บทที่ 41 เขาต้องพิษ (3) Ink Stone_Romance
ฉู่สวินหยางตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อรู้สึกตัวและกำลังจะก้าวเดินนั้น ทันทีที่หันกายก็มีแขนของคนผู้หนึ่งยื่นมาเบื้องหน้าขวางทางของนางเอาไว้
นางหลุบตาลงมองชายแขนเสื้อสีเขียวไม้ไผ่ คิ้วจึงขมวดขึ้นทันที
“ยังคิดจะไปที่ใดอีก?” เหยียนหลิงจวินถามพร้อมกับยกฝ่ามือขึ้นเท้ากับลำต้นของต้นไม้
ฉู่สวินหยางจึงเงยหน้าขึ้นมองเขา “ไฉนท่านจึงมาอยู่ที่นี่ได้?”
“ในเวลานี้ เจ้ายังมีจิตใจอันใดที่จะเที่ยวไปทั่วเล่า?” เหยียนหลิงจวินถาม ถอนหายใจอย่างจนใจ ริมฝีปากของเขาโค้งขึ้นเป็นเส้นตรง พร้อมกับที่มืออีกข้างหนึ่งของเขาประคองแก้มของนางเอาไว้
ฉู่สวินหยางถอยหลังก้าวหนึ่ง เพื่อหลบมือของเขา
เหยียนหลิงจวินจึงยืดตัวขึ้นตรงและก้าวเข้ามาเพื่อจะจับมือของนาง “ยังโมโหอันใดอีก? สถานการณ์วุ่นวายเช่นนี้ เจ้ายังไปไหนมาไหนไม่ระวังตัว?”
นิ้วมือของฉู่สวินหยางถูกเขากุมเอาไว้ ความรู้สึกของนางช้านักจึงไม่ได้เคลื่อนไหวใดใด
ริมฝีปากของเหยียนหลิงจวินโค้งขึ้นชัดเจนยิ่งขึ้นอีก เขาโน้มตัวลงจนสามารถสบสายตากับนางตรงๆ ได้ จึงกล่าวว่า “ศึกทางใต้และชายแดนทางเหนือไม่สามารถหยุดลงได้ ภายในครึ่งชั่วยามหรือเพียงไม่กี่เค่อ ท่านพ่อและพี่ชายของเจ้าต่างไม่อยู่ในเมืองหลวง ยังจะโกรธอันใดอีกเล่า?”
ฉู่สวินหยางอ้าปากอยากจะเอ่ยวาจาโต้กลับ แต่เมื่อคำพูดมาถึงปากแล้วกลับได้แต่กลืนลงไป
นางขมวดคิ้วมองหน้าเขา “ท่านยังคงตัดสินใจที่จะอยู่ที่นี่?”
“โอกาสเช่นนี้หาได้ยากยิ่งนัก” เหยียนหลิงจวินหัวเราะ พูดจาหยอกล้อนาง “สองวันก่อนข้าเข้าวังตอนกลางคืนไปจับชีพจรให้ฮ่องเต้ของพวกเจ้า หากเจ้ายังรู้สึกว่าลำบากใจอีก มิสู้พวกเรามาลองเดินทางลัดกันดูดีหรือไม่? ฉวยโอกาสในยามที่วังบูรพาไม่มีคนอยู่ จัดการให้สิ้นเรื่องสิ้นราว เมื่อข้าวสารกลายเป็นข้าวสุก ต่อให้พี่ชายของเจ้าพบหน้าข้าแล้ว ต่อให้ไม่ยินดี แต่อย่างไรก็คงทำใจไม่ได้หากต้องให้น้องสาวอันเป็นที่รักต้องแต่งงานใหม่หรอกกระมัง?”
