ตอนที่ 72 ปีศาจใต้เงาจันทร์ (3)

ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ

ดึกสงัดไร้ผู้คน ได้เวลาห้ามออกจากเคหสถานยามวิกาลแล้ว แสงจันทร์กระจ่างฟ้า ที่เอวนางแขวนป้ายซือหลี่เจี้ยน พวกหน่วยลาดตระเวนเห็นแล้วจึงไม่ซักไซ้ให้มากความ

 

 

นางเดินทอดน่องไปตามถนนเงียบสงัดในเมืองหลวง ย่างเข้าเดือนหกแล้ว ยามกลางวันอากาศร้อนจัด ทว่ากลางคืนลมพัดเย็นสบาย ค่ำคืนวิเวก ไร้ผู้คนและฝุ่นควัน เงียบสงบจนรู้สึกสบาย

 

 

ลมยามราตรีหอบกลิ่นหอมมาด้วย ทำให้นางหวนนึกถึงช่วงเวลาอิสรเสรีก่อนกลับเมืองหลวง แม้จะมีข้อพิพาทในยุทธภพบ้าง แต่สำนักหอซ่อนกระบี่คือสถานที่ที่คนทั้งฝ่ายอธรรมและธรรมะจำนวนมากเก็บอาวุธหลังล้างมือในอ่างทองคำ[1] จึงมีสถานะศักดิ์สิทธิ์ที่ต่างออกไป คนที่กล้ามาตอแยมีไม่มาก

 

 

ครั้งนั้นได้ติดตามอาจารย์ออกท่องยุทธภพ แม้จะพานพบความลำบาก แต่ก็ยังดีกว่าเรื่องน่ากลัดกลุ้มที่ต้องเผชิญหลังกลับมาเมืองหลวง

 

 

นางชอบพบปะสังสรรค์กับมิตรสหาย ถือโคมท่องราตรี กินลมชมจันทร์ ลมราตรีพัดปะทะใบหน้า ยังได้กลิ่นดอกเยี่ยไหลเซียง[2]โชยมาตามลมด้วย

 

 

“รู้เช่นนี้มิสู้ทำตามที่ชิวเอ๋อร์บอก ไม่น่ากลับมาเมืองหลวงเลย” ชิวเยี่ยไป๋แหงนหน้ามองจันทร์พลางทอดถอนใจ นางเป็นคนเกียจคร้าน ชาติก่อนเป็นเช่นไร ชาตินี้ก็เป็นเช่นนั้น แม้จะเฉลียวฉลาดแต่ก็ไม่ชอบตกสู่วังวนของการต่อสู้แย่งชิง

 

 

“เสี่ยวไป๋ไม่กลับเมืองหลวง ข้าจะมิเสียใจหรือ” เสียงเย็นเยียบวังเวงลอยมาตามลม กลั้วเสียงหัวเราะเสนาะโสต

 

 

เพียงแต่เสียงรื่นหูนี้กลับทำให้ชิวเยี่ยไป๋ที่ดื่มจนเริ่มมึนตื่นตัวเต็มที่ นางหยุดฝีเท้า มองไปเบื้องหน้าด้วยสายตาเย็นชา เห็นคนงามในชุดแดงเรือนผมดำขลับกำลังเอนกายพิงราวไม้ของสะพานโค้งอยู่ไม่ไกลออกไป

 

 

เขายืนพิงราวอย่างเกียจคร้าน ในอ้อมอกยังอุ้มผีผาเอาไว้ด้วย เส้นผมมิได้เกล้าเก็บ เพียงใช้เชือกแดงมัดรวบง่ายๆ ปล่อยปลายผมยาวสยายปรกหลัง ปอยผมข้างหูพลิ้วตามสายลม กลิ่นอายเกียจคร้าน สมเป็นโฉมสะคราญใต้แสงจันทร์

 

 

แต่เป็นโฉมสะคราญกินคน!

 

 

นางพลันนึกขึ้นได้ว่าตอนอยู่อุโมงค์ใต้ดิน ไป๋หลี่ชูยังรู้จักโมโห รู้จักระเบิดอารมณ์ รู้จักแดกดัน แต่หลังออกจากอุโมงค์ แม้ยามประชดแดกดันยังคงมีรอยยิ้มนุ่มนวล ทว่าต่างจากรอยยิ้มนุ่มนวลเป็นธรรมชาติของนาง ยิ้มของเขามาพร้อมกับแววตาที่ไร้ชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…ทำให้ผู้คนรู้สึกประหลาดพิกล

 

 

โดยปกติ สำหรับพวกเขาแล้ว รอยยิ้มคือหน้ากากอย่างหนึ่ง และบุรุษเบื้องหน้านางก็ไม่นำพาที่จะทำให้คนรู้สึกว่ารอยยิ้มของเขาเป็นรอยยิ้มที่ว่างเปล่าผิวเผิน ดั่งดอกถานฮวา[3]ในเงาน้ำ เลื่อนลอยจับต้องมิได้ยิ่งกว่าแสงจันทร์

 

 

