พอได้ยินนายใหญ่เฉินพูดถึงแม่นางเฉิง เฉินตันเหนียงที่กำลังนั่งอยู่ใต้เฉลียงดูแม่นมเล่นตกอูฐ[1]อยู่ก็รีบหันไปมอง
“ท่านปู่ แม่นางเฉิงไปได้เกือบเดือนแล้วเจ้าค่ะ” นางเอ่ยบอกพลางลุกขึ้นวิ่งไปหา
นายใหญ่เฉินยิ้มให้นางพลางหยิบแผนที่บนโต๊ะเตี้ยทรงยาวขึ้นมาม้วนหนึ่ง
นี่คือแผนที่ที่คัดลอกมาจากวังหลวง ไม่ได้มีกันง่ายๆ ซ้ำราคาก็เป็นพันๆ ชั่ง
เฉินเซ่ารีบลุกขึ้นช่วยนายใหญ่เฉินกางออก มีเฉินตันเหนียงยืนดูอยู่ข่างๆ ด้วยความสนใจใคร่รู้
นายใหญ่เฉินค่อยๆ กวาดตามองอย่างช้าๆ
“…เช่นนั้นแล้ว หากอิงตามการเดินทางแล้วสิบวันก่อนนางน่าจะถึงที่…” เขาเอ่ยพลางพลิกหาอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็หยุดอยู่ที่ที่หนึ่ง สีหน้าแปลกประหลาดอยู่เล็กน้อย
เฉินเซ่าเห็นบิดาเงียบไปจึงก้มหน้ามองแผนที่ สีหน้าพลันแปลกประหลาดเช่นกัน
ถนนไท่ชาง
ถนนไท่ชาง!
“ท่านพ่อ ท่านกำลังคิดอะไรน่ะ!” เขาร้องขึ้นเสียงสูง
นายใหญ่เฉินหัวเราะออกมา ดึงสายตาจากแผนที่
“เจ้ากำลังคิดอะไรข้าก็คิดอันนั้นนั่นล่ะ” เขายิ้มตอบ
เฉินเซ่าถูกบิดาจี้ใจดำเข้าสีหน้าจึงดูอึดอัดเล็กน้อย
“ข้าคิดถึงแม่นางเฉิง” เฉินตันเหนียงเห็นโอกาสต่อบทสนทนาจึงรีบเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเจื้อยแจ้วอยู่ข้างๆ
นายใหญ่เฉินหัวเราะออกมายกใหญ่
เฉินเซ่าลุกขึ้นลากลับห้องหนังสือ เขาหยิบตำราขึ้นมาดูครู่หนึ่งก็วางลง
รายงานที่เฝิงหลินเขียนมามีเนื้อความว่า ขบวนที่ผ่านทางมาช่วยเหลือเขานั้นมีด้วยกันประมาณยี่สิบคน มาจากเมืองหลวง คุ้มกันหญิงสาวนางหนึ่ง…
หญิงสาว!
