ยกลั้วหัวเราะอย่างอ่อนโยน

 

 

เขาปัดอกเสื้อให้ติ้งอ๋องอย่างสนิทชิดเชื้อ ถึงขั้นลูบรอยยับบนเสื้อให้เรียบอย่างใส่ใจ กิริยานั้นช่างอบอุ่น อบอุ่นจนทำให้ติ้งอ๋องและชิวเยี่ยไป๋ที่แอบดูอยู่ถึงกับขนลุก

 

 

“ข้ารับปากช่วยเจ้าขึ้นครองบัลลังก์ได้ ก็ย่อมหนุนผู้อื่นได้เช่นกัน โอรสในจักรพรรดินีแห่งเทียนจี๋มีสามคน สตรีที่ให้กำเนิดเจ้าเป็นเพียงผู้เสกสมรสกับพระบิดาในภายหลังเท่านั้น ตลอดชีวิตข้าไม่มีสิ่งใดที่ชื่นชอบเป็นพิเศษ เว้นก็แต่ชอบดูสุนัขกัดกัน ดังนั้นน้องเราคงต้องต่อสู้เยี่ยงสุนัข เปิดฉากฟาดฟันกัดกันจนนองเลือด”

 

 

เขาหยุดลงแล้วถอนหายใจเบาๆ “อย่าทำให้ข้าผิดหวัง หืม?”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋อดถอนใจมิได้ ให้ตาย จิตวิปริตชัดๆ!

 

 

นางไม่เห็นสีหน้าของติ้งอ๋อง เห็นเขาก้มหน้าลง สองไหล่สั่นน้อยๆ ทว่าเพียงครู่เดียวเสียงติ้งอ๋องก็ดังขึ้น “พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ไม่โอดครวญ ไม่ขุ่นเคือง นิ่งสงบเป็นปกติ

 

 

ดูเหมือนไป๋หลี่ชูจะพอใจมาก จึงปัดฝุ่นบนไหล่ให้เขา “ข้าจะไปรอน้องชายร่วมสำราญกันที่ตำหนักหน้า” กล่าวจบก็หันกายจากไป

 

 

พอไป๋หลี่ชูไปแล้ว อากาศที่เย็นเยือกและแรงกดดันประหลาดในห้องดูเหมือนจะสลายไปไม่น้อย แม้แต่ชิวเยี่ยไป๋ก็ยังหายใจหายคอคล่องขึ้น เวลานี้เพียงรอให้ติ้งอ๋องออกไป นางจะได้รีบออกจากที่นี่เสียที

 

 

นางรู้สึกว่าการอยู่ในห้องที่มีกลิ่นอายของคนวิปริตเช่นไป๋หลี่ชูนานๆ ทำให้รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง

 

 

ติ้งอ๋องกลับยืนนิ่งอยู่นาน ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ ผ่านไปหนึ่งเค่อ ชิวเยี่ยไป๋อดพึมพำในใจมิได้ ดูท่าคนผู้นี้คงตกอยู่ในกำมือของไป๋หลี่ชูนานแล้ว มิใช่ว่ากำลังคิดไม่ตกหรอกนะ

 

 

ทว่ากลับได้ยินติ้งอ๋องเอ่ยเสียงเย็น “ออกมา!”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ตกใจแต่ไม่ขยับ นางเชื่อว่าพลังฝีมือของตนสูงล้ำกว่าติ้งอ๋องมาก ย่อมไม่มีทางถูกเขาพบพิรุธ

 

 

ติ้งอ๋องตวาดอีกครั้งอย่างเริ่มหมดความอดทน “ออกมา!”

