หน้าต่างของโรงเตี๊ยมเป็นหน้าต่างบานซี่ ปั้นฉินที่ยืนอยู่ด้านข้างมองผ่านช่องหน้าต่าง กวาดสายตามองบนลงล่าง

“นายหญิง นายหญิง” นางตะโกนเรียก “ข้านึกออกแล้ว ข้ามักจะไปซื้อผักที่ตรงนั้น…”

นางเอ่ยแล้วเหลียวมามอง

“เรื่องที่ลูกชายบ้านตระกูลใบ้ป่วย ข้าก็ได้ยินมาจากที่นั้น ตอนนั้นพวกเราหาเงินได้ตั้งห้าร้อยเชียวนะเจ้าคะ”

เฉิงเจียวเหนียงขานรับ สายตามองหนังสือในมือ

ปั้นฉินยังคงมองออกไปข้างนอก ยามนี้ก็ใกล้ค่ำแล้ว ผู้คนบนท้องถนนเริ่มพากันแยกย้าย

ในตอนนั้นพวกนางอยู่ที่นี่นานพอสมควร ทั้งยังได้เดินเที่ยวไปทั่ว จะว่าไปแล้วก็ถือว่าคุ้นเคยเส้นทางอยู่เหมือนกัน

ตอนนั้นที่ที่พวกนางอยู่…

ปั้นฉินเขย่งเท้ามองออกไปด้านนอกอย่างอดไม่ได้

“นายหญิงเจ้าคะ” นางหันกลับมาอีกครั้ง “นายหญิง”

เฉิงเจียวเหนียงวางหนังสือในมือลงแล้วหันไปมองนาง

“นายหญิง พวกเราออกไปเดินเล่นข้างนอกกันเถอะเจ้าค่ะ” ปั้นฉินเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะคุกเข่าลง นางเอ่ยพลางดึงชายเสื้อของเฉิงเจียวเหนียง

เฉิงเจียวเหนียงหยิบหนังสือขึ้นมาอีกครั้ง

“ข้าจำเรื่องราวที่นี่ไม่ได้ จะออกไปเดินเพื่อเหตุใดเล่า” นางเอ่ย

ปั้นฉินยิ้มพลางเขย่าแขนเสื้อของนาง

“นายหญิง ไปเถอะเจ้าค่ะ” นางเอ่ย “อุดอู้อยู่ในห้องเช่นนี้ น่าเบื่อจะตายไป”

เฉิงเจียวเหนียงมองนางด้วยสีหน้าประหลาดใจ

“นับวันเจ้านี่ช่างใจกล้ามากขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะ” นางเอ่ยพลางคลี่ยิ้มบาง

“ไปเถอะเจ้าค่ะ ไปเถอะเจ้าค่ะ นายหญิง พวกเราจากปิ้งโจวมาอยู่เรือนตระกูลเฉิง จากเรือนตระกูลเฉิงไปอยู่เมืองหลวงอีก อยู่เมืองหลวงก็ดีอยู่แล้ว ยังต้องกลับมาอีก หากนายหญิงไม่อยู่ในรถม้าก็อยู่ในห้อง ไม่ก็อยู่แต่ในเรือน นายหญิงเจ้าคะ นายหญิงไม่เคยได้ออกไปดูทิวทัศน์ ไม่เคยออกไปเที่ยวเล่นเลยนะเจ้าคะ” ปั้นฉินเอ่ย

เฉิงเจียวเหนียงวางหนังสือในมือลง ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปทางประตู

ปั้นฉินตั้งตัวไม่ทันจนชะงักไปครู่หนึ่ง ทั้งตกใจทั้งดีใจจนเดินตามออกไป

“นายหญิง ท่านจะออกไปจริงๆ หรือเจ้าคะ ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง”

“ได้ยินเจ้าพูดเช่นนั้น ข้าก็รู้สึกว่าตัวเองน่าสงสารนัก ข้าเองก็ปวดใจเช่นกัน”

“นายหญิง หยอกข้าเล่นหรือเจ้าคะ”

“ไม่น่าจะใช่ เจ้าไม่เห็นหัวเราะเลย”

“ฮ่าฮ่าฮ่า…”

เสียงเกี๊ยะไม้ดังก๊อกแก๊กบนพื้นหินริมแม่น้ำ ตามมาด้วยเสียงหัวเราะชอบใจของเด็กน้อย

“บินไปแล้ว… บินไปแล้ว…”

สองสาวใช้อายุราวสิบกว่าปีปรบมือตะโกน จูงมือเด็กหญิงวัยห้าหกขวบในชุดสีแดงปักดิ้นไหมทองลายผีเสื้อ พลางชี้นิ้วให้มองตาม

