“มีคนเอาเงินมาให้ชายสิบเก้าหนึ่งหมื่นก้วนอย่างนั้นหรือ”
ไม่นานข่าวก็ถูกส่งมาถึงเรือน พอได้ยินเช่นนั้นสองสามีภรรยาตระกูลหันก็ตกตะลึงอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะร้องออกมาเป็นเสียงเดียวกัน
“ใช่ขอรับ ใช่ขอรับ นายท่าน แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญขอรับ” พ่อบ้านเอ่ยพยักหน้ารัว พลางยกมือขึ้นมาเช็ดเหงื่อ
นี่ยังไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกหรือ
เถ้าแก่! กำไร! นี่แค่ตอนนี้เพียงนั้น!
นั่นก็เท่ากับว่าวันหน้าจะต้องมีเงินมากกว่านี้ เงินไหลมาไม่มีขาดสาย!
สองสามีภรรยาตระกูลหันนิ่งไปครู่หนึ่ง
“เขา เขาไปเป็นเถ้าแก่อย่างคนอื่นเขาตั้งแต่เมื่อใดกัน” ท่านพ่อหันเอ่ย “เป็นเถ้าแก่ร้านใดกัน”
ขณะเดียวกัน เถ้าแก่หันหยวนเฉาก็กำลังรื้อกล่องค้นตู้ บ่าวหนุ่มอีกสองสามคนก็เข้ามาช่วยด้วย ห้องหนังสือที่เคยเป็นระเบียบเรียบร้อย ยามนี้กลับโกลาหลวุ่นวาย
“ไม่มี ไม่มี…”
หันหยวนเฉาคลี่หนังสือม้วนแล้วม้วนเล่า ก่อนโยนลงจนกระจายเต็มโต๊ะไม้ ไม่นานถุงขนมที่เขียนอักษรสามตัวว่าเรือนไท่ผิงก็ถูกทับถมลงไป
“ท่านชาย หนังสือเล่มใดกันแน่หรือขอรับ” บ่าวหนุ่มถามพลางยกหลังมือขึ้นมาปาดเหงื่อ ก่อนเอ่ยถามอีกครั้งอยากอดไม่ได้
“หนังสือที่อยู่ในกล่องที่ข้าขนไปเมืองหลวงด้วยเมื่อปีก่อน…” หันหยวนเฉาเอ่ย
“นั่นก็ไม่น้อยเลยนะขอรับ อีกอย่างตอนขนกลับมาแล้วก็ไม่รู้เก็บไว้ที่ไหน ไม่รู้ว่าทิ้งไปหรือยัง…” เหล่าบ่าวเอ่ย
ทิ้งอย่างนั้นหรือ
หันหยวนเฉานิ่งไปครู่หนึ่ง
เขาพยายามนึก แต่นึกอย่างไรก็เห็นเพียงภาพของตัวเองเสียบสัญญาใบนั้นไว้ในหนังสือเล่มใดสักเล่ม เพียงแต่หนังสือเล่มไหนนั้นนึกอย่างไรก็นึกไม่ออกเสียที
หากเขาทำหายไปแล้วจริงๆ…
“หากหายจริง สองคนนั่นคงเอาเงินคืนไปใช่ไหมขอรับ…” บ่าวหนุ่มเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้
นั่นมันหนึ่งหมื่นก้วนเชียวนะ… หรืออาจจะมากกว่าหมื่นก้วนก็ได้…
แม้ตระกูลหันจะไม่ได้แร้นแค้นถึงขนาดไม่เคยเห็นเงินหมื่นก้วนมาก่อน แต่…นั่นมันหมื่นก้วนเชียวนะ! แล้วต่อไปวันหน้าก็อาจจะไม่ใช่แค่หนึ่งหมื่นก้วนด้วย
“หากหาสัญญาไม่เจอ ข้าก็คงไม่เอาเงินนั่นแล้วล่ะ” หันหยวนเฉาเอ่ย ถึงจะหาสัญญาเจอแล้ว เขาก็ยังลังเลอยู่ดีว่าจะรับเงินนั่นดีหรือไม่
“ชายสิบเก้า เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
นายใหญ่และฮูหยินของตระกูลหันเองก็ตามมา มองดูห้องหนังสือที่ไม่มีแม้แต่ที่เดิน จึงทำได้เพียงยืนพูดอยู่หน้าประตู
“เจ้ากลายเป็นเถ้าแก่ของร้านนั้นได้อย่างไร ตอนไปติวสอบที่เมืองหลวงอย่างนั้นหรือ”
หันหยวนเฉาถอนหายใจ สีหน้าดูยุ่งเหยิงไม่น้อย
“เรื่องค่อนข้างยาวขอรับ…” เขาเอ่ย “แถมยังเป็นเพียงแค่เรื่องเด็กเล่นอีกต่างหาก…”
เขาพูดยังไม่ทันจบก็ได้ยินเสียงของบ่าวหนุ่มร้องตะโกนขึ้น
“ท่านชาย ใช่อันนี้หรือไม่ขอรับ!”