ในเหตุการณ์นั้นผู้ที่ยิงคนตายไปสองคน…
คงจะไม่ใช่คนบ้าแห่งเจียงโจวคนนั้นอีกกระมัง
ณ พระราชวัง ขันทีสองนายก็กำลังช่วยกันกางแผนที่ออกเช่นกัน
จิ้นอันจวิ้นอ๋องลุกขึ้นมาดูใกล้ๆ พลางชี้ไปบนแผนที่
“อิงตามทางเท้าแล้ว วันนี้น่าจะถึงที่นี่…” เขาเอ่ยพลางมองอย่างตั้งใจด้วยรอยยิ้ม
เสียงฝีเท้าดังขึ้นที่หน้าประตู
“ฝ่าบาทช้าหน่อยพ่ะย่ะค่ะ…”
ในขณะเดียวกันนั้นก็มีขันทีจงใจเอ่ยขึ้นเสียงดัง
จิ้นอันจวิ้นอ๋องไม่ได้หันไปมองจนกระทั่งเด็กน้อยด้านหลังโผเข้ามาหา
“ท่านพี่กำลังดูอะไรอยู่หรือ” องค์ชายรองเอ่ยถามพลางกอดแขนเขาเอาไว้
จิ้นอันจวิ้นอ๋องสะบัดแขนออกแล้วพาเขามาด้านหน้า
“แผนที่น่ะ” เขาบอก
“แผนที่คืออะไรหรือ” องค์ชายรองเอ่ยถาม มองม้วนภาพแผ่นใหญ่ “คือภาพวาดหรือ”
บนนั้นมีเส้นโค้งและจุดเต็มไปหมด ไม่สวยสักนิด
“แผนที่ก็คือ…ใต้หล้า” จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มบอกพลางชี้ให้เขาดู “เจ้าดูสิ ตรงนี้คือเมืองหลวง…”
องค์ชายรองขยับเข้าไปใกล้ด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“เมืองหลวงหรือ!” เขาเอ่ยขึ้น นิ้วมือน้อยๆ ป้อมๆ ชี้ตรงตำแหน่งนั้นตาม “ยังเล็กกว่านิ้วมือข้าอีก”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหัวเราะออกมายกใหญ่ ยื่นมือไปเคาะหัวเขา
“นี่คือการย่อขนาด มิฉะนั้นใต้หล้าที่กว้างใหญ่ไพศาลจะมาอยู่ในกระดาษแผ่นเดียวได้อย่างไร” เขาบอก “เดี๋ยวพอเจ้าโตขึ้นอีกหน่อยยามท่านอาจารย์สอนเรื่องดาราศาสตร์ ภูมิศาสตร์เจ้าก็จะเข้าใจเอง”
องค์ชายรองส่งเสียงอ้อออกมา แล้ววอแวจิ้นอันจวิ้นอ๋องให้บอกสถานที่บนแผนที่ว่าตรงนี้คือที่ใด ตรงนั้นคือที่ใด จิ้นอันจวิ้นอ๋องก็ค่อยๆ บอกเขาในแต่ละที่ เล่นสนุกอยู่ครู่หนึ่งก็ให้เขากลับไปอยู่เป็นเพื่อนฮองเฮา
“ฮองเฮาเหนียงเหนียงชอบถามเรื่องเรียนของข้า…” องค์ชายรองยื่นมือจับแขนเสื้อจิ้นอันจวิ้นอ๋องลีลาไม่ยอมกลับ
“นั่นเป็นเพราะฮองเฮาเหนียงเหนียงห่วงใยเจ้า แม้เจ้าจะไม่ใช่ลูกของนาง แต่นางก็เลี้ยงเจ้ามา นางใกล้ชิดเจ้าจึงได้เป็นเช่นนี้” จิ้นอันจวิ้นอ๋องนั่งยองๆ ยิ้มให้เขาแล้วเอ่ยว่า “ยิ่งรักมากก็ยิ่งเข้มงวดมาก เจ้าดูข้าสิ อยากถูกคนห่วงใยเช่นนั้นบ้าง…”
เขาพูดถึงตรงนี้ก็รีบหยุด แล้วเปลี่ยนเรื่องไปทันที
“…มีคนตั้งเท่าใดที่อยากถูกห่วงใยแต่กลับไม่ได้รับ”
องค์ชายรองคล้ายเข้าใจคล้ายไม่เข้าใจ แต่ก็พยักหน้าพลางส่งเสียงอ้อตอบกลับไป
