ชายผู้นี้แซ่กัว นามว่าโฮ่ว มีนามรองว่าจวิน มาจากตระกูลบัณฑิตใหญ่ของซู่โจว อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน แถมชื่อยังคล้ายกันอีกต่างหาก หันหยวนเฉาเองก็นามว่าจวินเช่นกัน ส่วนกัวโฮ่วนั้นนาม รองว่าจวิน แม้จะมีคนมากมายที่ชื่อเหมือนกัน แซ่เหมือนกัน หรือว่านามรองเหมือนกัน แต่พอเป็นลูกหลานจากสองตระกูลใหญ่ของเมืองแล้วก็รู้สึกกระอักกระอ่วนไม่น้อย
ในยามนั้นเพราะเรื่องชื่อเสียงเรียงนามนี้ ฮูหยินตระกูลกัวถึงกับมาหาถึงเรือนตระกูลหัน เพื่อร้องขอให้หันหยวนเฉาเปลี่ยนชื่อ ทว่าฮูหยินหันปฏิเสธ ฮูหยินทั้งสองจึงทะเลาะกันยกใหญ่ เพียงแต่เรื่องเล็กแค่นี้ แถมยังเป็นเรื่องผิดใจกันระหว่างฮูหยิน ไม่นานเหล่านายท่านจากสองตระกูลก็กลับมาผูกมิตรกันอีกครั้ง
แม้ภายนอกจะดูเหมือนจะเป็นมิตรกันเหมือนแต่ก่อน ทว่าความจริงแล้วทั้งสองตระกูลนั้นไม่ได้สนิทชิดเชื้อกันแต่อย่างใด ยิ่งเด็กทั้งสองคนโตขึ้น ก็ดูเหมือนว่าจะแข่งขันกันทั้งเรื่องรูปร่างหน้าตา การศึกษา หรือว่าการหาคู่อย่างไม่ปกปิด โชคดีที่จนถึงตอนนี้หันหยวนเฉาก็มักจะนำอยู่ก้าวหนึ่งเสมอ
หันหยวนเฉานั้นไม่ได้คิดจะแข่งขันอะไร ก็มีแต่ท่านชายตระกูลกัวนั่นแลที่มักจะเอาตัวมาเปรียบเทียบกับเขา ดังนั้นยามไปมาหาสู่กันหัวข้อสนทนาก็คงหนีไม่พ้นเรื่องผู้ใดสูงกว่าผู้ใด แม้หันหยวนเฉาจะไม่ชอบการแข่งขัน แต่พอถูกคนจับจ้องอยู่ตลอดเช่นนี้ เขาเองก็รู้สึกอึกอัดเหมือนกัน ดังนั้นเรื่องใดที่ตนพอจะหลบเลี่ยงได้ก็มักจะหาทางบ่ายเบี่ยง
นึกไม่ถึงเลยว่าท่านชายกัวจะมาหาถึงที่บ้านแบบนี้
“ท่านชายกัวนี่เอง” เขาเอ่ย ก่อนจะยิ้มให้อย่างนอบน้อม “มาหาข้ามีเรื่องอันใดหรือ”
ท่านชายกัวยิ้มก่อนจะเอื้อมมือไปตบแขนหันหยวนเฉา
“พี่หยวนเฉาคงช่วยเหลือคนไว้มากมายจนจำไม่ได้สินะ” เขาเอ่ยพลางยิ้ม “ก็เรื่องเมื่อคราวก่อนนั่นแล”
หายหยวนเฉาฉวยโอกาสยามลดธนูลงเพื่อเบี่ยงตัวหลบมือของท่านชายกัว
“เรื่องคราวก่อน เรื่องใดหรือ” เขาถาม
“ก็ตำราหลุนอวี่ของท่านอาจารย์เจียงโจวเล่มนั้นอย่างไรเล่า” ท่านชายกัวเอ่ยขึ้นในทันใด “ท่านตัดสินใจได้หรือยัง”
