หันหยวนเฉาชะงักไปชั่วขณะ
“มีอะไรหรือ” ฮูหยินรูปงามถาม
“ไม่มีอะไรขอรับ” หันหยวนเฉาได้สติก่อนจะยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น ทำท่าเหมือนกำลังครุ่นคิดบางสิ่ง
เด็กหญิงเอื้อมมือออกไปหยิบขนมจากมือของหันหยวนเฉา
“ท่านแม่ ข้ากินได้หรือไม่” นางถามอย่างชอบอกชอบใจ
ฮูหยินรูปงามส่ายหน้า
“ไม่รู้จากกฎเกณฑ์เอาเสียเลย เป็นหญิงสาวกินจุบจิบได้อย่างไร แถมยังเป็นของจากคนอื่นอีก” นางเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์นัก
เด็กหญิงร้องอ๋อ ก่อนจะวางขนมลงอย่างเก้อเขิน
“พวกข้าปฏิเสธแล้วเจ้าค่ะ แต่แม่นางผู้นั้นเดินเร็วนัก จึงเรียกนางไว้ไม่ทัน…” แม่นมเอ่ยขึ้นอย่างรีบร้อนพลางสารภาพผิด
อย่างไรเสียพวกนางเองก็มีหน้าที่อบรมสั่งสอนแม่นางน้อยเช่นกัน
“นางคือผู้ใดกัน” ฮูหยินรูปงามถาม
“เป็นคนต่างถิ่นเจ้าค่ะ ดูเหมือนว่าจะมาหาบ้านเช่า ก็เลยมาหาแถวนี้” แม่นมเอ่ย
ฮูหยินรูปงามรับคำพลางเอ่ยตักเตือน ก่อนจะมองไปที่ถุงใบนั้น
“เอาไปทิ้งเสีย” นางเอ่ย
“หากเอาไปทิ้งก็น่าเสียดายนะขอรับ” หันหยวนเฉาเอ่ยก่อนจะเอื้อมมือฉวยมาก่อน “เช่นนั้นท่านป้าให้ข้าไม่ดีกว่าหรือ”
ฮูหยินรูปงามมองตาขวาง
“ตะกละเสียจริงเชียว” นางเอ่ย “รีบกลับไปเสีย ออกบ้านมาตั้งสองวันแล้ว รีบกลับไปทบทวนตำรา นานทีกว่าท่านพ่อของเจ้าจะกลับบ้านสักหน เจ้ารีบกลับบ้านเจ้าไปเสียเถิด”
หันหยวนเฉาขานรับก่อนจะคำนับแล้วออกไป
พอเห็นหันหยวนเฉาและบ่าวหนุ่มพากันควบม้าออกไป เหล่าแม่นมตระกูลจางที่ออกมาส่งก็หันหลังกลับ ยามเดินมาถึงประตูเรือน หนึ่งในนั้นก็หยุดฝีเท้าลงก่อนจะหันไปมองเรือนริมน้ำ
“มีอะไรหรือ” มีคนเอ่ยถามขึ้น
“ข้าเหมือนคุ้นหน้าแม่นางเมื่อครู่นัก…” แม่นมขมวดคิ้วเอ่ย
“เคยเจอกันจริงๆ หรือ” อีกคนถามอย่างตกใจ
แม่นมหน้านิ่งพลางนึกย้อนอดีต
เคยพบนางที่ไหนกันนะ…
อำเภอถงเจียงนั้นอยู่ติดกับเมืองซู่โจว หากออกจากเขตแดนอำเภอถงเจียงก็เท่ากับเข้าสู่เมืองซู่โจวในทันที หากขี่ม้าก็ใช้เวลาทั้งวัน ถึงซู่โจวยามฟ้ามืดพอดี
“ท่านชายสิบเก้ากลับมาแล้วหรือเจ้าคะ”
พอเห็นหันหยวนเฉาเดินเข้าเรือนมา เหล่าแม่นมที่ลานบ้านก็เอ่ยทักทายในทันที