หันหยวนเฉาเหลียวกลับไปมอง ทันใดนั้นก็เห็นบ่าวหนุ่มหยิบกระดาษใบหนึ่งออกมาจากม้วนหนังสือ
“ใช่แล้ว อันนี้แหละ!” หันหยวนเฉาตะโกนลั่น ก่อนจะเขย่งปลายเดินเข้าไปในห้อง
กระดาษหน้าตาแสนเรียบง่ายวางแผ่อยู่บนโต๊ะ สิ่งแรกที่ปรากฏสู่สายตาคือตราประทับสีแดงสดของทางการ
‘ช่วงแรกอาจจะยังไม่ได้ค่าแรง ก็เลยให้หุ้นมาหนึ่งส่วนเพื่อเป็นการชดเชย… ข้าอยากตอบแทนบุญคุณท่าน จึงขอมอบหุ้นนี้ให้ท่านชาย…’
‘ท่านผู้มีพระคุณ หากไม่มีท่าน ข้าคงตายไปแล้ว คงไม่มีใครเลี้ยงดูลูกข้า…’
หันหยวนเฉาราวกับเห็นภาพของชายผู้นั้นโขกหัวคำนับอย่างร้อนรนลอยขึ้นมาตรงหน้า เอาเข้าจริงเขาเองจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำชายผู้นั้นหน้าตาเช่นไร
“เจ้าจะบอกว่าหุ้นนี้เป็นของตอบแทนจากผู้นั้นหรือ”
พอฟังเขาเล่าเรื่องจนจบ ท่านพ่อและท่านแม่หันก็ตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม แทบไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน
“นี่ยังไม่ครบปีเลย แค่หุ้นลมหุ้นเดียวก็ได้ส่วนแบ่งถึงหมื่นก้วนเชียวหรือ”
นี่มันอะไรกัน! ขายดีขนาดนั้นเชียวหรือ!
“พวกเขาเอาบัญชีมาให้ด้วยขอรับ” หันหยวนเฉาเอ่ยพลางชี้ไปบนโต๊ะ ก่อนจะเห็นว่าบนโต๊ะเต็มไปด้วยม้วนหนังสือกองพะเนิน เขาลุกยืนขึ้นแล้วเดินไปคุ้ยหนังสือกองนั้นก่อนจะหยิบบัญชีออกมาสองเล่ม แล้วหันกลับมายื่นให้แก่ท่านพ่อ
จังหวะที่กำลังหันกลับมาก็มีเสียงของหล่นดังตุบ
หันหยวนเฉาเหลียวกลับไปมอง ก็เห็นว่าเป็นถุงขนมจากร้านเรือนไท่ผิง
เรือนไท่ผิง…
เรือนไท่ผิง!
เขารีบเอื้อมมือออกไปหยิบขึ้นมาในทันทีก่อนจะพลิกมองดู
คงไม่ใช่ร้านเรือนไท่ผิงร้านนั้นจริงๆ หรอกใช่ไหม
“นี่คือบัญชีของจริง ไม่ใช่ของปลอมแปลง และไม่ได้ทำขึ้นมาสุ่มสี่สุ่มห้า… เจ้าดูสิมีตราประทับของศาลาว่าการยืนยันด้วย…” ท่านพ่อหันเอ่ย
ท่านแม่หันเหลียวไปมองแล้วพยักหน้า
“กิจการก็ไม่ได้ดีสักเท่าไหร่… ค่าใช้จ่ายก็มากมาย…” นางดูไปพูดไป “ถึงว่าล่ะตอนเปิดร้านช่วงแรกจึงไม่มีแม้แต่เงินจะจ่ายค่าแรง…”
พอกลับมานึกถึงทำเลของร้านจากที่ลูกชายบอก ดูท่าทางแล้วก็เหมือนร้านริมถนนธรรมดา
ปีหนึ่งจะได้กำไรรวมสักหมื่นก้วนก็ถือว่าไม่เลวแล้ว
สองสามีภรรยาเอาแต่ดูไม่พูดไม่จา สีหน้าก็เริ่มตกตะลึงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
“จู่ๆ เหตุใดถึงขายดีขึ้นมา” ท่านแม่หันถามออกมาอย่างอดไม่ได้
ท่านพ่อหันไม่พูดอะไรจนกระทั่งพลิกดูบัญชีจนหมดเล่ม แน่นอนว่าเขาเปิดดูเพียงคร่าวๆ เท่านั้น แต่ทว่ารายการต่างๆ นั้นไล่เรียงออกมาอย่างชัดเจน มองปราดเดียวก็เข้าใจ
“แรกเริ่มยังไม่มีชื่อเสียง กิจการย่อมไม่ดีนัก หากจู่ๆ เกิดมีชื่อขึ้นมา จะขายดีก็คงไม่แปลก” เขาเอ่ย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองหันหยวนเฉา “รู้หรือไม่ว่าเหตุใดจู่ๆ ร้านถึงได้มีชื่อเสียงขึ้นมา”
