บทที่ 41 เขาต้องพิษ (4) Ink Stone_Romance
มือของคนผู้นั้นถือพัดอยู่ด้ามหนึ่ง เมื่อมองผ่านฝุ่นธุลีดินไปเห็นเพียงเงาร่างที่ไม่ชัดเจน แววตาในดวงตาคู่นั้นทะมึนลงอย่างน่าประหลาด พลันถอนใจออกมาเบาๆ ครั้งหนึ่ง
ผู้ติดตามของเขาก้าวเข้ามา เอ่ยขึ้นอย่างฉงน “ฝ่าบาท ไฉนท่านจึงมาได้พ่ะย่ะค่ะ?”
“อ้อ” ชายหนุ่มผู้นั้นดึงสายตากลับมาจากทิศทางที่ไกลออกไป นำด้ามพัดมาเคาะกับมือยิ้มๆ และเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ก่อนหน้านี้ไปเยี่ยมจวินอวี้ เขาบอกว่าล้มป่วยไม่ใช่หรือ? ระยะนี้ในแคว้นมีข่าวหรือไม่ เขากลับไปแล้วหรือ?”
ชายหนุ่มเม้มปากแล้วยกยิ้มมุมปาก ทว่าสีหน้ากลับปรากฏความโดดเดี่ยวอ้างว้างอยู่หลายส่วน
ผู้ติดตามผู้นั้นนิ่งไปอึดใจหนึ่ง ทว่ายังคงเอ่ยขึ้นเพื่อหยั่งดูท่าที “ฝ่าบาท เจ้าหุบเขาปีศาจนั้นไม่แสดงตัวง่ายๆ หรอกพ่ะย่ะค่ะ หากว่าทางนั้นเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมา…”
“เช่นนั้นก็ยอมรับชะตากรรมเถิด” ชายหนุ่มผู้นั้นมองเขาแวบหนึ่ง จากนั้นจึงหัวเราะขึ้น
แม้จะมีรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูแล้วไม่แยแสและมีเสน่ห์มาแต่กำเนิด แต่รอยยิ้มและกลิ่นอายของเขานั้นหากจะวิเคราะห์ขึ้นมาแล้ว ต้องบอกว่าเป็นคนที่ถ่อมตนและค่อนข้างควบคุมตนเอง
“ถ่ายทอดคำสั่งลงไป พักผ่อนอยู่ที่นี่ครึ่งชั่วยาม จากนั้นออกเดินทางต่อ” ชายหนุ่มกล่าว แล้วก้มตัวเข้าไปในร้านน้ำชาริมทาง
—————————–
เหยียนหลิงจวินจากไปอย่างรีบเร่ง จึงไม่ได้ย้อนกลับไปอีกด้านหนึ่งของป่าเพื่อไปเอาม้าของตนเอง ทั้งสองคนจึงขี่ม้าตัวเดียวกันพุ่งทะยานออกไป
ต่อให้ความรู้สึกของฉู่สวินหยางจะช้า แต่ก็รู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากลในเรื่องนี้ เมื่อออกมาได้สักพักหนึ่งจึงหันกลับไปมองเขา “คนผู้นั้น…”
“ไม่มีอันใด” เหยียนหลิงจวินหัวเราะ ก้มหน้าลงมองนางครั้งหนึ่ง ด้วยท่าทางไม่อยากพูดจาอย่างชัดเจน เขายื่นมือออกไปหยิบเสื้อคุลมที่อยู่บนหลังม้ามาคลุมให้กับนาง “คลุมเสียเถิด กลับไปถึงน่าจะมืดค่ำ ระวังจะต้องลมเย็นเอาได้”
ในเมื่อเขาไม่อยากพูด ฉู่สวินหยางก็ไม่คิดจะถามต่อ ใช้เสื้อคลุมนั้นห่อตัวเองอย่างมิดชิดแน่นหนาขึ้นอีก ซุกอยู่ในอ้อมกอดของเขา
คนทั้งสองควบม้าตัวเดียวกัน ดังนั้นจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่จะทำให้การเดินทางช้าลงไป พวกเขากลับไปถึงเมืองหลวงเป็นเวลาหลังยามสองเกิง