ยามหันหยวนเฉากลับมาจากเมืองหลวงหลังจากสอบไม่ติดในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ท่านชายกัวที่ไม่ได้เข้าสอบในคราวนั้นก็ดีใจยิ่งนัก ทว่าดีใจได้ไม่นานก็ได้ข่าวมาว่าหันหยวนเฉาได้ตำราหลุนอวี่ที่ท่านอาจารย์เจียงโจวเป็นคนจดบันทึกมาด้วย ทันใดนั้นตำราเล่มนั้นก็กลายเป็นของดีที่เหล่าบัณฑิตอยากจะเห็นกับตาสักครั้ง
ท่านชายกัวไม่พอใจเป็นอย่างมาก จึงเอ่ยปากขอซื้อ ทว่าตระกูลหันนั้นก็ไม่ได้แร้นแค้น ตำราเพียงเล่มเดียวถึงกับต้องค้าขายกันเชียวหรือ หันหยวนเฉาไม่แม้แต่จะเก็บมาใส่ใจ
พอได้ยินเขาเอ่ยถึงในวันนี้ หันหยวนเฉาก็เผลอหัวเราะออกมา
“มีอันใดต้องตัดสินใจหรือ” เขาเอ่ย “แน่นอนว่าไม่ได้อยู่แล้ว”
“ข้าให้หนึ่งพันก้วน” ท่านชายกัวยกนิ้วขึ้นบอกราคา
หนึ่งพันก้วนอย่างนั้นหรือ!
แม้หันหยวนเฉาจะไม่ได้ไขว้เขวกับสิ่งที่ได้ยิน แต่ก็ตกใจไม่น้อย
“ข้าจะบอกอะไรให้ฟังนะหยวนเฉา ตำราเล่มนั้นเจ้าจะคัดลอกไว้ก่อนก็ย่อมได้ บันทึกคำสอนของท่านอาจารย์เจียงโจวของเจ้าก็จะไม่หายไปไหน ไม่มีผลกับการเล่าเรียนของเจ้า ส่วนข้านั้นต้องการเพียงแต่ตำราฉบับจริง เจ้าลองคิดดูว่าพวกเราต่างได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย เจ้าไม่คิดว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่ดีหรือ” ท่านชายกัวคว้าแขนเขาอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นอกจากนี้ ข้าจะให้เจ้ายืมเงินด้วยนะ”
หันหยวนเฉาขมวดคิ้ว
“ให้ข้ายืมเงินอย่างนั้นหรือ” เขาถาม “เหตุใดข้าต้องยืมเงินเจ้าด้วย”
“เจ้าไม่ต้องการเงิน แต่ท่านพ่อของเจ้าต้องการไม่ใช่หรือ” ท่านชายกัวเอ่ยพลางหัวเราะ ยักคิ้วเล่นหูเล่นตา
เรื่องใหญ่เช่นงานขุดคลองย่อมไม่มีทางปิดบังผู้ใดได้อยู่แล้ว
หันหยวนเฉาชะงักไปครู่หนึ่ง สีหน้าดูลังเล
“แม้ข้าจะให้เงินยืมได้ไม่มากนัก แต่ก็จะมากจะน้อยก็ย่อมช่วยได้ใช่หรือไม่ อย่างน้อยก็น่าจะยื้อไปได้อีกสักเดือน…” ท่านชายกัวเห็นสีหน้าของเขาเปลี่ยนไปจึงเริ่มพูดต่อ
เงินจากสำนักขนส่งอย่างช้าที่สุดก็สิ้นปีกว่าจะส่งมาถึง นี่ก็ใกล้เข้าฤดูหนาวแล้ว งานขุดคลองต้องใช้กำลังคนมาก หากได้เงินฉุกเฉินมาช่วยประคองไว้ล่ะก็…
สิ่งของหากใช้ประโยชน์ได้สูงสุดถึงจะดี เพียงแต่ตำราหลุนอวี่เล่มนี้…
“ไม่ ตำราเล่มนี้เป็นของที่สหายของข้าให้มา ข้าไม่ขายหรอก” หันหยวนเฉาเอ่ยพลางหัวเราะ พลางเอื้อมมือออกไปปัดมือของท่านชายกัว
เจ้าพวกบ้าตำรา!
ท่านชายกัวกัดฟันพึมพำ
“ข้าเพิ่มให้อีกห้าร้อย” เขาเอ่ย
“ข้าไม่ได้ขาดเงิน” หันหยวนเฉาเอ่ยพลางยิ้ม
“เจ้าไม่ขาดเงินอย่างนั้นหรือ น่าแปลกเสียจริง…” ท่านชายกัวเอ่ยเสียงเย้ยหยันพลางเดินตามเขาไป
ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน ก็มีบ่าวหนุ่มวิ่งเข้ามาจากหน้าประตู
“ท่านชาย มีคนมาขอพบขอรับ”
พบข้าอีกแล้วอย่างนั้นหรือ
หันหยวนเฉาชะงักไปครู่หนึ่ง วันนี้ช่างคึกครื้นเสียจริง
“ผู้ใดกัน” เขาถาม
บ่าวหนุ่มส่ายหน้า
“ข้าไม่รู้จัก บอกเพียงแต่ว่ามาจากเมืองหลวงขอรับ” เขาเอ่ย
เมืองหลวงอย่างนั้นหรือ แม้จะได้เพื่อนจากเมืองหลวงมาไม่น้อย แต่คนเหล่านั้นไม่ใช่คนเมืองหลวง ต่างมาจากต่างเมืองเพื่อติวหนังสือสอบก็เท่านั้น จะมีผู้ใดจากเมืองหลวงมาหาเขากัน
ทั้งที่ยังสงสัย ทว่าหันหยวนเฉาก็เปลี่ยนชุดเพื่อรับแขกก่อนจะตามบ่าวหนุ่มไปยังโถงด้านหน้า ท่านชายกัวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะก้าวเท้าเดินตามไป
ภายในโถงด้านหน้ามีคนสองคนนั่งอยู่ พวกเขาสวมเสื้อคลุมตัวบางกับหมวก เห็นได้ชัดว่าชายวัยกลางคนทั้งสองเดินทางไกลมาถึงที่นี่
ไม่รู้จัก
“พวกท่านคือ…” หันหยวนเฉาถาม
ทั้งสองได้ยินเสียงและเห็นเขาเดินเข้ามาก็รีบเดินเข้าไปใกล้ ก่อนจะโค้งคำนับให้อย่างเคารพ
“เถ้าแก่ พวกเราเอาเงินมาให้ขอรับ” พวกเขาเอ่ยอย่างพร้อมเพรียง
เถ้าแก่อย่างนั้นหรือ
หันหยวนเฉาตกใจไม่น้อย
เขาโตมาจนป่านนี้ มีแต่คนเรียกว่าท่านชายสิบเก้า หยวนเฉา หรือตอนที่ยังเป็นเด็กเตาะแตะท่านแม่ก็เคยเรียกว่าแก้วตาดวงใจ ไม่ก็ชื่อเรียกแสนหวานที่เขาไม่ชอบได้ยินนัก หรือบางคราไปยั่วโมโหผู้ใดเข้าก็อาจจะถูกเรียกชื่อพร้อมแซ่ว่าหันจวิน หรือว่าเจ้าหนู หรือไม่ก็พ่อหนุ่ม
ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกเรียกว่าเถ้าแก่
อีกอย่าง พวกเขาบอกว่าเอาอะไรมาให้นะ
“เงินขอรับเถ้าแก่ กำไรในส่วนของท่าน” ชายทั้งสองเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“ของข้าหรือ” หันหยวนเฉายกนิ้วขึ้นชี้ตัวเองแล้วเอ่ยถาม
ชายทั้งสองพยักหน้า พลางล้วงซองจดหมายออกมาจากแขนเสื้อก่อนจะยื่นให้อย่างนอบน้อม