ท่านชายหันเหม่อลอย จนท่านพ่อหันเรียกอยู่สองสามหนจึงเงยหน้าขึ้นมา
“นี่คืออะไรหรือ” ท่านแม่หันถามพลางมองไปที่ถุงในมือของหันหยวนเฉา
เสื้อผ้าบนร่างกายหรือข้าวของเครื่องใช้ของลูกชายล้วนแต่เป็นของที่ตระกูลจัดหา นอกจากถุงเครื่องหอมที่คู่หมั้นให้มา ไม่มีทางมีของจากที่อื่นอย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งของสีแดงสดที่หญิงสาวมักใช้กัน
สัญชาตญาณของหญิงสาวและคนแม่ทำให้นางเริ่มร้อนรน
“สิ่งนี้หรือ ได้มาจากท่านป้าขอรับ” หันหยวนเฉาเอ่ยพลางยิ้ม ก่อนจะเล่าให้ฟัง
ท่านแม่หันร้องอ๋อ ก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าแล้วเทขนมออกมาชิ้นหนึ่ง แต่เป็นเพราะอยู่ก้นถุงจึงถูกกดทับจนแตกเป็นชิ้น นางดมก่อนจะลองชิม
“อืม ไม่เลวนี่” นางพยักหน้าพลางเอ่ยชม
“คงไม่ใช่ของเรือนไท่ผิงหรอกกระมัง” ท่านพ่อหันถาม
“ท่านพ่อ กว่าจะเดินทางจากเมืองหลวงมาถึงที่นี่ก็ใช้เวลานับเดือน จะเก็บไว้ได้นานขนาดนั้นได้เช่นไร” หันหยวนเฉาเอ่ยพลางหัวเราะ
ท่านพ่อหันก็เห็นเช่นนั้นก่อนเผยยิ้มออกมา
“เรือนไท่ผิงนี่น่าสนใจไม่น้อย” เขาเอ่ย
สามพ่อแม่ลูกนั่งล้อมวงกันอยู่ในห้องหนังสือ ม้วนหนังสือตำรากระจัดกระจายไปทั่ว มองดูแล้วช่างน่าขันนัก ยิ่งพอนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทั้งสามคนก็ยิ่งรู้สึกว่าช่างน่าขันเหลือเกิน
“ช่างเหลือเชื่อจริงๆ” ท่านแม่หันเอ่ยพลางมองไปที่บัญชี “ดูจากบัญชีแล้ว ปันผลกำไรที่ได้คราวหน้าคงไม่ใช่แค่หมื่นก้วนอย่างแน่นอน”
กำไรมหาศาลนัก ตอนนี้แค่ปันผลปีเดียวก็มากกว่าที่นาสินสอดสองผืนของนางเสียอีก แล้ววันหน้าเล่าจะเป็นเช่นไร
“คิดไม่ถึงเลยจริงๆ” หันหยวนเฉาเอ่ยพลางนึกย้อน “ตอนนั้นข้าเองก็ไม่ได้ใส่ใจนัก คิดเพียงแค่ว่าร้านริมถนนเช่นนั้น อีกซักครึ่งปีก็คงปิดตัวลง อีกใจหนึ่งก็คิดว่าหากเปิดต่อไปได้ก็ดี แต่จะได้กำไรสักเท่าไหร่กันเชียว…”
เขาก้มหน้ามองตั๋วเงิน สมุดบัญชี และหนังสือสัญญาเบื้องหน้า
หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเงินมากมายเช่นนั้น ตอนนั้นไม่ว่าอย่างไรเขาคงไม่มีทางรับไว้เป็นแน่
ไม่สิ ถึงรู้ตอนนี้ก็ยังไม่สายไปเสียหน่อย
“เงินนี้ข้ารับไว้ไม่ได้หรอก” เขาเอ่ย
ท่านพ่อและท่านแม่หันพยักหน้า
“เรื่องที่พ่อครัวผู้นั้นอยากตอบแทนบุญคุณพวกข้าขอรับไว้ แต่เงินนี้พวกข้ารับไว้ไม่ได้หรอก” พวกเขาเอ่ย
พอได้ยินสามพ่อแม่ลูกตระกูลหันเอ่ย ชายทั้งสองในห้องโถงก็ยิ้มออกมา
“เป็นดังที่พี่สาวบอกไว้ไม่มีผิด” พวกเขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “บอกว่าตระกูลหันน้ำใจงามดั่งอัญมณี หากคนมาเคาะประตูเรือนขอความช่วยเหลือ ย่อมเต็มใจช่วยไม่ว่าจะเป็นผู้ใด แต่หากเอาเงินมาให้ ย่อมไม่มีทางรับเป็นแน่”