เหยียนหลิงจวินควบม้าไปส่งฉู่สวินหยางกลับไป เขาดึงสายบังเหียนม้าให้หยุดลงที่ตรอกด้านหลังวังบูรพา แล้วอุ้มนางลงมาจากหลังม้า
ฉู่สวินหยางยืนอยู่เบื้องหน้าเขา มองเขาแล้วก็ได้แต่รู้สึกจนใจ เม้มปากแล้วกล่าวว่า “ท่านกลับไปเถิด ข้า…”
นางพูดแล้วก็หยุดชะงักลง ในใจร้อนรนอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยว่า “พรุ่งนี้ข้าค่อยไปหาท่าน”
เหยียนหลิงจวินได้ยินประโยคนี้แล้ว พลันรู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจยิ่งนัก แต่ทว่ากลับยังไม่ยอมจากไป แต่กลับใช้สายตาประสานตากัน และก้าวขึ้นมาดึงมือของนางเอาไว้ เขาดึงนางเข้ามาอยู่ในส่วนลึกที่สุดของกำแพงเพื่อซ่อนตัว
ฉู่สวินหยางยกมือขึ้นดันหน้าอกของเขาไว้ เงยหน้าขึ้นมองเขา
เขาหลุบตาลงแล้วจูบเบาๆ บนปลายจมูกของนาง ฉู่สวินหยางคิดว่าเขาฉวยโอกาสจะเอาเปรียบนาง แต่กลับคิดไม่ถึงว่าในนาทีถัดมา เขาจะเอ่ยขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำและเบาว่า “ฝ่าบาทต้องพิษแล้ว”
ฉู่สวินหยางตกตะลึง อึดใจหนึ่งถึงเงยหน้าขึ้นมองเขา “ท่านรีบไปตามข้ากลับมาก็คือ…”
ฝ่าบาทต้องพิษแล้ว? เป็นไปได้อย่างไร? ในระยะเวลาหลายปีมานี้ เขาได้ระมัดระวังและป้องกันอย่างเคร่งครัด มาโดยตลอด ไฉนจึงต้องพิษกะทันหันเช่นนี้
ที่สำคัญที่สุดก็คือ…
เรื่องใหญ่เช่นนี้ กลับไม่มีข่าวเล็ดลอดออกมาข้างนอก
“นี่จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ข้างนอกกลับไม่มีข่าวแพร่งพรายแม้แต่น้อย” ฉู่สวินหยางกล่าว ท่ามกลางความประหลาดใจและเหลือเชื่อนางก็หัวเราะออกมา
“เป็นพิษที่ออกฤทธิ์ช้าจึงมองเห็นไม่ชัดเจนนัก” เหยียนหลิงจวินกล่าวต่อ “คาดว่าเพิ่งจะต้องพิษเมื่อไม่นานมานี้ ระยะนี้ข้าไม่อยู่ในเมืองหลวง หมอหลวงจางเป็นผู้จับชีพจรฝ่าบาทครั้งหนึ่ง รายงานการจับชีพจรข้าอ่านมาแล้ว บอกเพียงว่าได้รับความเย็น จึงทำให้โรคปวดศีรษะกำเริบ แต่ทว่าพิษกลับเข้าไปทำลายหัวใจและปอดของฝ่าบาท หากข้าเดาไม่ผิดแล้วล่ะก็ ในระยะนี้ฝ่าบาทน่าจะเริ่มมีอาการกระอักเป็นเลือดแล้ว”
“เช่นนั้นหมอหลวงจาง…” ทราบเรื่องกะทันหันเช่นนี้ ฉู่สวินหยางยังคงตั้งตัวไม่ติด จึงได้แต่ถามออกไป
“น่าจะถูกฆ่าปิดปากไปแล้ว” เหยียนหลิงจวินตอบ “แต่เมื่อมองจากปฏิกิริยาของฝ่าบาทและขันทีหลี่รุ่ยเสียงแล้วพวกเขาต่างก็รู้ดีว่าฝ่าบาทไม่เพียงแค่ต้องลมเย็นธรรมดาเท่านั้น เพียงแต่หมอหลวงจางตายไป เวลานั้นไม่อาจคาดเดาได้ว่าเขาได้วินิจฉัยโรคออกมาอย่างไร”
