บทที่ 41.2 เขาต้องพิษ (2)

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

บทที่ 41 เขาต้องพิษ (2) Ink Stone_Romance

เมื่อเหยียนหลิงจวินออกจากห้องบรรทมของฮ่องเต้ไป เขาไม่ได้กลับไปจวนสกุลเฉินในทันที แต่กลับพาเชินหลานไปสำรวจที่สำนักหมอหลวงครั้งหนึ่ง

ตามกฎระเบียบแล้ว ทุกคืนในวังหลวงต้องมีหมอหลวงอยู่เวรยามกลางคืนจำนวนสามคน เผื่อต้องการจะเรียกใช้หมอหลวงหลายคนที่เห็นเขามาที่นี่ต่างแปลกใจ “ใต้เท้าเหยียนหลิง? ท่านไม่ใช่ได้รับราชโองการไปราชการนอกเมืองหลวงหรอกหรือ?”

เมื่อข่าวที่เจิ้งตั๋วหนีตายแพร่งพรายออกไปนั้น เพื่อเป็นการรักษาขวัญและกำลังใจของทหาร ฮ่องเต้จึงส่งคนออกมาสองคนเพื่อให้ไปสืบข่าวที่แนวหน้า

น่าเสียดาย ทันทีที่ข่าวเล็ดลอดออกไป เหยียนหลิงจวินที่มีใบหน้าเย็นชาเป็นเรื่องปกติได้รีบรุดเข้าวังราวกับไฟไหม้ป่าในหลายวันนั้น และเสนอตัวเป็นผู้จัดการในเรื่องนี้ทันที

ด้วยเหตุที่ก่อนหน้านี้ มีคนเห็นเขาออกจากวังบูรพาด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นจึงรู้โดยไม่ต้องพูดกัน ทุกคนต่างรู้ดีว่าสาเหตุที่เขาอารมณ์ไม่ดีเนื่องมาจากฉู่สวินหยาง เขาจึงตามไปที่ค่ายทหารหมินเจียง ส่วนจุดประสงค์นั้นไม่ต้องพูดก็กระจ่างแจ้ง

เมื่อถามเช่นนี้ทำให้หลายคนเกิดความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา

เหยียนหลิงจวินใช้สายตากวาดตามองทุกคนครั้งหนึ่ง แล้วเดินเข้าไปในด้านในเพื่อพลิกหารายงานการตรวจรักษา “หลายวันมานี้ข้าไม่อยู่ หมอหลวงท่านใดเป็นผู้จับชีพจรของฝ่าบาท? รายงานชีพจรเล่า? นำมาให้ข้าดู”

“ใต้เท้าไม่อยู่ ท่านรองหลิวไปขอพบสองครั้งด้วยกัน แต่ถูกขันทีเย่าสุ่ยเชิญออกมาขอรับ” หมอหลวงเจียงท่านหนึ่งตอบ เขาค้นหารายงานการจับชีพจรแล้วส่งให้เหยียนหลิงจวินเล่มหนึ่ง “แต่หลายวันก่อนฝ่าบาทได้รับลมหนาว จึงเรียกตัวจางเฉิงไปตรวจดูอาการครั้งหนึ่ง รายละเอียดของการจับชีพจรอยู่นี่ขอรับ”

เหยียนหลิงจวินเปิดดูรายงานในเล่มไปพร้อมกับอ่านไปด้วย หากไม่ผิดคาดแล้วล่ะก็รายงานการจับชีพจรที่เขียนอยู่ในนี้เป็นการตรวจพบว่าชีพจรต้องลมหนาว และใบสั่งยาได้จัดยาฤทธิ์อ่อนที่เหมาะสมกับพระวรกายของฮ่องเต้

“จางเฉิงเล่า?” เหยียนหลิงจวินโยนรายงานการจับชีพจรคืน หันกายเดินกลับออกไปพร้อมถามขึ้น “พรุ่งนี้ให้เขามาพบข้าด้วย”

“ใต้เท้า” หมอหลวงเจียงรีบเรียกเขาเอาไว้แล้วกล่าวว่า “บิดาของหมอหลวงจางล้มป่วยหนัก เขาขอลาป่วยกลับบ้านเกิดไปแล้ว”

“อ้อ” เหยียนหลิงจวินได้แต่รับคำด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เช่นนั้นก็ช่างเถิด”

พูดแล้วก็เดินจากไปเช่นนั้นเอง

บนรถม้านอกวังหลวง อิ้งจื่อที่รออยู่นอนหลับใหล จนกระทั่งเขาออกมาแล้วจึงรีบกระโดดลงมาจากรถม้า

“นายท่าน”

“อืม กลับเถิด” เหยียนหลิงจวินกล่าว ขึ้นรถแล้วจึงหันกลับมาสั่งความประโยคหนึ่ง “สำนักหมอหลวงมีหมอหลวงท่านหนึ่งชื่อจางเฉิง ประเดี๋ยวเจ้าไปสืบหาร่องรอยของเขาเสียหน่อย”