“พวกท่านจำคนผิดหรือเปล่า” หันหยวนเฉาได้สติคืนมาจึงเอ่ยถาม แน่นอนว่าเขาไม่ได้ยื่นมือออกไปรับ
ชายทั้งสองยิ้มให้
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรขอรับ ถึงพวกข้าจะทำงานไม่ได้เรื่องสักเท่าไหร่ แต่หากจำไม่ได้แม้กระทั่งเถ้าแก่ เช่นนั้นพวกข้าก็คงไร้ประโยชน์เหลือเกินแล้วขอรับ” พวกเขาเอ่ย “ท่านมาจากตระกูลหัน เมืองซู่โจว นามว่าจวิน นามรองว่าหยวนเฉา ทายาทลำดับที่สิบเก้าของตระกูล”
ชื่อเสียงเรียงนามของเขาใช่ว่าจะเป็นความลับแต่อย่างใด หากไปสืบถามก็คงรู้ได้โดยง่าย
หรือว่าผู้ใดแอบอ้างชื่อเขากัน
“พวกท่านเป็นใครกัน ข้าจะไปเป็นเถ้าแก่ของพวกท่านได้อย่างไร” หายหยวนเฉาถาม ทั้งยังไม่ยอมรับซองจดหมายดังเดิม
“พวกเราเป็นคนของเรือนไท่ผิงขอรับ” ชายคนหนึ่งเอ่ยพลางยิ้ม “ส่วนเรื่องเถ้าแก่เป็นเถ้าแก่ของพวกข้าได้อย่างไร พวกข้าเองก็เพิ่งมาทำงาน ไม่รู้แน่ชัดเช่นกัน แต่ว่าในหนังสือสัญญาของทางการมีชื่อของท่าน คาดว่าในมือของเถ้าแก่ก็คงมีสัญญาเช่นกัน”
เรือนไท่ผิงหรือ!
หันหยวนเฉาตกตะลึงไปครู่หนึ่ง
ท่านชายกัวที่ได้ยินมาตั้งแต่ต้นก็ตกตะลึงเช่นกัน บวกกันอดรนทนไม่ไหวอีกต่อไปจึงยื่นมือออกไปรับซองจดหมายเสียเอง
“ไหนข้าดูซิว่าได้กำไรเท่าไหร่กัน ทั้งยังมาไกลจากเมืองหลวงอีกต่างหาก จะเชื่อได้หรือไม่ก็ไม่รู้” เขาเอ่ยพลางเปิดซองจดหมาย หยิบตั๋วเงินใบหนึ่งออกมา พอเห็นตัวหนังสือบนนั้น ท่านชายกัวก็ตาค้างเหมือนดั่งได้ยินเสียงระฆังดังก้อง “หนึ่งหมื่นก้วน!”
เขาหันหน้าไปหาหันหยวนเฉาอีกครั้ง เจ้าหมอนี่มิได้ขาดเงินจริงๆ เสียด้วย…
หนึ่งหมื่นก้วน!
หันหยวนเฉาก็ตกตะลึกจนเหม่อลอยเพราะคำพูดนั้นเช่นกัน
ล้อเล่นอะไรกัน!
“ให้ข้าอย่างนั้นหรือ” เขาถามอย่างประหม่า
“ใช่ขอรับเถ้าแก่ ให้ท่านขอรับ” ชายทั้งสองเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
หมึ่นหมื่นก้วน!
หันหยวนเฉายื่นมือออกไปคว้าตั๋วเงินมาจากท่านชายกัว
เป็นอย่างที่ว่าจริงๆ ตั๋วเงินจากทางการเมืองซู่โจว ทั้งยังเป็นตั๋วเงินที่สลักชื่ออีกต่างหาก เขียนชื่อของเขาว่าหันจวินไว้อย่างชัดเจน!
หนึ่งหมื่นก้วน!
เงินหล่นลงมาจากฟ้าจริงๆ หรือนี่….