คำพูดหยอกล้อเหล่านี้ของเขา แม้จะรู้แก่ใจว่าเป็นการหยอกล้อ ฉู่สวินหยางก็ยังอดไม่ได้ที่จะทำหน้าดำทะมึนลงและถลึงตาใส่เขา
เหยียนหลิงจวินหัวเราะออกมา ยื่นแขนทั้งสองข้างดึงรั้งนางเข้ามาในอ้อมกอด โอบกอดนางเบาๆ และวางคางของตนลงบนไรผมของนาง พร้อมกับกล่าวว่า “หากว่าเจ้าลำบากใจ ข้ารอเจ้าก็พอ อย่างมากต่อไปเมื่อพบหน้าพี่ชายเจ้า ข้าเดินอ้อมไปอีกทางก็พอแล้ว”
ฉู่สวินหยางได้ยินแล้ว ในที่สุดก็ทนไม่ไหวหัวเราะออกมาหนหนึ่ง ยกมือขึ้นผลักเขา “พูดอันใดกัน? ในยามปกติพี่ชายไม่ได้เป็นเช่นนั้น…”
ในยามปกติฉู่ฉีเฟิงเป็นสุภาพบุรุษสุภาพอ่อนโยน แต่ถ้าเป็นเรื่องของเหยียนหลิงจวินแล้ว เขาไม่สามารถ ควบคุมอารมณ์ ตนเองไว้ได้เลย
เรื่องนี้…กลายเป็นความขัดแย้งที่ไม่มีวันแก้ไขได้
เหยียนหลิงจวินเห็นนางยิ้มออกแล้ว จึงค่อยๆ วางใจลงได้ จูงมือนางเดินไปด้านนอก “ไปเถิด ข้าออกมานานนักไม่ได้ ต้องกลับไปก่อนฟ้ามืด”
เมื่อฉู่สวินหยางจากมานั้น นางมีความอึดอัดคับข้องใจจริงๆ แต่เมื่อสถานการณ์เบื้องหน้าเป็นเช่นนี้ นางย่อมกระจ่างแจ้งดีว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่นางจะเอาแต่ใจได้
ฉู่อี้อันและฉู่ฉีเฟิงนั้นติดพันอยู่กับการศึกแนวหน้า ไม่อาจจะจิตใจวอกแวกแม้เพียงเล็กน้อย หลังจากนางจากมาได้ให้คนถือจดหมายกลับไปให้ฉู่ฉีเฟิง เพียงแต่เหยียนหลิงจวินนั้นออกไปอย่างกะทันหัน จึงไม่ได้รอจนได้พบกัน
เมื่อทั้งสองคนออกจากมาจากในป่านั้น ซูอี้และคนอื่นๆ ได้ออกเดินทางไปแล้ว สถานที่แห่งนี้ไม่มีร้านค้าอื่นๆหรือหมู่บ้านชุมชนใดใด มีแต่ร้านน้ำชาริมถนน ที่ให้ผู้ที่ทำการค้าผ่านไปมาได้แวะเวียนใช้สอย ยามนี้ร้านน้ำชาเหลือลูกค้าอยู่เพียงไม่กี่คน
ทว่าด้านข้างนั้นชัดเจนยิ่งนัก ว่ามีรถม้าของชนชั้นสูงจอดอยู่คันหนึ่ง เมื่อมาจอดอยู่ในสถานที่แทบจะร้างผู้คนจึงทำให้ดึงดูดสายตายิ่งนัก
ฉู่สวินหยางหยุดชะงักฝีเท้า อดไม่ไหวที่จะเหลียวมองอีกครั้ง
และเป็นการบังเอิญยิ่งนักที่คนบนรถม้าก้าวลงมาพอดี ปรากฏว่าเป็นคุณชายผู้สวมใส่อาภรณ์ผ้าไหมหรูหรา ดูมีราคาอย่างชนชั้นสูง ดวงตาดุจดวงตาหงส์ และจมูกที่โด่งเป็นสันนั้น เขาสวมอาภรณ์ผ้าไหมชุดสีแดงเข้มทั้งตัว เมื่อกระทบกับแสงอาทิตย์ในยามรุ่งอรุณแล้วช่างบาดตาผู้คนยิ่งนัก
ขณะที่ลงจากรถม้ามุมปากของเขายกยิ้มขึ้น ราวกับว่าอดไม่ไหวอยู่หลายส่วน น่าแปลกนัก ฉู่สวินหยางเพียงแต่รู้สึกว่าภาพเหตุการณ์นี้ช่างคุ้นตาเหลือเกิน จึงพยายามครุ่นคิด…
รอยยิ้มและท่าทางของคนผู้นี้เหมือนท่าทางและรอยยิ้มของเหยียนหลิงจวินนั่นเอง
ทว่าเมื่อเปรียบเทียบกับความสง่างามและสงบนิ่งของเหยียนหลิงจวินแล้วนั้น คนผู้นี้ออกจะมีท่าทางที่เกินไปอยู่บ้าง ให้ความรู้สึกลอยละล่องอยู่หลายส่วน
สถานที่แห่งนี้อยู่ทางด้านเหนือของชายแดนทางเหนือต้องผ่านทาง และไม่ใช่เส้นทางที่ขุนนางใช้กัน ชนชั้นสูงโดยส่วนใหญ่ไม่ผ่านเส้นทางนี้ ที่ซูอี้และคนของเขาเลือกใช้เส้นทางนี้เพราะประหยัดเวลาเท่านั้น
ฉู่สวินหยางเม้มปากพลางครุ่นคิด คนผู้นั้นทำราวกับว่ามักจะถูกผู้อื่นจ้องมองเสมอจึงรับรู้ได้เอง เมื่อรู้สึกตัวและเงยหน้าขึ้นมองข้ามมา
ฉู่สวินหยางจึงหลบสายตา มือของเหยียนหลิงจวินที่กุมนิ้วมือของนางเอาไว้พลันคลายออก แตะลงที่เอวของนาง เขาอุ้มนางขึ้น ก่อนที่ฉู่สวินหยางจะตั้งตัวได้นั้นเขาก็ส่งนางขึ้นไปอยู่บนหลังม้าพร้อมกับตัวเองที่ขึ้นมาด้วย
กริยาท่าทางของเขาไม่ติดขัด เพียงแค่ชั่วพริบตา
‘ย่าห์’ ฉู่สวินหยางได้ยินเพียงเสียงตะโกนสั้นๆ เพียงครั้งเดียว จากนั้นข้างหูได้ยินเพียงเสียงลม ควบขี่อยู่บนหลังม้าศึกที่โผนทะยานไปข้างหน้า
ม้าควบไปข้างหน้าเหลือเพียงฝุ่นธุลีดินที่ลอยคละคลุ้งอยู่ในอากาศ
———————————————–