“เจ้าค่ะ” อิ้งจื่อรับคำ นั่งรถม้าไปกับเชินหลานสองคนแยกออกไป

เมื่อกลับไปถึงนั้นเป็นยามสามเกิง[1]แล้ว เหยียนหลิงจวินไม่ได้ไปหาเฉินเกิงเหนียนเพื่อขอความเห็นอย่างที่ฮ่องเต้ทรงคาดการณ์ไว้ แต่เขากลับห้องตัวเองเพื่อนอนหลับพักผ่อน

ตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น ขณะที่เขากำลังเตรียมตัวไปเข้าเวรที่สำนักแพทย์หลวงนั้น อิ้งจื่อกลับเข้ามาพร้อมกับข่าวคราวที่ไปสืบมา

เหยียนหลิงจวินยิ้มขึ้นมาทันใด “เร็วเช่นนี้?”

“บ้านเกิดของหมอหลวงจางท่านนั้น ตั้งอยู่ในหมู่บ้านที่ห่างจากกำแพงเมืองเพียงสิบลี้ บ่าวจึงไปมาแล้วครั้งหนึ่งเจ้าค่ะ” อิ้งจื่อตอบ “เขาไม่ได้กลับไปที่บ้านเกิด แต่คนในจวนของพวกเขาเหมือนกับปิดปากแน่นสนิท ไม่มีผู้ใดสนใจหรือพูดถึงเรื่องนี้ น่าจะ…ได้รับคำสั่งจากใครสักคนเจ้าค่ะ”

มุมปากของเหยียนหลิงจวินโค้งขึ้นพร้อมกับยิ้มออกมา ยกมือขึ้นพร้อมกับถอนใจครั้งหนึ่ง

“ยังต้องการให้บ่าวไปสืบร่องรอยของเขาอีกหรือไม่?” อิ้งจื่อถาม ทว่าในใจกระจ่างแจ้งถึงสิบส่วนแล้วว่าจางเฉิง

ผู้นี้ แปดส่วนน่าจะอยู่ในอันตรายแล้ว

“ไม่ต้องเสียเวลาอีกแล้ว” เหยียนหลิงจวินส่ายหน้า ยิ้มบางๆ ก้าวเท้าเดินออกไป

———————————–

การประชุมในท้องพระโรงช่วงเช้านั้น ฮ่องเต้มีพระประสงค์ให้เบิกตัวซูอี้ออกมาจากคุกหลวง และให้เขาเข้าเฝ้าที่ห้องทรงพระอักษร

ในเวลานั้นฮ่องเต้ให้ผู้ไม่เกี่ยวข้องออกไปจนหมด เหลือเพียงหลี่รุ่ยเสียงที่ยังรั้งอยู่ข้างกาย ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเหตุไฉนเขาจึงกำหนดโทษตายให้กับครอบครัวสกุลซู

หลังจากนั้นครึ่งชั่วยามการประชุมช่วงเช้าในท้องพระโรงดำเนินไปตามปกติเช่นทุกวัน ไม่ได้ยินฝ่าบาทเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก

ค่ำของวันเดียวกัน เวลาโพล้เพล้ ซูอี้ได้แฝงตัวท่ามกลางการอารักขาของกองทหารอวี้หลินออกจากเมืองหลวงทางประตูทิศเหนืออย่างลับๆ ควบม้าเร็วไปยังชายแดนทางเหนือ

ด้วยเหตุที่เป็นเรื่องด่วน คนทั้งกลุ่มจึงเดินทางอย่างเร่งรีบ พวกเขาเดินทางตลอดทั้งคืนจนกระทั่งถึงเช้าวันถัดมา จึงหยุดพักที่ร้านน้ำชาข้างทางทานอาหารเช้าแบบง่ายๆ ในมือของซูอี้ถือซาลาเปา เขากัดกินซาลาเปาอย่างช้าๆ

สำหรับพวกเขาแล้วฮ่องเต้มีเพียงการใช้ประโยชน์เท่านั้น พูดว่าเป็นการช่วยเหลือไท่จื่อในการปราบปรามข้าศึกชายแดนทางเหนือ กลับบอกว่าเรื่องนี้สำคัญมาก ไม่ให้เปิดเผยชื่อเป็นการชั่วคราว และไม่ได้มีการสั่งการลงมาอย่างเป็นทางการ มีเพียงองครักษ์ที่อารักขาเขามาตลอดทาง…

ทว่ากลับให้เหลียงซวี่ผู้บัญชาการทหารอวี้หลินของวังหลวงเป็นผู้นำหน่วย

บอกว่าเป็นการปกป้องคุ้มครอง ความจริงแล้ว…

หากว่าบอกเป็นการเฝ้าดูและควบคุมจะเหมาะสมมากกว่า

เมื่อคิดได้เช่นนี้ ซูอี้ทนไม่ไหวต้องหัวเราะออกมา และส่งซาลาเปาคำสุดท้ายยัดเข้าปากตนเอง กำลังจะลุกขึ้นเพื่อเดินทางต่อ สายตาที่กวาดมองไปอย่างไม่ตั้งใจนั้น กลับเห็นว่าในพุ่มป่าด้านนอกฝั่งตรงข้ามมีขบวนม้าของพ่อค้าผ่านมา ม้าในจำนวนนั้นมีตัวหนึ่งขนสีพุทรา บนหลังม้ามีแขนเสื้อสีเขียวที่คุ้นตาอย่างยิ่ง