“เพ็ญจันทร์แจ่มจรัส โฉมสะคราญอุ้มผีผาขับลำนำ วานถามว่าบนสะพานเป็นเทพธิดาฤาภูตบุปผา” ชิวเยี่ยไป๋เห็นว่าไม่อาจหลบเลี่ยง จึงส่งยิ้มให้อย่างเกียจคร้าน ทั้งไม่กลัวว่าจะหยอกให้เขาโกรธ

 

 

เดิมคิดว่าจัดการกับเขาให้ได้อัปยศไปคราวหนึ่งแล้ว หากเป็นคนทั่วไปคงแค้นเคือง หรือไม่ก็คงอับอายจนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ไม่อยากพบเจอนางเร็วเช่นนี้ แต่วันนี้ตอนอยู่ในจวนติ้งอ๋อง เขาก็มิได้จับตัวนางออกมา นางยังสำคัญผิดในความคิดตนเอง

 

 

แต่นางลืมไปว่าคนตรงหน้านี้เป็นคนวิปริต คนจิตวิปริตย่อมไม่อาจตัดสินด้วยตรรกะทั่วไปได้

 

 

ไป๋หลี่ชูดีดสายผีผาเบาๆ มองชิวเยี่ยไป๋ด้วยร้อยยิ้มน้อยๆ “เสี่ยวไป๋ลืมนัดหนึ่งเดือนแล้วหรือ หืม?”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋อึ้งงัน มุมปากกระตุก ใช่แล้ว นี่มันเป็นผีดูดเลือด ไม่เสียทีที่มีเปลือกนอกงดงาม นับว่าเป็นผีชั้นสูงที่งามหรูทีเดียว

 

 

นางสะบัดแขนเสื้อ ชักกริชออกมา ทว่าไป๋หลี่ชูมองการกระทำของนางอย่างไม่แยแส “เสี่ยวไป๋ วันนี้เจ้าดื่มสุรา รสโลหิตของเจ้ายังไม่แรงพอ บ่มต่ออีกสักสองวันเถิด”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋เก็บกริช แค่นเสียงเบาๆ บ่มสองวัน?

 

 

บ่มมารดาเจ้าน่ะสิ!

 

 

“ในเมื่อฝ่าบาทไม่มีธุระอันใดแล้ว เช่นนั้นข้าขอตัวกลับจวนก่อน” ชิวเยี่ยไป๋เอ่ยเสียงเนิบ นางไม่อยากพัวพันกับเขาต่ออีก ไอ้ปีศาจนี่เป็นตัวแทนของคำคำเดียว…ตัวปัญหา

 

 

ไป๋หลี่ชูมิได้ห้าม ยังคงดีดผีผาในอ้อมอกอย่างเกียจคร้าน “เสี่ยวไป๋ คืนนี้เจ้าว่าน้องสามของข้าน่าสนใจหรือไม่”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ทำเหมือนไม่ได้ยิน นางสาวเท้ายาวๆ สีหน้าไร้ความรู้สึก กำลังเดินจะผ่านตัวเขาไป เกือบตวาดออกไปแล้วว่า สุนัขดีไม่ขวางทาง! ข้าไม่สนใจเรื่องบ้าบอในครอบครัวเจ้า..ไสหัวไป!

 

 

สัญชาตญาณเตือนภัยของชิวเยี่ยไป๋แม่นยำยิ่ง บางเรื่องรู้ให้น้อยเข้าไว้เป็นดี

 

 

ทว่าขณะกำลังเฉียดผ่านตัวเขา กลับได้น้ำเสียงอ้อยสร้อยว่า “เสี่ยวไป๋ เจ้าเดาสิว่าน้องสามจะรู้หรือไม่ว่าคนที่ซ่อนตัวอยู่ในห้องคือเจ้า”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ชะงักเท้า เลิกคิ้วกล่าวว่า “ฝ่าบาทคิดจะพูดอะไร”

 

 

ไป๋หลี่ชูคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เสี่ยวไป๋ เจ้าเป็นคนของข้า ย่อมไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องอื่น ใส่ใจกับอนาคตของตนเองก็พอ”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋อึ้งงัน นางมองขนตายาวหนาของไป๋หลี่ชูจับประกายแสงจันทร์ ยิ่งทำให้อ่านสีหน้าแววตาของเขาไม่ออก

 

 

“วันนี้ฝ่าบาทจงใจกล่าววาจาเช่นนั้นในห้อง ก็เพื่อให้ข้ารู้เงื่อนงำอำพรางของเรื่องที่เกิดบนเขาชิวซานหรือ”

 

 

ปลายนิ้วไป๋หลี่ชูดีดผีผาเสียงแผ่วอ้อยอิ่ง เอ่ยกลั้วหัวเราะ “ข้าเพียงไม่อยากให้เสี่ยวไป๋ของข้าเหมือนแมลงวันไร้หัว ช่างน่าสงสารนัก”

 

 

คำพูดคล้ายทอดถอนด้วยความเวทนาเช่นนี้ เมื่อออกจากปากเขากลับฟังเย็นเยียบวังเวง ทำให้รู้สึกราวกับกระซิบอยู่ข้างหู ทั้งเจืออารมณ์ชวนหลงใหล

 

 

ชิวเยี่ยไป๋สะท้านกาย ยิ้มเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็อย่าได้ลำบากเลย หากท่านอยู่ให้ห่างจากข้าสักหน่อย ข้าก็ไม่น่าสงสารแล้ว”

 

 

นางเดินผ่านเขาไปโดยไม่ลังเล

 

 

คราวนี้ไป๋หลี่ชูไม่ได้ขวางนาง ชิวเยี่ยไป๋จากไปไกลช่วงธนูพุ่งออกจากแล่งแล้ว นางยังคงได้ยินเสียงเสียงผีผาคล้ายมีคล้ายไม่มีดังมาไกลๆ ตามสายลม เคล้าลำนำแว่วหวานทว่าเย็นเยียบ

 

 

“ไม้ใหญ่แดนใต้ มิอาจหยุดหวนคะนึง เทพธิดาแม่น้ำฮั่น มิอาจเฝ้าวอนหา แม่น้ำฮั่นกว้างใหญ่ มิอาจวางความคิดถึง…”

 

 

ลำนำนั้นทุ้มต่ำวังเวง ทว่าเสนาะหูยิ่งนัก คลอด้วยเสียงผีผา ยิ่งชวนให้หลงใหลอย่างน่าประหลาด เมื่อมองไปไกลๆ บนสะพานไม้สีดำนั้น เห็นคนงามในชุดแดงอุ้มผีผาใต้แสงจันทร์ แขนเสื้อกว้างยาวระพื้น ทว่าเห็นใบหน้าไม่ชัด คล้ายจริงคล้ายหลอน คล้ายคนคล้ายมิใช่คน

 

 

ใต้สะพาน ปลาไนกระโดดเบาๆ ผิวน้ำมืดมิดสาดกระเซ็น เกิดเป็นแสงสีเงินยวงจับแสงจันทร์แตกกระจายบนใบบัว

 

 

วิกาลไร้ผู้คน ดูเหมือนเวลาก็หยุดลงด้วย

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ทอดสายตามองเงียบๆ พลันเข้าใจนิทานประหลาดของผูซงหลิง[4]ยอดนักประพันธ์ที่ว่า เหตุใดภูตจิ้งจอกและภูตบุปผาจึงสามารถดูดวิญญาณ ทำให้ผู้คนเลอะเลือนได้

 

 

มนุษย์มักแสวงหาความงามที่ตนไม่รู้จักจากความมืดอันลึกลับ ด้วยจิตใจใฝ่กระสันที่ไม่อาจควบคุมทั้งอยากละเมิดกฎเกณฑ์ แต่กลับไม่รู้เลยว่าในชั่วขณะต่อมา ผู้ที่ถูกล่อลวงและฉุดรั้งให้ล่วงลงสู่ห้วงอนธการอันไร้ขอบเขตที่กลืนกินจนไม่เหลือซากอาจกลายเป็นตนเอง

 

 

ด้วยเหตุนี้กับเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตน ความสงสัยใคร่รู้ของนางจึงมีขอบเขตอย่างยิ่ง

 

 

ทว่า…

 

 

นางลูบจมูก พลางครุ่นคิด เพลงนี้แม้ถูกไป๋หลี่ชูขับร้องจนเหมือนลำนำพรากวิญญาณ แต่ลำนำนี้ในคัมภีร์ซือจิง[5]เป็นถ้อยขอความรักที่บุรุษวอนต่อสตรี หากนางไม่มั่นใจว่าตนมิได้เผยพิรุธ คงต้องสงสัยว่าอีกฝ่ายกำลังบอกความนัยอะไรแล้ว

 

 

 

 

 

 

——

 

 

[1] เป็นสำนวน หมายถึง วางมือจากอำนาจ เลิกยุ่งเกี่ยวกับบุญคุณความแค้นในยุทธภพ

 

 

[2] ดอกซ่อนกลิ่น

 

 

[3] มีฉายาว่า ‘ดอกไม้แห่งรัตติกาล’ เป็นดอกไม้ที่บานและส่งกลิ่นหอมเฉพาะเวลากลางคืน มีระยะเวลาบานเพียงชั่วสั้นๆ คืนเดียวก่อนที่จะโรยราไป

 

 

[4] นักเขียนผู้มีชื่อเสียงยุคราชวงศ์ชิง (ค.ศ. 1640-1715) เป็นเจ้าของบทประพันธ์ นิทานประหลาดในเหลียวไจ (เหลียวไจจืออี้) ซึ่งรวบรวมเรื่องสั้น 431 เรื่อง โดยใช้เรื่องภูตจิ้งจอกมาโจมตีระบอบสังคมศักดินา สะท้อนความปรารถนาของหนุ่มสาวในยุคนั้นที่อยากจะหลุดจากกรอบศีลธรรมของสังคมศักดินา

 

 

[5] ชุมนุมกวีที่เก่าแก่ที่สุดของจีน