“เจ้าดีต่อผู้อื่น ผู้อื่นย่อมสัมผัสได้ แต่ต้องดีต่อเขาด้วยความจริงใจด้วย” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยพลางตบหน้าอกตัวเอง
“ข้ารู้ ข้าสัมผัสได้ว่าท่านพี่จริงใจต่อข้า” องค์ชายรองพูดอย่างมีความสุข
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหัวเราะออกมายกใหญ่ ยื่นมือไปบีบแก้มยุ้ยๆ ของเขา
“เช่นนั้นก็รีบไปเถิด” จิ้นอันจวิ้นอ๋องบอก
พอเขาส่งองค์ชายรองเสร็จก็ให้คนเก็บแผนที่แล้วตัวเขาเองมานั่งอยู่หน้าโต๊ะ
“ฝ่าบาท ได้เวลาทานยาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีถือถ้วยยาพลางเอ่ยบอก
“ถึงเวลาอีกแล้วหรือ” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยถาม
“พ่ะย่ะค่ะ นี่ปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้ว” ขันทีเอ่ยตอบ
จิ้นอันจวิ้นอ๋องยกมือกดหน้าอกไปมาแล้วพยักหน้า
“เวลาผ่านไปไวจริง เจ้าไม่เตือนก็คงลืมไปแล้ว เริ่มเจ็บขึ้นมาแล้วล่ะ” เขาเอ่ยพลางรับถ้วยยามา เงยหน้ายกดื่มจนหมด “ต้องกินยานี้อีกกี่ปีหรือ”
ขันทีที่นั่งอยู่บนพื้นด้านข้างนับนิ้ว
“กินไปห้าปีแล้ว เหลืออีกสามปีพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีตอบ
จิ้นอันจวิ้นอ๋องแย้มยิ้ม
“ห้าปีแล้ว” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจแล้วลูบคางนึกย้อนไปถึงวันเก่าๆ
แม้ว่าช่วงเวลานั้นจะไม่มีความสุขก็ตาม
“เวลาผ่านไปไวจริงๆ” เขาเอ่ยแล้วก้มหน้าลง “ไม่ว่าสิ่งใดล้วนต้องผ่านไปทั้งนั้น”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ความลำบากขื่นขมทั้งหลายล้วนต้องผ่านไปทั้งนั้น” ขันทีกัดฟันเอ่ย
จิ้นอันจวิ้นอ๋องส่งเสียงอืมแล้วไม่ได้เอ่ยอะไรอีก แต่กางกระดาษแผ่นหนึ่งออก บนนั้นเป็นจดหมายที่เขียนไปได้ครึ่งหนึ่งแล้ว
ขันทีก้มหน้าคำนับแล้วลุกขึ้นเดินออกไป หันกลับมามองเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ในตำหนักคราหนึ่ง
ห้าปีแล้ว…
แต่เขากลับจำได้ชัดเจน ภาพเด็กน้อยที่กลับมาจากงานเลี้ยงของตระกูลใหญ่นอนหมอบอยู่บนตัวเขาอาเจียนออกมาเจียนตาย…
หากหมอหลวงหลี่ไม่ช่วยชีวิตเอาไว้ เกรงว่ายามนี้คงจะกลายเป็นเถ้ากระดูกไปแล้ว
แม้ว่าจะช่วยเอาไว้แล้ว แต่พิษที่เหลืออยู่ก็ไม่อาจกำจัดออกไปจดหมดได้ ปลายสารทต้นเหมันต์ของทุกปีจึงจำต้องกินยา