“หากเขารู้ว่าตนเองต้องพิษ ต่อให้ไม่อยากจะเอ่ยออกมาต่อหน้า อย่างไรก็ต้องมีคนตรวจพบจนได้” ฉู่สวินหยางค่อยๆ ใจเย็นลงแล้ว จึงพูดอย่างวิเคราะห์ออกมา “อีกประเดี๋ยวข้าจะไปหาพ่อบ้านเจิง ดูว่าทางเขาจะได้ข่าวคราวอันใดมากกว่านี้หรือไม่”
ฮ่องเต้ต้องพิษแล้ว? ทว่ากลับปิดเป็นความลับไม่ให้แพร่งพราย? เขาไม่รู้จริงๆ หรือว่าเจตนาที่จะปิดบัง
“อายุของเขามากแล้ว แต่อำนาจของเขาในหลายปีมานี้กลับแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ หากจะตัดใจไม่ได้ที่จะวางมือนั้นก็พอเข้าใจได้” คิดดูแล้ว ฉู่สวินหยางจึงเอ่ยขึ้นอีกว่า “ในเวลานี้ทั้งทางใต้และทางเหนือต่างกำลังเปิดศึกรบ ท่านพ่อไม่อยู่ในราชสำนัก เสด็จอาหลายคนที่คิดไม่ซื่อก็มีไม่น้อย ต่อให้เขารู้ตัวว่าตนเองต้องพิษ กลับเลือกที่จะไม่เปิดเผยออกมานั้นย่อมเป็นเรื่องที่เข้าใจในความจำเป็นได้ ในสถานการณ์เช่นนี้หากฝ่าบาทแสดงท่าทีอ่อนแอ ย่อมเกิดเรื่องได้ง่ายดายยิ่งนัก”
พระโอรสหลายคน หากมีใจคิดคดฉวยโอกาสในขณะที่องค์ชายรัชทายาทไม่อยู่ในเมืองหลวง ในขณะที่แนวหน้าติดพันอยู่กับการศึกสงคราม การแย่งชิงอำนาจนั้นย่อมเป็นไปได้มากโข
ฮ่องเต้อยู่ในวัยขนาดนี้แล้ว สิ่งที่หวาดกลัวที่สุดคือผู้อื่นกล่าวว่าเขาอายุมากแล้วไม่มีประโยชน์ ที่กลัวยิ่งกว่านั้นคือความตาย เขาพยายามควบคุมอำนาจทั้งหมดไว้ในมือตลอดเวลา เกรงว่าต่อให้ชีวิตอยู่ในอันตราย ก็ไม่มีวันยอมปล่อยมือจากอำนาจโดยง่าย
แต่…
ไฉนเขาจึงต้องพิษอย่างกะทันหันเช่นนี้?
ฉู่สวินหยางยิ่งครุ่นคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ ได้แต่เงยหน้ามองเหยียนหลิงจวินอีกครั้ง
“เรื่องนี้ เจ้าว่าไม่น่าสนใจอยู่หรอกหรือ?” เหยียนหลิงจวินกลับเล่นเจ้าล่อเอาเถิดกับนาง เอ่ยขึ้นยิ้มๆ
“หืม?” ฉู่สวินหยางตะลึง จากนั้นก็คิดตามทัน สีหน้าจึงยิ่งเคร่งขรึมกว่าเดิมอีกหลายเท่า
ดังนั้นเหยียนหลิงจวินจึงกล่าวสืบไปว่า “ไม่ว่าหมอหลวงจางจะวินิจฉัยออกมาอย่างไร ขอเพียงฮ่องเต้ยังไม่ทรงสวรรคต หลังจากข้ากลับมาแล้วย่อมต้องไปจับชีพจรให้ฝ่าบาทแน่นอน แต่เขากลับไม่ได้ปฏิเสธ แม้ว่าพิษชนิดนั้นจะปรุงออกมาให้มีลักษณะพิเศษ จนแทบจะมองไม่ออกแล้วก็ตาม แต่หากต้องจับชีพจรวินิจฉัยออกมานั้น ไม่ใช่เรื่องยากอันใด ฝ่ายตรงข้าม…”