สองบ่าวหนุ่มอายุราวสิบกว่าปีวิ่งประกบหน้าหลัง ในมือถือเชือกเส้นหนึ่งผูกกับผีเสื้อกระดาษตัวโตที่โบยบินล่องลอยบนท้องฟ้า

ทั้งยังมีเหล่าแม่นมอีกสี่คนที่มองมาด้วยรอยยิ้มอยู่ที่ริมกำแพง

“ข้าก็อยากเล่น ข้าก็อยากเล่น” เด็กหญิงตัวน้อยตะโกนบอก พลางเอื้อมมืออกไป ทว่าเกี๊ยะไม้บนพื้นหินนั้นทำให้ย่างก้าวของนางไม่มั่นคงสักเท่าไหร่

เหล่าสาวใช้รีบตะโกนให้บ่าวหนุ่มนำผีเสื้อกระดาษมาให้

บ่าวหนุ่มรีบวิ่งมาอย่างระวังก่อนจะคุกเข่าลงแล้วยื่นม้วนเชือกให้แก่เด็กหญิง จากนั้นจึงวิ่งนำนางออกไปข้างหน้า

เด็กหญิงชอบใจนัก เลียนแบบท่าทางของบ่าวหนุ่มเมื่อครู่ ชูม้วนเชือกขึ้นพลางเดินก้าวไปข้างหน้า

ทว่านางนั้นเล่นไม่เป็นทั้งยังวิ่งช้า บ่าวหนุ่มเองก็ไม่กล้าจะเอาอกเอาใจด้วยการช่วยดึงเชือก ทำได้เพียงมองว่าวกระดาษค่อยๆ ลอยล่องตกลงมา จังหวะที่ร่วงลงสู่พื้นก็กระทบกับคนที่เดินมาพอดี…

“ไอ้หยา!”

เสียงร้องตกใจดังขึ้นตามๆ กัน

เด็กหญิงปล่อยเชือกในมือลง ก่อนจะยู่ปากอยากขัดใจ

เหล่าแม่นมกลั้นหัวเราะ ก่อนจะรีบเดินเข้าไปหา

ปั้นฉินยกมือขึ้นมาหยิบว่าวกระดาษที่ร่วงลงมาบนตัวของนาง

“ขออภัย ขออภัย” แม่นมเข้ามาขอโทษขอโพย

ปั้นฉินยิ้ม มองดูเด็กหญิงที่แอบอยู่หลังสาวใช้ สีหน้าดูตื่นกลัวกังวลใจ

นางเป่าลมใส่ว่าวกระดาษสองสามที

“โชคร้ายอย่าได้มาเยือน โชคร้ายอย่าได้มาเยือน” นางเอ่ยพลางมองว่าวกระดาษในมือ “ช่างงามนัก”

หากว่าวกระดาษร่วงโดนคนหรือค้างบนหลังคา เชื่อกันว่าจะนำพาเรื่องร้ายมาให้ ถนนหน้าประตูเรือนตระกูลจางนั้นผู้คนบางตา แต่เป็นเพราะเอาแต่จดจ้องคอยระวังเด็กหญิงตัวน้อย จึงไม่ทันได้สังเกตว่ามีคนเดินมาตั้งแต่เมื่อใด แม่นมเองก็ร้อนใจนัก พอเห็นว่าสาวใช้ไม่ได้ขุ่นเคืองแค่อย่างใด ทั้งยังยิ้มดังเดิม พอหันไปมองแม่นางน้อยที่สวมหมวกคลุกหน้าด้านหลังไม่เอ่ยคำใด บ่าวที่ติดตามมาอีกสี่คนก็เหมือนจะไม่เอาความ เหล่าแม่นมจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก

ปั้นฉินยิ้มพลางคำนับกลับ ก่อนจะก้าวเดินไปข้างหน้า

“พวกเจ้ามาหาผู้ใดหรือ” แม่นมนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะถามออกมา

บนถนนเส้นนี้ไม่มีเรือนของตระกูลอื่นแล้ว ฟังจากสำเนียงของสาวใช้ก็รู้ว่าไม่ใช่คนที่นี่

“เปล่าจ้ะ” ปั้นฉินเอ่ยพลางชี้นิ้วไปข้างหน้า “พวกเรามาดูบ้านน่ะ”

ด้านหน้ามีเรือนเดี่ยวริมน้ำอยู่สองสามหลัง

“อ๋อ จะมาเช่าบ้านหรือ” แม่นมถาม นางเข้าใจในทันใดก่อนจะยิ้มเอ่ยออกมา “เรือนหลังนั้นไม่ปล่อยเช่าหรอก”

“ไม่ปล่อยเช่าแล้วหรือ” ปั้นฉินถามอย่างตกใจ

“ใช่แล้ว มีเจ้าของแล้ว” แม่นมเอ่ย

“ขายไปแล้วหรือ” ปั้นฉินเอ่ย ทั้งตกใจทั้งเศร้าใจก่อนจะมองไปทางเรือนหลังนั้น

หน้าประตูเรือนปัดกวาดเสียสะอาดหมดจด บนประตูหรือกำแพงไม่มีหญ้าขึ้น แสดงว่ามีคนคอยดูแลอยู่ทุกวัน