ในยามนี้โคมไฟถูกจุดจนสว่างไสว เป็นเวลาอาหารพอดี แต่น่าแปลกที่เหล่าแม่นมและสาวใช้กลับมายืนกันอยู่ที่นอกเรือนเสียหมด แถมบรรยายยังเงียบสงัดอีกต่างหาก
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ…” หันหยวนเฉาถามอย่างสงสัย
“ยังไม่ได้ทานข้าวเจ้าค่ะ กำลังคุยกันอยู่” แม่นมเอ่ยเสียงแผ่ว
หันหยวนเฉาร้องอ๋อ
“เช่นนั้นไว้ข้าค่อยมาใหม่” เขาเอ่ยแล้วหันหลังเดินออกไป
ทว่าประตูเรือนกลับถูกเปิดออกในทันใด
“ชายสิบเก้ากลับมาแล้วหรือ” เสียงอ่อนหวานของฮูหยินดังลอยออกมา “รีบเข้ามาเถิด”
หันหยวนเฉาขานรับก่อนจะเดินเข้าไปในห้องทันที ทั้งท่านพ่อท่านแม่ก็อยู่ ทว่าบรรยากาศกลับดูแปลกชอบกล หากมองดูดีๆ จะเห็นว่าดวงตาของท่านแม่บวมช้ำจากการร้องไห้ ส่วนสีหน้าของท่านพ่อก็ดูไม่สู้ดีนัก
“ท่านป้าเจ้าร่างกายแข็งแรงดีใช่ไหม” ท่านพ่อหันเอ่ยถาม
“แข็งแรงดีขอรับ ท่านป้ารู้ว่าท่านพ่อต้องถามเรื่องนี้ นางฝากให้ข้ามาบอกท่านปู่ท่านย่าด้วย ว่าตั้งแต่หายดีก็ไม่ได้โดนฝนโดนลมมาเป็นปี สองสามวันก่อนก็เพิ่งเชิญหมอมาจับชีพจร นางกำลังตั้งครรภ์ เพียงแต่ยังไม่ถึงสามเดือน เลยยังไม่ได้บอกข่าวดี” หันหยวนเฉาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เรื่องนี้ทำให้ท่านพ่อและท่านแม่ดีใจไม่น้อย
“เช่นนั้นก็ดี” ทั้งสองเอ่ยเป็นเสียงเดียวกัน
พอเห็นท่านพ่อและท่านแม่อารมณ์ดีขึ้นมาไม่น้อย หันหยวนเฉาเองก็เบาใจก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องสัพเพเหระ จากนั้นก็มีเสียงของแม่นมดังขึ้นบอกว่าพ่อบ้านกลับมาแล้ว ทันใดนั้นสีหน้าของท่านพ่อก็เริ่มไม่สู้ดีขึ้นมาอีกครั้ง
พ่อบ้านเดินเข้ามา ในมือถือบัญชีม้วนหนาอยู่สองสามม้วน
“ท่านจะใช้เงินของตระกูล ข้าก็ไม่ได้บอกว่าไม่ได้ แต่จะอธิบายกับเหล่าท่านลุงเช่นไร” ท่านแม่หันเอ่ย
“เป็นอย่างไรก็อธิบายไปเช่นนั้น ใช่ว่าจะไม่มีปัญญาคืนเสียหน่อย รอสำนักขนส่งส่งเงินมาก็พอใช้คืนแล้ว” ท่านพ่อหันเอ่ยหน้านิ่ว
“เงินจากสำนักขนส่งมาเร็วเสียที่ไหน ใช้คืนอย่างนั้นหรือ ท่านคิดว่าจะใช้คืนได้หรือ ใช้คืนคราวนี้แล้วคราวหน้าก็ต้องยืมอีกอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นก็ไม่มีวันสิ้นสุดเสียที นั่นคือหลุมพราง ข้าห้ามท่านแล้วก็ท่านก็กระโจนตัวลงไป ยามนี้เป็นอย่างไรเล่า…” ท่านแม่หันเอ่ยพลางเช็ดน้ำตาอีกครั้ง
หันหยวนเฉาชะงักไป
“ท่านพ่อ เรื่องขุดคลองหรือขอรับ” เขาเอ่ยถาม
ท่านพ่อหันเป็นนายอำเภอผานเจียง อำเภอผานเจียงมีน้ำไหลผ่านตลอดปี เพื่อจัดการชลประทาน ทางอำเภอได้ตัดสินใจว่าจะขุดลอกคลองสร้างทางน้ำ ซึ่งเป็นงานใหญ่ไม่ใช่น้อย คนเห็นด้วยก็มาก คนคัดค้านก็มากเช่นเดียวกัน ฝ่ายที่เห็นด้วยก็บอกว่าจะเป็นคุณประโยชน์ต่อชาวบ้านไปอีกนับร้อยปี ส่วนฝ่ายที่คัดค้านก็บอกสิ้นเปลืองทั้งกำลังคนกำลังเงิน
ยามนี้ก็ผ่านมาครึ่งปีแล้ว ทว่างานกลับไม่คืบหน้าสักเท่าไหร่ ทั้งกำลังคน กำลังเงิน และเสบียงต่างมีปัญหา
“ท่านพ่อทำถูกแล้วขอรับ คลองนี้อย่างไรเสียก็ควรขุด” หันหยวนเฉาพยักหน้าเอ่ย
“ผู้ใดก็รู้ว่าควรขุด เพียงแต่มีคนตั้งมากมายเหตุใดพวกเขาถึงไม่ยอมขุด ไฉนเลยถึงต้องเป็นท่าน แถมยังต้องมาลำบากเช่นนี้!” ท่านแม่หันเอ่ย
“หากทุกคนพากันเกี่ยงงานกลัวลำบาก แล้วผู้ใดจะทำเพื่อบ้านเมืองเล่า” ท่านพ่อหันเอ่ย ก่อนจะบอกให้พ่อบ้านนั่งลง พลางยื่นมือไปหยิบสมุดบัญชี “งานขุดต้องเร่งมือเสียแล้ว หากถึงฤดูน้ำหลากปีหน้าแล้วจะแย่เอา…”
“เกณฑ์คนมาเพิ่มไม่ได้หรือขอรับ” หันหยวนเฉาเอ่ย
“ไม่ได้” ท่านพ่อหันส่ายหน้า “หากคนเพิ่ม เสบียงก็ต้องเพิ่มตาม สำนักขนส่งคงไม่ยอมเป็นแน่”
“เสบียงสำคัญกว่าเงิน” หันหยวนเฉาเอ่ยพลางพยักหน้า “เช่นนั้นก็ใช้เงินสิขอรับ”
พอลูกชายเห็นด้วย ท่านพ่อหันก็ยิ่งมั่นใจกับความคิดของตน ก่อนจะคุยกับพ่อบ้านเรื่องยืมเงินของตระกูล หันหยวนเฉาคร้านจะนั่งฟัง จะลุกขึ้นแล้วขอตัวลา
“เงินของตระกูลใช่เงินของท่านเสียเมื่อไหร่ หากท่านจะใช้ เหล่าท่านลุงจะว่าอย่างไร… ท่านจะอธิบายกับท่านพ่อของท่านอย่างไร…”
“ข้าไม่ได้ใช้เงินของตระกูล…”
“ท่านจะใช้สินเดิมของข้าหรือ นายใหญ่หัน สินเดิมของข้าใช้เลี้ยงปากท้องคนในเรือนนะเจ้าคะ ปีหน้าชายสิบเก้าก็ต้องแต่งงานแล้ว ต้องใช้เงินก้อนใหญ่…”
“ขายที่อย่างนั้นหรือ! ท่านจะขายที่ดินไปขุดคลองอย่างนั้นหรือ ท่านคิดว่าเป็นเรื่องดีงามหรืออย่างไร ท่านทำเช่นนั้นก็เท่ากับหักหน้าขุนนางคนอื่น ท่านทำเช่นนี้เท่ากับเอาดีใส่ตัว ท่านเชื่อหรือไม่หากวันพรุ่งนี้ท่านกล้าทำเช่นนั้น วันถัดไปทางการต้องตามมาเอาเรื่องท่านถึงที่แน่!”