“คุณชายรอง จะเดินทางต่อแล้วหรือไม่?” เหลียงอวี่เห็นเขาวางตะเกียบลงจึงถามขึ้น

“อ้อ” ซูอี้เก็บงำสายตาของตนโดยไม่แสดงพิรุธใดใด ลุกขึ้นแล้วสะบัดเสื้อคลุม “ข้าไปสุขาสักประเดี๋ยว พวกท่านเตรียมตัวกันเถิด ยามนี้จะเสียเวลาไม่ได้ ทุกคนลำบากแล้ว รีบเร่งเดินทางเร็วสักหน่อย”

“ได้” เหลียงอวี่รับคำ แล้วให้เถ้าแก่ห่อหมั่นโถวเล็กน้อย ไว้เป็นอาหารระหว่างทางของพวกเขา พร้อมกับสั่งการให้คนอื่นๆ เตรียมตัว

ซูอี้ปลีกตัวออกมาแล้วเข้าไปในป่า เดินเข้าไปในป่าช่วงหนึ่ง กระทั่งแน่ใจแล้วว่าไม่มีผู้ใดเห็นจึงหยุดฝีเท้าลง สายตาก็กวาดตามองรอบๆ อย่างระมัดระวัง

เมื่อกวาดตามองนั้น หูก็พลันได้ยินเสียงบางอย่างลอยข้ามมา

เขายกมือขึ้น แล้วหลบหลีกไปด้านข้าง

คมกระบี่ฟาดฟันลงมา เฉียดศีรษะเขาไปเล็กน้อย คมกระบี่สีเงินส่องประกายวาบ มันฟาดฟันจนหมวกบนศีรษะของเขาแตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยค่อยๆ ร่วงหล่นลงมาบนพื้น

“เจ้านี่ช่างเป็นคนที่ไม่รู้จักระมัดระวังตัวเอาเสียเลย ไม่กลัวว่าจะติดกับดักหรืออย่างไรกัน?” ฉู่สวินหยางเก็บมีดสั้นเข้าฝัก พร้อมกับยิ้มตาหยีอย่างสนุกสนาน “ข้ายามนี้เริ่มที่จะวิตกกังวลแล้ว ครั้งนี้วางเดิมพันสำคัญไว้กับเจ้า ไม่รู้ว่าจะถูกเจ้าทำให้เสียหายหรือไม่”

ซูอี้ยกมือขึ้นลูบศีรษะของตนพลางก้าวเข้าไปหานางอีกก้าวหนึ่ง ทว่ามีท่าทีเหมือนไม่รังเกียจอยู่หลายส่วน พูดจา

ไร้สาระพร้อมกับหัวเราะว่า “มีผู้คนมากมายที่พลิกแผ่นดินเพื่อตามหาท่าน แต่ท่านหญิงกลับมาอยู่ที่นี่ เพื่อดักพบข้ากลางทางเช่นนั้นหรือ? ข้ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง”

ฉู่สวินหยางตวัดสายตามองเขาครั้งหนึ่ง อย่างคร้านที่จะต่อปากต่อคำกับเขา พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นงานเป็นการว่า “ข้ามาเพื่อเตือนเจ้าโดยเฉพาะ ระหว่างทางจงระวังให้มาก แม้ว่าฝ่าบาทจะช่วยเจ้าปิดบังอำพรางร่องรอยของเจ้าก็จริง แต่รับรองไม่ได้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้เรื่อง ระหว่างทางนี้…เกรงว่าไม่อาจราบรื่นนัก”

พูดแล้วก็มองไปยังทิศทางด้านนอกพุ่มไม้ครั้งหนึ่งอย่างไม่ตั้งใจ

ซูอี้เปลี่ยนท่าทีเป็นจริงจังขึ้นมา มองนางอย่างเคร่งขรึม

ฉู่สวินหยางไม่เอ่ยอันใดอีก แต่กลับหยิบขวดกระเบื้องเล็กออกมาจากอกยื่นให้เขา “ข้าก็พูดไปเช่นนั้นเอง ต้องระวังแม้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เตรียมตัวให้มากหน่อยแต่เนิ่นย่อมเป็นการดี ทางด้านท่านพ่อของข้านั้น เมื่อถึงเวลาเขาจะให้ความร่วมมือกับเจ้าเต็มกำลัง แม้ว่าแม่ทัพที่นั่นจะไม่พึงมีคุณสมบัติเพียงพอก็ตาม แต่อย่างไรเขาก็อยู่ที่นั่นมาเป็นเวลาหลายสิบปี อำนาจทางทหารนั้นอย่างไรก็ยังคงมีอยู่ พวกเจ้าต้องระมัดระวัง”

————————————————-

[1] ยามสามเกิง เวลา 23:00 – 24:59