“ใช่แล้ว เป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตข้าไว้” เด็กหญิงเอ่ยแทรกขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

ผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตอย่างนั้นหรือ

ปั้นฉินมองไปที่นาง

เด็กคนนี้…

“หากพวกเจ้าจะเช่าบ้าน ไปดูแถบบถนนตงเจียไม่ดีกว่าหรือ” แม่นมแนะนำอย่างเป็นกันเอง

“นายหญิง นายหญิง ท่านดูสิเจ้าคะ” ปั้นฉินเหลียวกลับมาอย่างตื้นเต้น นางเอ่ยกับเฉิงเจียวเหนียง พลางหันกลับไปมองที่เด็กหญิงตัวน้อย

ดูอะไรหรือ

แม่นมชะงักไปครู่หนึ่ง พวกนางมองไปตามสายตาของปั้นฉิน

คุณหนูของพวกนางนั้นน่ารักน่าชัง นับวันยิ่งสวยขึ้นก็ว่าได้…

พอเห็นทุกสายตามองมาที่ตน เด็กหญิงก็ย่นคอหลบหลังสาวใช้ในทันที

“เจ้าจำข้าได้หรือไม่…” ปั้นฉินเอ่ยอย่างดีใจ ทว่าพูดยังไม่ทันจบก็นึกขึ้นได้ว่ายามนั้นเด็กหญิงถูกหามเข้ามาโดยไม่ได้สติ แม้จะมีสติ แต่เด็กเล็กสามสี่ขวบจะไปจำได้อย่างไร นางยิ้มกับตัวเองก่อนจะกลืนคำพูดลงคอ “ตัวสูงขนาดนี้แล้วหรือนี่…”

ตัวสูงขนาดนี้แล้วอย่างนั้นหรือ

เด็กหญิงชะโงกหัวออกมาจากด้านหลังสาวใช้ ท่าทางสบสันงงงวยพลางมองปั้นฉินหัวจรดเท้า

แม่นมเองก็งุนงงเช่นกัน

เฉิงเจียวเหนียงเดินเข้าไป แล้วหยุดอยู่ตรงหน้าของเด็กหญิง ก่อนจะเปิดผ้าคลุมออก

เด็กหญิงตาเบิกโพลง ตกตะลึงไปชั่วขณะ

เพราะนางหันหลังให้กับแม่นม แม่นมจึงเห็นเพียงสีหน้าตกตะลึงของเด็กหญิง ทว่ามองไม่เห็นใบหน้าของเฉิงเจียวเหนียง

“เอาไปกินเถิด” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพลางยื่นถุงใบหนึ่งให้ ก่อนจะเผยยิ้มบางออกมา

ปั้นฉินกลัวว่านางจะหิว จึงตั้งใจนำขนมที่นางทำมาด้วย ถุงใบนั้นสั่งทำขึ้นพิเศษเพื่อนเรือนไท่ผิง ปั้นฉินเห็นว่าพกพาสะดวกจึงนำติดตัวมาด้วย

เด็กหญิงยื่นมือออกไปรับอย่างลังเล

แม่นมตกใจเสียยิ่งกว่า แม้นางจะยังเด็กแต่ก็รู้จักกฎระเบียบ ได้รับการอบรมมาอย่างดี จะรับของจากคนแปลกหน้าได้อย่างไร

พวกนางร้องห้ามในทันใด ก่อนรีบเข้ามาขวางไว้

ทันใดนั้นประตูเรือนก็ถูกเปิดออก

“พี่หยวน เร็วเข้าเถิด ฮูหยินเรียกหาท่าน” แม่นมสองคนร้องตะโกนขึ้นมาในทันใด

แม่นมที่อยู่ทางนี้ก็รีบขานรับ มือหนึ่งก็จูงเด็กหญิงไว้ อีกมือหนึ่งก็คว้าถุงขนมมา

ทว่าเฉิงเจียวเหนียงกลับหันหลังเดินจากไปเสียแล้ว

“แม่นาง แม่นาง ของนี่พวกข้ารับไว้ไม่ได้หรอก” แม่นมเอ่ยขึ้น

“เก็บไว้เถิด แค่ขนมเล็กน้อย” ปั้นฉินเหลียวหลังมาเอ่ยพลางยิ้มให้ ก่อนจะโค้งคำนับ “ถือเสียว่าเป็นของขวัญที่ได้พบหน้ากันอีกครั้ง”