 

 

ขณะที่ชิวเยี่ยไป๋กำลังลังเล ติ้งอ๋องกลับมองออกไปท่ามกลางแสงจันทร์นอกประตู เอ่ยอย่างหยามหยันว่า “ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร ข้าเองก็ไม่รู้ว่าฝ่าบาทเซ่อกั๋วมาเล่นละครที่นี่ด้วยเหตุใด แต่ในเมื่อเจ้าได้ยินได้เห็นสิ่งที่ไม่ควรเข้าแล้วยังรอดชีวิตอยู่ได้ ย่อมแสดงว่าเขามีเจตนาให้เป็นเช่นนี้ ในเมื่อเขาต้องตาเจ้าแล้ว เจ้าก็…ทำตัวให้ดีเถิด”

 

 

คำพูดสุดท้ายคล้ายมีแววเยาะหยันตนเอง

 

 

กล่าวจบ เขาก็ออกจากห้องไป ก่อนออกจากประตูยังคล้ายพึมพำกับตนเองว่า “ถูกคนผู้นั้นต้องตาเข้า มิสู้ตายเสียยังดีกว่า”

 

 

ประตูปิดลง ภายในห้องเหลือเพียงความเงียบสงัดมืดมิด

 

 

ผ่านไปหนึ่งเค่อ ร่างสีดำก็ร่อนลงบนพื้นอย่างเงียบกริบราวกับใบไม้

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ลงมาที่พื้น ทว่าไม่มีความรู้สึกอยากชมความครึกครื้นเหมือนเมื่อครู่อีกแล้ว สีหน้าเย็นเยียบเล็กน้อย

 

 

ในเมื่อคนฝีมือด้อยกว่าเช่นติ้งอ๋องยังรับรู้ได้ทันทีว่ามีคนหลบซ่อนอยู่ เช่นนั้นต้องเป็นตอนที่นางเผลอถอนหายใจออกมาเป็นแน่ จึงได้เผยร่องรอยออกมา แล้วคนอย่างไป๋หลี่ชูเล่า

 

 

ไป๋หลี่ชูต้องรู้แน่ว่านางอยู่ที่นี่ ติ้งอ๋องบอกว่าเขาเล่นละครแต่นางไม่โง่ มีหรือจะดูไม่ออกว่าเป็นการสร้างฉากบังหน้าหรือไม่ ทั้งตนก็ยังได้ยินได้เห็นในสิ่งที่ไม่ควรอีกด้วย

 

 

การแก่งแย่งชิงอำนาจในเหล่าเชื้อพระวงศ์ แต่ไรมาก็มีแต่ความดำมืดและคาวเลือด โอรสสวรรค์พิโรธ ซากศพเกลื่อนกลาดนับพันหลี่

 

 

นางไม่อยากเข้าไปพัวพันแม้แต่น้อย ทว่าไป๋หลี่ชูกลับจงใจให้นางรับรู้ มีจุดประสงค์ร้ายชัดๆ!

 

 

แววตาชิวเยี่ยไป๋สาดประกายเย็นเยียบ

 

 

คิดอยู่ครู่หนึ่งจึงตัดสินใจออกจากจวนติ้งอ๋องก่อนแล้วค่อยว่ากัน

 

 

นางกระโดดออกทางหน้าต่างหลัง หลบเร้นอย่างเงียบเชียบเหมือนแมวน้อยไปตามระเบียง แฝงกายปะปนกับบรรดาแขกเหรื่อที่กำลังกินดื่มอย่างสำราญ จากนั้นก็นั่งในจุดที่ไม่สะดุดตา มองติ้งอ๋องซึ่งนั่งในตำแหน่งประธานไกลออกไป กำลังดื่มสุราคลายกลุ้มด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ นางส่ายหน้าลอบเย้ยหยัน ติ้งอ๋องผู้นี้มีอดีตคลุมเครือกับไป๋หลี่ชูจริงหรือ

 

 

นางเริ่มดื่มกินอาหารเลิศรส ถือโอกาสชมหญิงงามในจวนติ้งอ๋องร่ายรำขับกล่อมบทเพลงรอบหนึ่ง ก่อนจะปะปนกับเหล่าแขกเหรื่อที่เมามายออกจากจวนไป

 

 

มีคำกล่าว เป็นขโมยย่อมไม่จากไปมือเปล่า วันนี้แม้นางจะมิใช่ขโมย แต่ก็ต้องตอบแทนน้ำพักน้ำแรงของตนสักหน่อย

 

 

ชิวเยี่ยไป๋มองห่อกระดาษชุบน้ำมันในมือตน แล้วหัวเราะเบาๆ กินของเขาแล้วยังห่อกลับบ้านด้วย เอาไปเผื่อเจ้าเสี่ยวชี อ้อ ยังมีหนิงชุนด้วย