หันหยวนเฉายืนถอนหายใจ ก่อนจะเหลียวกลับไปมองเรือนของท่านพ่อและท่านแม่ เหล่าแม่นมที่ลานบ้านก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตาราวกับหุ่นกระบอกมิปาน
ที่ท่านแม่พูดก็ถูก ถึงท่านพ่อจะมีความตั้งใจดี แต่หาใช่วิถีที่ควรจะเป็น แม้ตนจะเป็นขุนนางของราชสำนัก ทั้งยังเก่งกาจสามารถ เพียงแต่บางคราวความตั้งใจดีใช่ว่าจะเป็นเรื่องดีเสมอไป
หากท่านพ่อถูกผู้บังคับบัญชาตำหนิ ย่อมส่งผลร้ายต่องานขุดคลองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่นนั้นแล้วสิ่งทุ่มเทไปเกือบปีก็เท่ากับสูญเปล่า
เงินของตระกูลก็ใช้ไม่ได้ สินเดิมของท่านแม่ก็ใช้ไม่ได้ ทรัพย์สมบัติของท่านพ่อยิ่งใช้ไม่ได้ไปกันใหญ่ จะว่าไปแล้วแม้ตระกูลหันจะมีกิจการใหญ่โตสักเพียงใด ทว่าจะเอาเงินออกมาใช้สักก้อนกลับไม่ใช่เรื่องง่ายเลยแม้แต่นิด
หากตัวเขามีเงินก็คงจะดี
หันหยวนเฉาหัวเราะกับความคิดที่แวบเข้ามาในหัวของตัวเองก่อนจะส่ายหน้า เงินของตัวเองอย่างนั้นหรือ กลัวก็เพียงแต่ว่าพอเป็นฝั่งเป็นฝาแล้ว เงินเหล่านั้นก็ไม่เรียกว่าเงินของเขาอีกต่อไป กลายเป็นเงินของภรรยาไปเสียหมด
พอนึกถึงเรื่องภรรยาเขาก็หัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง ก้มหน้ามองดูถุงเครื่องหอมที่ห้อยติดเอว
“ได้ยินมาว่ามียันต์ศักดิ์สิทธิ์ของวัดอยู่ข้างในนี้ จะขอพรสิ่งใดก็สมปรารถนา” เขาเอ่ยพึมพำกับตัวเองพลางหัวเราะ ก่อนจะคว้าถุงเครื่องหอมขึ้นมาแกว่งซ้ายขวา ภายใต้แสงไฟจากลานบ้าน ลายปักบนถุงนั้นช่างงดงามนัก “เช่นนั้นก็ขอให้มีเงินร่วงหล่นลงมาจากฟ้าก็แล้วกัน”
พูดจบก็หัวเราะกับตัวเอง
“ท่านชายเป็นอะไรหรือขอรับ”
บ่าวที่เดินนำอยู่ข้างหน้าได้ยินเข้าจึงเหลียวกับมา ก่อนจะถามอย่างสงสัย
“ไม่มีอะไร ไปเถิด” หันหยวนเฉาเอ่ยก่อนวางถุงเครื่องหอมลงแล้วสะบัดแขนเสื้อ
กลับไปจุดตะเกียงอ่านตำราแล้วรีบสอบขุนนางให้ได้คงจะเป็นไปได้มากกว่า
เป็นเพราะเมื่อวานเดินทางมาทั้งวัน บวกกับทวนตำรากว่าจะนอนก็ดึกดื่น ยามหันหยวนเฉาลืมตาขึ้นฟ้าก็สว่างจ้าเสียแล้ว จากนั้นสาวใช้จึงเข้ามาปรนนิบัติอาบน้ำผลัดเสื้อผ้า พร้อมกับปลดธนูที่แขวนอยู่ในห้องหนังสือแล้วเดินไปที่ลานฝึกยิงธนู
“ท่านชาย ท่านชาย ด้านนอกมีคนมาขอพบท่านขอรับ”
“มาพบข้าอย่างนั้นหรือ” หันหยวนเฉาถามพลางยกมืออีกข้างขึ้นมาปาดเหงื่อ “ผู้ใดกัน”
“พี่หยวนเฉา ข้าเอง”
บ่าวหนุ่มไม่ทันได้ตอบ ก็มีเสียงหัวเราะคิกคักจากด้านนอกเอ่ยขึ้น ทันใดนั้นชายหนุ่มผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาอย่างโซซัดโซเซ เขาสวมชุดผ้าฝ้ายตัวยาว คาดเข็มขัดหยก เส้นผมเงาขลับ ใบหน้าผัดแป้งขาว ในยามนี้หากมีพายุพัดอีกสักหนก็คงเข้าสู่ฤดูหิมะตกแล้ว ทว่าในมือของเขากลับโบกพัดไปมา
พอเห็นชายหนุ่ม หันหยวนเฉาก็ขมวดคิ้วมุ่น