ของขวัญที่ได้พบหน้ากันอีกครั้งอย่างนั้นหรือ

แม่นมชะงักไปครู่ใหญ่

หรือว่าจะรู้จักกันจริงๆ

“พี่หยวน ท่านรู้จักนางหรือ” พวกนางถามเด็กหญิงอย่างอดไม่ได้

เด็กหญิงยังคงเหม่อลอย

“นางช่างงามนัก…” นางตอบ

เหล่าแม่นมหลุดหัวเราะออกมา พอหันไปมองก็เห็นว่าแม่นางที่ให้ขนมมานั้นเดินลับปากทางไปเสียแล้ว แม่นมที่อยู่ในเรือนก็ยังเร่งเร้าไม่หยุด จึงทำได้เพียงปล่อยเลยตามเลย

“ท่านแม่ ท่านแม่”

เด็กหญิงถอดรองเท้าเกี๊ยะไม้ก่อนจะเดินเข้าห้องโถงไป

ฮูหยินผู้งดงามที่นั่งตรวจบัญชีอยู่วางม้วนกระดาษในมือลง ก่อนจับมือของลูกสาวด้วยรอยยิ้ม

“มีเรื่องอันใดถึงได้ดีใจถึงเพียงนี้” นางถาม

“ท่านแม่ ข้าเจอแม่นางผู้หญิง ช่างงามนัก เหมือนหญิงงามบนรูปวาดในห้องหนังสือของท่านพ่อเลยเจ้าคะ” เด็กหญิงเอ่ยด้วยดวงตาเป็นประกาย

ฮูหยินรูปงามยิ้ม

“จะมีคนงามถึงเพียงนั้นเชียวหรือ” นางเอ่ยถามเด็กหญิง

“คนงามแบบใด”

เสียงของชายหนุ่มดังขึ้นจากนอกห้อง

คนในห้องเหลียวออกไปมอง ก็เห็นว่าเป็นเด็กหนุ่มในชุดสีน้ำเงินกำลังเดินเข้ามา

“พี่หยวนเฉา” เด็กหญิงร้องตะโกนอย่างดีใจ

หานหยวนเฉาเดินเข้ามาใกล้

“สร่างเมาแล้วหรือ” ฮูหยินรูปงามเอ่ยถาม

หานหยวนเฉาท่าทางเก้อเขิน

“ต้องโทษที่ท่านลุงเขยคอแข็งนัก” เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“เขาก็เก่งแต่เรื่องพรรค์นี้แหละหนา” ฮูหยินรูปงามส่งเสียงฮึดฮัด

คนเป็นลูกหลานเองก็ไม่รู้จะตอบเช่นไรเมื่อได้ยินคำพูดนั้น หานหยวนเฉาทำตัวไม่ถูก ทำได้เพียงมือขึ้นมาขยี้จมูก ก่อนสายตาจะหันไปมองที่เด็กหญิงตัวน้อย

“พี่หยวนไปเจอหญิงงามมาหรือ” เขาถามเพื่อเปลี่ยนประเด็น

“ว่าวกระดาษของข้าตกลงมา… โดนใส่ตัว… หญิงงามช่างงามนัก เหมือนกับรูปวาดเลยเจ้าค่ะ” เด็กหญิงเล่าเรื่องเป็นฉากเป็นตอน

หานหยวนเฉาฟังแล้วก็ได้แต่หัวเราะ

“ข้าไม่เชื่อหรอก จะมีผู้ใดงามไปกว่าพี่หยวนของเราอีก” เขาเอ่ยหยอกล้อ

“มีจริงๆ นะเจ้าคะ ท่านพี่แค่ไม่เคยเห็น” เด็กหญิงเอ่ยพลางยกมือขึ้นมา “คนงามให้ของข้ามาด้วย… เอ๊ะ ของข้าล่ะ…”

แม่นมที่อยู่อีกฝั่งรีบเข้ามาหา ก่อนจะยื่นถุงใบหนึ่งให้

“ฮูหยินเจ้าคะ แม่นางผู้นั้นให้ของพี่หยวนมาเจ้าค่ะ” นางเอ่ย

ได้พบหญิงงามจริงหรือนี่

ฮูหยินรูปงามและหานหยวนเฉาชะงักไปครู่หนึ่ง

ฮูหยินรูปงามกำลังจะเอ่ยปากพูด ทว่าหานหยวนเฉากลับเอื้อมไปคว้าถุงขนมก่อนเสียแล้ว

ถุงใบนั้นถูกทำขึ้นมาอย่างประณีตบรรจง พอจะมองออกออกว่าต้องใช้ความเพียรมากถึงเพียงใด หานหยวนเฉายกถุงในมือขึ้นมาดู ก็เห็นว่ามีอักษรเล็กๆ ปักอยู่ที่มุมหนึ่ง

“เรือนไท่ผิง…” เขาอ่านออกเสียง พออ่านจบก็ชะงักไป

เหมือนกับเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน…