บทที่ 41.1 เขาต้องพิษ (1)

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

บทที่ 41 เขาต้องพิษ (1) Ink Stone_Romance

“ไป ปิดประตูเสีย” หลี่รุ่ยเสียงสั่งการสั้นๆ ขณะที่ประคองฮ่องเต้ให้ประทับนั่งลง เขาได้ส่งสายตาเป็นสัญญาณให้กับเย่าสุ่ย

เย่าสุ่ยพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม เขาเดินออกไปอย่างรวดเร็วด้วยใบหน้าที่เกือบจะซีดขาว สั่งให้นางกำนัลที่เฝ้าอยู่ด้านนอกปิดประตูตำหนักเสีย

หลี่รุ่ยเสียงกวาดตามองปราดหนึ่ง จึงนำถ้วยยาที่ปะปนไปด้วยเลือดเททิ้งลงในกระถางดอกไม้

“อาจารย์…” เสียงของเย่าสุ่ยนั้นสั่นสะท้านเล็กน้อย จากนั้นมีความกล้าเพียงใช้หางตาลอบมองสีหน้าของฮ่องเต้

“เจ้าไปด้วยตนเอง ไปต้มยามาให้ฝ่าบาทอีกถ้วยหนึ่ง” หลี่รุ่ยเสียงยัดถ้วยยาใส่ในมือของเขา เย่าสุ่ยรับคำ ในมือกำถ้วยยาเปล่าเอาไว้แน่นแล้วถอยออกไป

ฮ่องเต้กระอักเลือดออกมาเช่นนี้ ที่จริงนี่ไม่ใช่ครั้งแรก

หกวันที่แล้ว หลังจากลมหนาวต้องกาย เช้าวันถัดมาเมื่อลุกขึ้นก็มีอาการไอ แล้วก็กระอักเลือกออกมา เวลานั้นบังเอิญเหยียนหลิงจวินไม่อยู่ในเมืองหลวง จึงเรียกตัวหมอหลวงอาวุโสอีกท่านหนึ่งที่มีคุณสมบัติครบถ้วน หมอหลวงจาง มาทำหน้าที่ตรวจดูอาการ

แต่ด้วยเหตุที่เรื่องราวร้ายแรงนัก จากนั้นฮ่องเต้จึงสั่งให้ปิดข่าวเป็นความลับ

กระอักออกมาเช่นนี้ ร่างกายของฮ่องเต้เสมือนดังถูกสูบเรี่ยวแรงจนว่างเปล่า

เวลานี้เขาหลับตาเอนหลังพิงเก้าอี้พักผ่อน ดับไฟทุกดวง สีหน้าของฮ่องเต้ที่ปรากฏออกมาเป็นสีเทาดำ หากไม่ใช่ว่ากำลังหายใจจนหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงแล้วละก็ สีหน้าที่เห็นอยู่นั้นมันไม่ใช่สีหน้าของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ด้วยซ้ำ

“ฝ่าบาท?” หลี่รุ่ยเสียงเรียกด้วยความกังวลใจ จึงลองเรียกเขาดู “ฝ่าบาทรู้สึกอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ?”

ฮ่องเต้ไม่ได้ตอบรับ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงออกแรงที่มือ กุมพนักเก้าอี้และลืมตาขึ้น

สีหน้าของหลี่รุ่ยเสียงเต็มไปด้วยความหนักใจ พอจะคาดเดาอันใดได้ ยังคงเอ่ยปากต่อไปว่า “ฝ่าบาท จะปิดบังเรื่องนี้เอาไว้เช่นนี้ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ เมื่อสักครู่ใต้เท้าเหยียนหลิงออกไป ได้ถามอย่างเจาะจงว่าหมอหลวงคนไหนมาตรวจดูอาการให้ฝ่าบาท เกรงว่า…”

สายตาของฮ่องเต้เย็นเยียบ ปรากฏความเย็นชาพาดผ่านดวงตาทั้งคู่นั้น “เขาดูออกแล้วหรือไร?”

“คาดว่ายามนี้ยังคงดูไม่ออกพ่ะย่ะค่ะ” หลี่รุ่ยเสียงตอบ “ทว่าวิชาแพทย์ของเขานั้นไม่ธรรมดา ฝ่าบาทย่อมรู้ดี น่าจะปิดบังเขาไม่ได้พะยะค่ะ”

ฮ่องเต้หลับตาลงอีกครั้ง ริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรงอย่างเย็นชา เอ่ยเรียบๆ ว่า “เฉินเกิงเหนียนย่อมรู้จักสำคัญหนักเบา ทางด้านจางเฉิงเจ้าจัดการเรียบร้อยแล้วหรือ?”

“พ่ะย่ะค่ะ” หลี่รุ่ยเสียงพยักหน้า “จัดการสะอาดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“เช่นนั้นก็ดี” ฮ่องเต้ตรัส แววเย็นชาประหลาดในดวงตาพาดผ่านไปอีกครั้งหนึ่ง

หลี่รุ่ยเสียงส่งน้ำแก้วหนึ่งให้ฮ่องเต้ เขารับไปจิบเล็กน้อย จึงตรัสว่า “เรื่องนี้จะเกิดข้อผิดพลาดไม่ได้ เจ้ารู้ถึงความรุนแรงของเรื่องนี้ดี”

“บ่าวเพียงแต่เป็นห่วงพระพลานามัยของฝ่าบาท…” หลี่รุ่ยเสียงพูด

ฮ่องเต้หงุดหงิดรำคาญใจยิ่ง จึงยกมือขึ้นขัดจังหวะคำพูดของเขา “นำสิ่งของนั้นออกมาเถิด”

หลี่รุ่ยเสียงถอนใจเฮือกหนึ่ง ในที่สุดก็ไม่ได้เอ่ยวิงวอนหรือตักเตือนอันใด ไปยังตำหนักด้านใน ตรงไปที่แท่นบรรทมมังกร บริเวณแท่นเหยียบมีช่องลับอยู่ช่องหนึ่ง จึงดึงหีบไหมสีเข้มออกมา ยกเข้ามาเปิดออกหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้

ในนั้นมียาลูกกลอนราวๆ ยี่สิบเม็ดเรียงอยู่อย่างเป็นระเบียบ เป็นยาเม็ดขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือ มีสีแดงสดเป็นประกาย

ฮ่องเต้หยิบมาหนึ่งเม็ด

หลี่รุ่ยเสียงปรนนิบัติน้ำดื่มให้ฝ่าบาทกลืนยาลงไป แล้วจึงปิดหีบใบนั้นนำไปเก็บที่เดิม

ฮ่องเต้กลืนยาลูกกลอนลงไปแล้วนั่งอยู่สักพักโดยไม่ขยับเขยื้อน เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วยามสีหน้าของฮ่องเต้ฟื้นฟูกลับมาสดใสดังเดิมอย่างมหัศจรรย์ สีหน้าอิ่มเอิบผ่องใส จนกระทั่งมีสีแดงก่ำบนใบหน้าอย่างไม่ค่อยปกตินักอยู่หลายส่วน

หัวใจไม่มีอาการเสียดขัดอย่างรุนแรงเช่นก่อนหน้านี้แล้ว อารมณ์ของฮ่องเต้จึงดีขึ้นมาก ฮ่องเต้จึงประคองตัวกับโต๊ะและลุกขึ้นยืน

หลี่รุ่ยเสียงประคองพระองค์ด้วยตนเองจนถึงตำหนักใน ปรนนิบัติจนเอนกายลง เมื่อออกมาก็พบว่าเย่าสุ่ยยืนถือถ้วยยารออยู่ด้านนอก

“อาจารย์” เย่าสุ่ยส่งเสียงเบาๆ

หลี่รุ่ยเสียงหยิบถ้วยยาบนถาดรองไปแล้วสาดลงไปที่กระถางดอกไม้ด้านข้างอีก จากนั้นจึงยื่นมือออกมาแล้วพูดว่า “เทียบยาเล่า?”

“อยู่นี่ขอรับ” เย่าสุ่ยล้วงมือเข้าไปในแขนเสื้อหยิบใบสั่งยาที่เหยียนหลิงจวินเขียนส่งออกไป

หลี่รุ่ยเสียงยัดใบสั่งยาเข้าไปในอกเสื้อ หันกลับไปยังทิศทางตำหนักในแล้วมองอยู่ครู่หนึ่ง จึงกำชับว่า “คืนนี้เจ้าจงอยู่เฝ้าที่นี่เถอะ อย่าให้มีข้อผิดพลาด”

“ขอรับ” เย่าสุ่ยรีบรับคำ

หลี่รุ่ยเสียงก้าวลงบันไดไป ออกจากห้องบรรทมของฮ่องเต้ กลับไปยังเรือนพักของตนเพื่อผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เป็นชุดลำลอง จากนั้นจึงสั่งการเตรียมรถออกจากวังหลวง ทว่าเขากลับไปพบหยางเฉิงกัง โหรหลวงจากสำนักหอดูดาวหลวง

หยางเฉิงกังนั้นเข้านอนไปแล้ว แต่พอได้ยินพ่อบ้านเข้ามารายงานว่าหลี่รุ่ยเสียงมา หัวใจของเขาพลันกระตุกวูบ รีบสวมอาภรณ์ออกมาต้อนรับอย่างรวดเร็ว ไม่กล้าชักช้าแม้แต่อึดใจเดียว

หลี่รุ่ยเสียงนั่งดื่มน้ำชารออยู่ในห้องโถงของสกุลหยาง

“ท่านหัวหน้าขันทีมาเยือนดึกดื่นเช่นนี้ เสียมารยาทที่ไม่ได้ออกไปต้อนรับ” หยางเฉิงกังกล่าวยิ้มๆ พร้อมกับยกมือขึ้นคารวะ

“ข้ามาเองโดยไม่ได้รับเชิญ มารบกวนใต้เท้าที่กำลังนอนหลับฝันดี ต้องขออภัยก่อนแล้ว” หลี่ลุ่ยเสียงกล่าว น้ำเสียงเรียบนิ่ง สีหน้าเรียบเฉย ทว่ากลับมองไม่ออกถึงอารมณ์ใดใดบนสีหน้า

คนผู้นี้นับว่าเป็นคนแปลกประหลาด อยู่ข้างกายฮ่องเต้มาเป็นเวลาหลายปี แม้จะจัดการเรื่องราวได้อย่างละเอียด รอบคอบ ไร้ข้อผิดพลาด แต่สิ่งที่ขาดไปคือความเจ้าเล่ห์ที่ขุนนางส่วนใหญ่ต้องมี หลัวฮองเฮาก่อนหน้านี้ยังไม่สามารถซื้อใจเขาได้ แล้วคนเช่นเขาก็เป็นคนที่อยู่ในกฎเกณฑ์ยิ่ง ได้รับความเชื่อใจจากฮ่องเต้เสมอ ขุนนางในราชสำนักรวมไปถึงพระโอรสทั้งหลายต่างมีผู้ที่เห็นเขาขัดหูขัดตายิ่ง ทว่ากลับหาข้อผิดพลาดอันใดมาข่มขู่เขาไม่ได้

และในยามนี้ กาลเวลาผ่านมาเนิ่นนาน สำหรับตัวตนของคนผู้นี้แล้วดูเหมือนคนรอบข้างต่างคุ้นเคยเป็นอย่างดี

หยางเฉิงกังไม่ใช่คนที่ชอบประจบประแจงผู้ใด แต่กับคนผู้นี้แล้วกลับเกรงใจยิ่งนัก จึงเอ่ยขึ้นซ้ำๆ ว่า “มิกล้า มิกล้า ไม่ทราบว่าท่านหัวหน้าขันทีมาเยี่ยมเยียนในยามดึกดื่น มีเรื่องอันใด?”

“มีเรื่องด่วนเล็กน้อย” หลี่รุ่ยเสียงกล่าว ล้วงเทียบยาออกมาจากอกยื่นออกไปให้เขา “ใต้เท้าเหยียนหลิงกลับเมืองหลวงแล้ว เมื่อสักครู่เพิ่งจะไปจับชีพจรให้ฝ่าบาท ยังได้ทิ้งเทียบยาเอาไว้ ท่านลองดูหน่อยเถิดว่าเทียบยานี้ของเขาใช้ได้หรือไม่?”

หยางเฉิงกังได้ยินแล้วหน้าแทบจะถอดสี ดูเหมือนมีท่าทีเคว้งคว้าง กระวนกระวายใจขึ้นมาในพริบตา สีหน้าพลันแข็งค้างไปหลายส่วน สุดท้ายจึงกล่าวออกมาอย่างหวาดกลัวว่า “ทางด้านฝ่าบาท…ฝ่าบาทยังคงใช้ยา…”

“อืม” หลี่ลุ่ยเสียงพยักหน้าและขมวดคิ้วด้วยความกังวล เสียกิริยาไปครู่หนึ่ง หลังจากควบคุมสติอารมณ์และสีหน้าลงได้อย่างรวดเร็วแล้วจึงเอ่ยขึ้นว่า “ท่านดูสักหน่อยเถอะว่ายาสองขนานนี้จะปะทะกันหรือไม่?”

“ได้” หยางเฉิงกังรับคำ ดวงตาทั้งคู่จ้องเขม็งไปที่ใบสั่งยาฉบับนั้น ทว่าจิตใจกลับไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอย่างชัดเจน เขาลังเลใจอยู่นานสุดท้ายเอ่ยขึ้นว่า “ท่านหัวหน้าขันที อย่างไรท่านต้องตักเตือนฝ่าบาทบ้าง ของพวกนั้น…หากตกอยู่ยามวิกฤตนำมาใช้ในการรักษาชีวิตนั้นถือเป็นยาดี แต่หากนำมาใช้เป็นเวลานานไปแล้วนั้น ข้าน้อยเกรงว่า…”

“หากว่าสามารถตักเตือนได้ วันนี้ข้าคงไม่ต้องมาหาท่านหรอกกระมัง” หลี่ลุ่ยเสียงเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง

หยางเฉิงกังรู้มาโดยตลอดว่าหลี่รุ่ยเสียงนั้นเอาใจใส่ต่อฝ่าบาทยิ่งนัก เมื่อเห็นเขากล่าวอย่างเคร่งขรึมเช่นนี้ก็กระจ่างแจ้งแก่ใจว่าหลี่รุ่ยเสียงเอาชนะฝ่าบาทไม่ได้ ท่ามกลางความตกตะลึงจึงได้แต่ปิดปากของตนให้สนิท แล้วดูใบสั่งยาฉบับนั้นอย่างละเอียดอีกครั้ง

“ในระยะเวลาหลายปีมานี้…พระพลานามัยของฝ่าบาทเริ่มอ่อนแอลงแล้ว ยาที่ใต้เท้าเหยียนหลิงสั่งนั้นล้วนเป็นยาฤทธิ์อ่อน และตรงกับพระอาการของฝ่าบาทในเวลานี้ ใบสั่งยานี้ให้ฝ่าบาทใช้ได้อย่างวางพระทัยได้” หยางเฉิงกังพูดขึ้นหลังจากที่แน่ใจแล้ว

“อืม” หลี่รุ่ยเสียงเก็บใบสั่งยาแล้วจึงวางถ้วยน้ำชาลงพร้อมกับลุกขึ้น “ต้องรบกวนใต้เท้าหยางแล้ว เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อน”

“ได้” หยางเฉิงกังจึงลุกขึ้นด้วย ส่งเขาออกมาถึงลานบ้านจึงสั่งกำชับพ่อบ้านอีกครั้ง “เจ้าส่งท่านหัวหน้าขันทีออกไปเถิด”

“ขอรับ นายท่าน” พ่อบ้านรับคำพร้อมกับออกไปส่งหลี่รุ่ยเสียงด้วยตนเอง

หยางเฉิงกังกลับมีสีหน้าเต็มไปด้วยความกังวลยืนอยู่กลางลานเป็นเวลานาน ถอดถอนหายใจหนักๆ เฮือกหนึ่งก่อนจะหันกายเดินกลับเข้าเรือนไป

—————————————————-