ตั้งแต่นั้นมา เด็กคนนี้ก็ได้รู้แจ้งว่าเรื่องบางเรื่องไม่เพียงแต่เป็นเรื่องน่าหวาดกลัวของขันทีนางกำนัลเท่านั้น ความตายเกิดขึ้นได้จริงๆ ภายในวังแห่งนี้ เขาไม่เพียงจะเป็นลางดีของเหล่าสนมเท่านั้น ยังเป็นเสี้ยนหนามของคนบางพวกด้วย
“…อีกทั้งคนที่มองเราเป็นเสี้ยนหนามและเกลียดเราพวกนั้น หลายครั้งหลายคราที่เป็นคนที่เคยชอบเรามาก่อน…”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหยุดพู่กัน ใคร่ครวญครู่หนึ่งจึงเขียนต่อ
“…ดังนั้นทุกอย่างจะผ่านไป ทั้งขมขื่น ทั้งชื่นมื่น สรรพสิ่งล้วนไม่จีรังคงอยู่ตลอดไป…”
แล้วจะมีสักวันที่ยามนี้เวลานี้จะผ่านไปหรือไม่
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหยุดพู่กันอีกครั้ง
ความคิดถึงห่วงใย โปรดปรานในยามนี้ สหายที่ดูเหมือนคุ้นเคยแต่ก็แปลกหน้า…
เขากำกระดาษอย่างไม่ทันรู้ตัว
เหมือนกับคนข้างกาย เหมือนพ่อ แม่ พี่น้อง ฝ่าบาท พระสนม องค์ชาย…
เขายื่นมือขยำกระดาษในมือที่อยู่ตรงหน้าทิ้ง แต่จิตใจก็ยังยากที่จะสงบลง รีบลุกขึ้นไปเก็บขึ้นมา มองซ้ายมองขวาแล้วเปิดฝากระถางกำยานออก โยนก้อนกระดาษเข้าไป ไม่นานก็มีควันลอยขึ้น
จิ้นอันจวิ้นอ๋องสำลักออกมานิดหน่อยแล้วปิดฝาลง เห็นควันเข้มจางหาย จิตใจจึงได้ผ่อนคลายลงในที่สุด แต่พอหันหน้าไปมองบนโต๊ะก็ขมวดคิ้วขึ้นมาอีก
“ยังไม่ได้เขียนจดหมาย…” เขาพึมพำกับตัวเอง ลุกขึ้นเดินกลับมา “ก่อนจะจากไปก็ไม่ได้ไปส่ง ถ้ายังไม่เขียนจดหมายหาด้วยอีก ก็คงไม่ใช่การกระทำของสหายแล้ว…”
กลางดึกในฤดูสารทน้ำค้างแรง เหล่าสนมในวังหลังสถานที่ที่ไปได้จึงน้อยลงมาก มีกุ้ยเฟยนำหน้าไปกราบทูลไทเฮาให้ซ่อมระเบียงใหม่ จะได้ทอดมองป่าเมเปิ้ลที่อยู่ไม่ไกลได้ สีแดงดุจเพลิงไปทั้งผืนป่างดงามยิ่ง ที่นี่จึงกลายเป็นสถานที่ที่เหล่าสนมโปรดปรานที่สุด
ยามที่กุ้ยเฟยมาถึง ไทเฮาก็กำลังพูดคุยอยู่กับเหล่าสนมอยู่ องค์ชายใหญ่ก็อยู่ด้วย เขาเพิ่งจะแต่งกลอนเสร็จ ยามนี้กำลังได้รับความชื่นชมจากเหล่าสนมอยู่
“เหตุใดจึงไม่เห็นลิ่วเกอร์เล่า” กุ้ยเฟยยิ้มถามพลางส่งสัญญาณให้เหล่าสนมไม่ต้องมากพิธี แล้วนั่งลงยังตำแหน่งต่ำกว่าไทเฮา “วันนี้อากาศน่าออกมาเดินเล่นนัก”
“คงยุ่งอยู่กับการเรียนกระมังเพคะ” สนมนางหนึ่งยิ้มบอก
“ฮองเฮาช่างเข้มงวดเกินไปแล้ว ลิ่วเกอร์ยังเด็กอยู่แท้ๆ” กุ้ยเฟยส่ายหน้าเอ่ย
ไทเฮาหัวเราะขึ้น
“เปล่าหรอก เมื่อครู่ข้าให้คนไปตามแล้ว ได้ความว่าอยู่กับฮ่องเต้” ไทเฮาเอ่ย
อยู่กับฮ่องเต้หรือ