เขาพูดแล้วก็ยกมุมปากโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม ในรอยยิ้มเป็นประกายนั้นช่างเพลิดเพลินยิ่งนัก “ดูเหมือนว่าเขาไม่เกรงกลัวว่าข้าจะรู้ หรืออาจจะ…คาดเดาไว้แล้วว่าหลังจากข้ารู้เรื่องนี้แล้ว คงจะไม่เปิดโปงเขาในทันที ดังนั้นจึงกระทำเรื่องเช่นนี้อย่างอุกอาจ”
เขาจับชีพจรให้ฝ่าบาทเมื่อสองวันก่อน แต่ทางวังหลวงกลับไม่มีความเคลื่อนไหวใดใด
หากจะคาดการณ์จากมุมนี้แล้วนั้น เหยียนหลิงจวินแน่ใจแล้วว่า…
สิ่งที่หมอหลวงจางทูลถวายรายงานแก่ฮ่องเต้นั้น ไม่ได้บอกว่าเขาต้องพิษแน่นอน
ไม่เช่นนั้น หากฝ่าบาททราบความจริง ส่วนหมอหลวงกลับปิดบังเบื้องสูงเช่นนี้ ในเวลานี้…
ศีรษะของเขาก็น่าจะตกลงสู่พื้นเรียบร้อยแล้ว
มีคนฉวยโอกาสใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์ของเขาและฉู่สวินหยาง? รู้และคิดแทนคนของวังบูรพา ในขณะที่องค์ชายรัชทายาทไม่อยู่ในเมืองหลวง เขาผู้นั้นจะคิดและตัดสินใจแทนฉู่สวินหยางเอง ปกปิดเรื่องนี้
หากว่าเรื่องที่ฮ่องเต้ต้องพิษถูกแพร่งพรายออกไปในเวลานี้ ย่อมเกิดศึกภายในแน่นอน วังบูรพาไม่มีผู้ใดที่จะตัดสินใจเด็ดขาด จึงจำเป็นจะต้องมีผู้มาจัดการเรื่องนี้
ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการทำเรื่องนี้…
ช่างน่าสนใจยิ่งนัก
ไม่เพียงแต่คาดเดาปฏิกิริยาของเขาและฝ่าบาทได้อย่างแม่นยำ ที่สำคัญที่สุด…
เป็นผู้ใดที่สามารถปิดบังหูตาของคนทั้งหมดได้ แล้วลงมือวางยาพิษฝ่าบาท?
“ไม่ใช่ฉู่ฉีเหยียนแน่นอน” ฉู่สวินหยางหลังจากครุ่นคิดแล้วได้ข้อสรุปเช่นนี้
“ใช่แล้ว เวลานี้เขาอยู่ไกลเป็นพันลี้ เขาไม่สามารถเข้าถึงสถานการณ์ของเมืองหลวงในขณะนี้ได้ คงไม่มีกำลังความสามารถที่จะมาทำเรื่องเหล่านี้แทนผู้อื่น” เหยียนหลิงจวินวิเคราะห์
ฉู่สวินหยางครุ่นคิด “อย่างไรให้ข้าสั่งการให้พ่อบ้านเจิงไปตรวจสอบดูเถิด ดูว่ายังมีเบาะแสอื่นหรือไม่”
นางคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยกับเหยียนหลิงจวิน “ฝ่าบาทถูกพิษร้ายแรง ยังมีวิธีรักษาหรือไม่?”
“คงเป็นเพราะต้องการตบตาผู้อื่น พิษของยาชนิดนั้นไม่รุนแรง แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะถอนอออกมาไม่ได้ คำนวณดูแล้วหลังจากนี้หากไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย ชีวิตของฝ่าบาทก็น่าจะอยู่ในราวๆ สองปี” เหยียนหลิงจวินกล่าว เขารู้ดีว่าฉู่สวินหยางไม่มีความผูกพันเช่นปู่หลานกับฮ่องเต้ ดังนั้นน้ำเสียงที่เขาใช้ค่อนข้างผ่อนคลาย
—————————————————–