คนอื่นยังพอทำเนา รอยยิ้มบางของกุ้ยเฟยนิ่งค้าง ครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ผุดลุกขึ้น
“ข้าจะไปเรียกเขามา” นางเอ่ยพลางยิ้มมองบรรดาสนม “แล้วก็เชิญเสด็จฮ่องเต้ด้วยเลย”
ประโยคนี้ทำเอาเหล่าสนมต่างเปรมปรีกันนัก พากันเร่งให้กุ้ยเฟยรีบไป กุ้ยเฟยมองไทเฮาครู่หนึ่ง ไทเฮายิ้มแล้วโบกมือให้นาง กุ้ยเฟยจึงได้คำนับแล้วจากไป
“ฝ่าบาทอยู่ที่ตำหนักฝูหนิงพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีที่เดินนำเอ่ยบอก
กุ้ยเฟยเดินเข้ามา ขันทีของตำหนักฝูหนิงเห็นเข้าก็รีบเข้าไปต้อนรับ
“เหนียงเหนียงโปรดรอสักครู่ บ่าวจะไปรายงานให้” ขันทีเอ่ย
กุ้ยเฟยพยักหน้า เห็นขันทีเดินเข้าไปแต่ไม่ได้ปิดประตู จึงได้ยินเสียงที่ดังขึ้นจากในห้อง
“…ลิ่วเกอร์จะปรนนิบัติฮองเฮาให้เสวยยาก่อนแล้วค่อยไปหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ ข้าจะบอกอะไรให้นะเสด็จพ่อ ท่านอย่าได้บอกคนอื่นว่าเหนียงเหนียงไม่ชอบกินยาเพราะมันขม หากไม่เฝ้านางไว้นางก็จะไม่ยอมกิน”
เสียงหัวเราะของฝ่าบาทดังขึ้นมาจากในตำหนัก เสียงนั้นเต็มไปด้วยความสุข
กุ้ยเฟยเบะปาก เจ้าเด็กอ้วนตัวน้อยคนนี้รู้จักพูดนัก รู้ว่าฮ่องเต้ทรงชอบให้เคารพเชื่อฟังมากๆ…
“…เสด็จพ่อ เสด็จพ่อ ข้ารู้ดีว่านี่คือใต้หล้าของเสด็จพ่อ…”
“…หืม ลิ่วเกอร์รู้จักใต้หล้าด้วยหรือ”
“…ข้าย่อมรู้ ข้ายังรู้ด้วยว่าจะดูใต้หล้าของเสด็จพ่ออย่างไร…เสด็จพ่อ ท่านดูสิพ่ะย่ะค่ะ ตรงนี้คือเมืองหลวง ตรงนี้คือเขาไท่ซาน…นี่คือ…แม่น้ำหวงเหอ…”
เสียงหัวเราะของฮ่องเต้ดังขึ้นภายในตำหนัก
“ดี ดี ลิ่วเกอร์ฉลาดจริงๆ มา ในเมื่อเจ้าชอบ พ่อก็จะอุ้มเจ้าดูใต้หล้านี้…”
ประโยคนี้ดังขึ้น ใจกุ้ยเฟยพลันกระตุก นางเดินเข้าไปก้าวหนึ่งชะโงกตัวมองภายในห้องอย่างอดไม่ได้
ร่างผอมซีดร่างหนึ่งอุ้มเด็กน้อยขึ้นมา ณ ภายในตำหนักใหญ่ ยืนนิ่งอยู่หน้าแผนที่ผ้าฝ้ายที่แขวนไว้บนกำแพง รอยยิ้มของสองพ่อลูกเจิดจรัส พากันชี้ไปยังภูเขาแม่น้ำ
มือของกุ้ยเฟยกำผ้าคลุมไหล่ผืนยาวและบางที่ห้อยอยู่ด้านหน้าเอาไว้
“ฝ่าบาท กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
“เข้ามาเถิด”
กุ้ยเฟยยืนตัวตรง รอยยิ้มบนใบหน้างดงามหมดจด ย่างเท้าเข้าไปในตำหนัก
บรรยากาศของฤดูสารทค่อยๆ จางหาย ปั้นฉินเหม่อมองออกไปยังผืนพรมสีทองทั่วท้องทุ่งกว้างถูกม้วนเก็บไป เผยให้เห็นผืนดินสีดำมีชาวนาชาวไร่กำลังยุ่งอยู่กับการเพราะปลูกในฤดูหนาวมาแทน
“นายหญิง นายหญิงยังจำที่นี่ได้หรือไม่เจ้าคะ”
ปั้นฉินดึงสายตากลับมาจากถนน มองประตูเมืองที่อยูไกลๆ เบื้องหน้า เอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้นเล็กน้อย
ตั้งแต่ออกจากไท่ชางมา เส้นทางที่พวกนางใช้นั้นเป็นเส้นเดียวกันกับทางกลับบ้านจากปิ้งโจว
“จำได้สิ” เฉิงเจียวเหนียงบอก
ตอนไปเมืองหลวงก็ผ่านทางนี้
“ไม่ใช่ ข้าหมายถึงตอนที่พวกเรา…ด้วยกัน” ปั้นฉินเอ่ยพลางยกมือขึ้นชี้ตัวเอง
เฉิงเจียวเหนียงแย้มยิ้ม
“หลังจากเจ้าไป ความจำของข้าจึงกลับคืนมา” นางเอ่ย
ดังนั้นจึงจำไม่ได้แน่นอน
ปั้นฉินหัวเราะ
“นั่นคืออำเภอถงเจียงเจ้าค่ะ” ปั้นฉินบอก
“ท่านชายหาน” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยขึ้น
ปั้นฉินยิ้มแล้วพยักหน้า รถเคลื่อนตัวเข้าประตูเมือง พ่อบ้านเฉาได้ส่งคนล่วงหน้ามาจองโรงเตี๊ยมเรียบร้อยแล้ว จึงขับรถม้ามุ่งตรงไปที่นั่น
นางลงรถที่หน้าโรงเตี๊ยม จากนั้นผู้ติดตามก็ขับรถม้าไปจอดไว้ด้านหลัง
ในขณะที่เฉิงเจียวเหนียงใส่ผ้าคลุมยาวคลุมหน้าลงรถม้ามา รถม้าของท่านชายหวังสิบเจ็ดกลับไร้การเคลื่อนไหว บ่าวชรายืนรออยู่หน้ารถอย่างกระอักกระอ่วน
“ท่านชายรีบลงมาเถิดขอรับ…” เขากดเสียงต่ำบอก
“ไม่ลง ข้าไม่พัก ข้าจะเดินทางต่อ…”
เสียงอู้อี้ของท่านชายหวังสิบเจ็ดดังขึ้นภายในรถ
“ท่านชาย หากเดินทางต่อคงต้องพักตามท้องตามทุ่งแล้ว ท่านไม่กลัวเจอหมาป่าหรือขอรับ” บ่าวชรากระซิบถาม
“ไม่กลัว คนน่ากลัวกว่าหมาป่านัก” ท่านชายหวังสิบเจ็ดรีบตอบ
ประโยคนี้คุ้นหูนัก…
นายหญิงเคยพูดไว้ไม่ใช่หรือ
บ่าวชราไม่รู้จะทำอย่างไรดี หันไปเห็นพวกเฉิงเจียวเหนียงเดินเข้าไปกันแล้ว ผู้ติดตามตระกูลโจวก็รีบควบม้าไปพักไว้ด้านหลัง หน้าประตูจึงเหลือแต่รถของพวกเขา เด็กในร้านที่ยืนต้อนรับอยู่ด้านข้างต่างพากันสงสัย
“เอ่อ พวกท่านมาด้วยกันใช่หรือไม่” พวกเขาเอ่ยถาม
“ใช่ ใช่” บ่าวชรารีบตอบพลางมองผ้าม่านรถ “ท่านชายขอรับ หากท่านไม่ลงมาอีก แม่นางเฉิงโกรธขึ้นมาคงมาตามท่านด้วยตัวเอง…”
ยังไม่ทันจบประโยคดี ผ้าม่านก็ถูกเปิดออก
เหล่าเด็กในร้านดูไม่ทันชัดว่าคนที่ลงรถมานั้นรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร รู้สึกถึงลมหอบใหญ่ที่เขาวิ่งผ่านไป คล้ายได้ยินเขาพึมพำว่า
“…วันนี้ได้ตายแน่แล้ว…”
…………………………….
[1] เล่นตกอูฐ การละเล่นชนิดหนึ่งในราชวงศ์ถัง อูฐในที่นี้คือแมลงชนิดหนึ่งมีโหนกอยู่บนหลังเหมือนอูฐ