ภาคที่ 3 ตอนที่ 61 หม้อไฟที่พวกเรากินและคนที่พวกเราฆ่าเมื่อในอดีต

มรรคาสู่สวรรค์

เรื่องราวเล่ามาถึงตรงนี้ แน่นอนว่ายังไม่จบ มันเพียงแค่เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น

จิ๋งจิ่วคิดถึงเรื่องเหล่านั้นเมื่อในอดีต นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่

เพื่อจะเตรียมบรรลุเป็นเซียนแล้ว อาจารย์ปู่ได้มอบตำแหน่งเจ้าสำนักให้แก่อาจารย์ จากนั้นไปยังยอดเขาซ่อนเร้น

ไม่มีใครคิดถึงว่าอาจารย์ปู่จะบรรลุเป็นเซียนล้มเหลวเพราะถูกหนานชวีลอบโจมตี จากนั้นอาจารย์ก็บรรลุเป็นเซียนล้มเหลวเช่นกัน สายสืบทอดนี้เหลือเพียงเขากับศิษย์พี่สองคนเท่านั้น

หลังจากนั้นหลายปี เขาและศิษย์พี่ใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก อย่าว่าแต่ตำแหน่งเจ้าสำนักเลย กระทั่งยอดเขาซั่งเต๋อก็เกือบจะถูกช่วงชิงเอาไป

ต่อมา ศิษย์พี่ถึงขนาดถูกขับออกจากสำนัก

แต่แน่นอนว่าการขับออกจากสำนักนั้นเป็นการแสร้งทำ

ก็เหมือนกับเรื่องราวของหลิ่วสือซุ่ย เพียงแต่ศิษย์พี่นั้นเดินทางไปยังดินแดนหมิง

สุดท้ายเขาก็เป็นเหมือนอย่างหลิ่วสือซุ่ยในตอนนี้ ทำภารกิจสำเร็จ กลับมายังชิงซาน

แต่แม้นจะเป็นเช่นนี้ ยอดเขาอื่นๆ ที่เหลือก็ยังคงเฝ้าระวัง กระทั่งเอาเรื่องบางเรื่องมาคอยกล่าวโทษวิพากษ์วิจารณ์ศิษย์พี่อย่างรุนแรง

หวังว่าหลิ่วสือซุ่ยกลับมาแล้วจะไม่เจอปัญหาแบบเดียวกันนี้นะ

ในเวลานั้นยอดเขาซั่งเต๋อทำตัวเรียบง่ายเป็นอย่างมาก

ศิษย์พี่ักับเขา แล้วยังมีหยวนฉีจิงกับหลิ่วฉือกินหม้อไฟกันอยู่หลายปี บางครั้งก็จะเล่นไพ่นกกระจอก

จนกระทั่งคนที่ควรทะลวงสวรรค์ก็ทะลวงสวรรค์ คนที่ควรแหวกทะเลก็แหวกทะเล

สุดท้ายศิษย์พี่ก็เอาตำแหน่งเจ้าสำนักมาได้สำเร็จ

ความจริงเขาก็ไม่รู้แน่ชัดนักว่าในช่วงเวลานั้นมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่

เขามุ่งมั่นอยู่กับการบำเพ็ญพรต ไม่เคยออกจากซั่งเต๋อ กระทั่งถ้ำที่หนาวเย็นนั้นก็แทบจะไม่ออกมา

มีเพียงครั้งนั้นที่ศิษย์พี่บอกว่าจะไปฆ่าคน เขาถึงได้ออกจากถ้ำ พาหยวนฉีจิงและหลิ่วฉือไปฆ่าคน

ตอนนี้เมื่อมาย้อนคิดดูแล้ว เพื่อจะรักษาเสถียรภาพในยอดเขาทั้งเก้าของชิงซานเอาไว้ ครั้งนั้นพวกเขาฆ่าคนไปหลายคนจริงๆ

ส่วนเหตุใดถึงต้องฆ่า เขาไม่เคยถามมาก่อน

ศิษย์พี่คงไม่มีทางฆ่าคนส่งเดช

ช่างน่าขันจริงๆ

……

……

“หลังจากนั้นล่ะขอรับ?”

คำถามของหยวนฉวี่ทำให้จิ๋งจิ่วตื่นขึ้นมาจากความทรงจำ

เขาเริ่มเล่าเรื่องราวนั้นต่อ

“เรื่องราวหลังจากนั้นล้วนแต่เป็นการคาดเดาของข้า”

……

……

ต้นไม้แห่งเต๋าของหนานชวีถูกทำลาย แล้วยังถูกหมอกในทะเลตัดขาดจากฟ้าดิน ต่อให้สามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้ ก็ไม่มีหวังที่จะบรรลุเป็นเซียนได้อีก ดังนั้นเขาจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถออกไปจากเกาะแห่งนั้นได้ แต่เป็นเพราะชิงซาน เขาจึงไม่กล้าออกมาจากหมอกแห่งนั้น แต่เขาสามารถส่งคนออกมาได้ จากนั้นก็คิดหาวิธีทำลายสำนักชิงซาน เมื่อนั้นเขาก็จะสามารถออกมาได้

เรื่องนี้จำเป็นต้องใช้เวลาอย่างมาก เป็นเวลาหลายร้อยปีหรืออาจจะมากกว่านั้น แต่สิ่งที่ผู้บำเพ็ญพรตมีอยู่มากที่สุดก็คือเวลา

คนที่ออกมาจากเกาะเป็นคนแรกก็คือเด็กรับใช้ของเขา

หลังเด็กรับใช้คนนั้นมายังแผ่นดิน เขาก็เรียกตัวเองว่าเทียนจิ้นเหริน รับหน้าที่ตามหาผู้สืบทอดที่เหมาะสมให้แก่หนานชวี

มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งชื่อเจี้ยนซีไหล พรสวรรค์ทางวิถีกระบี่ของเขาสูงส่ง แต่เป็นเพราะเหตุผลบางอย่างจึงถูกสำนักอู๋เอินเหมินปฏิเสธ ในใจเกิดความคับแค้น

เทียนจิ้นเหรินพลันพบว่าเรื่องราวของเขาคล้ายคลึงกับเรื่องของหนานชวี หลังหาเจี้ยนซีไหลจนพบก็มอบของที่เป็นเครื่องยืนยันตัวตน ชี้ทางให้เขาไปยังนอกทะเล เข้าไปในเกาะหมอกแล้วกราบหนานชวีเป็นอาจารย์

แต่แน่นอน อาจจะมีความเป็นไปได้ว่าเขาได้มอบวิชาของหนานชวีให้แก่เจี้ยนซีไหลก็เป็นได้

เด็กหนุ่มคนนั้นฝึกเพลงกระบี่จนสำเร็จ ก่อตั้งสำนักกระบี่ซีไห่ ทำตามเจตนารมณ์ของผู้เป็นอาจารย์ พยายามทำลายสำนักชิงซาน

แต่เขาพบว่าต่อให้สำนักกระบี่ซีไห่จะยิ่งใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วเพียงใดก็ไม่มีวันที่จะไล่ตามสำนักชิงซานได้ทัน เขาจึงได้แต่ต้องใช้วิธีอื่น

ในปีหนึ่ง เขาไม่รู้ใช้วิธีอะไรทำให้ตัวเองได้อำนาจในการควบคุมปู้เหล่าหลินมาครอบครอง

นักฆ่าของปู้เหล่าหลินเริ่มเคยชินกับการใช้กระบี่ก็เมื่อร้อยกว่าปีที่ผ่านมา คิดๆ ดูแล้วก็เป็นช่วงเวลานั้นพอดี

สำนักบำเพ็ญพรตฝ่ายธรรมะ โดยเฉพาะสำนักชิงซานสงสัยในประวัติความเป็นมาของเขามาโดยตลอด แต่ว่าไม่มีหลักฐาน ดังนั้นในตอนที่ยอดเขาเหลี่ยงว่างวางแผนนี้ขึ้นมา เหล่าอาจารย์ที่ล่วงรู้เรื่องนี้จึงมิได้คาดหวังอะไรมากนัก แต่ก็มิได้ขัดขวาง เพียงแต่ปล่อยให้ทุกสิ่งเป็นไปตามสถานการณ์ เพราะอย่างไรซะพวกเขาก็มิได้มีอะไรเสียหายจากเรื่องนี้อยู่แล้ว

……

……

จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “แต่สิ่งที่คิดไม่ถึงก็คือหลิ่วสือซุ่ยจะสืบจนเจอเบาะแสอะไรบางอย่าง จึงทำให้เกิดเหตุการณ์ในวันนี้ขึ้น”

หยวนฉวี่กล่าวชม “ศิษย์พี่ใหญ่สุดยอดจริงๆ”

จิ๋งจิ่วไม่รู้เรื่องที่เขากับกู้ชิงแอบคุยเรื่องเหล่านั้น จึงฟังไม่เข้าใจ จากนั้นกล่าวว่า “ถือว่ายอดเยี่ยม แต่ก็มิได้มีความหมายอะไรมากนัก เพราะเจี้ยนซีไหลไม่มีทางเปิดโอกาสใดๆ แน่”

เจ้าล่าเยวี่ยคิดไม่ถึงเรื่องเหล่านี้ การตอบสนองของกู้ชิงเร็วมากกว่า จึงกล่าวอย่างตกใจว่า “อาจารย์หมายความว่าเขาจะตัดแขนเพื่อขอชีวิตหรือขอรับ?”

จิ๋งจิ่วกล่าว “ชิงซานได้โอกาสที่จะสังหารเขาอย่างชอบธรรม หากเขาไม่ทำเช่นนี้แล้วจะทำอย่างไร?”

หยวนฉวี่ลืมตาโตถามว่า “นั่นมันเทพกระบี่ซีไห่เชียวนะ บอกจะฆ่าก็ฆ่าได้เลยอย่างนั้นหรือขอรับ?”

จิ๋งจิ่วกล่าว “จริงอยู่ที่มันยาก ดังนั้นชิงซานจึงพาคนไปมากขนาดนี้ เหตุผลสำคัญก็เพื่อบีบให้เขาถอย หลังจบศึกนี้ สำนักกระบี่ซีไห่ก็จะพังทลายลง”

เจ้าล่าเยวี่ยยิ่งฟังยิ่งรู้สึกประหลาดใจ กล่าวว่า “ข้านึกว่าเจ้าจะไม่รู้เรื่องพวกนี้เสียอีก”

จิ๋งจิ่วมิได้กล่าวกระไร

ถึงแม้หลังกลับมายังชิงซานเขาจะพูดมากขึ้นเรื่อยๆ แต่มันก็ยังไม่มากอยู่ดี

นอกจากที่เขาคุยกับเจ้าล่าเยวี่ยอยู่เป็นเวลานานที่เมืองเจาเกอครั้งนั้นแล้ว วันนี้นับเป็นวันหนึ่งที่เขาพูดมากที่สุด

เจ้าล่าเยวี่ยเข้าใจแล้ว

เมื่อก่อนเขาขี้เกียจครุ่นคิด มิใช่เพราะคิดไม่เข้าใจ

กู้ชิงกล่าวถามว่า “อย่างนั้นซีหวังซุนเป็นใครกันแน่ขอรับ? ว่ากันว่าเขาเป็นศิษย์น้องของเจี้ยนซีไหล หรือว่าเขาจะเป็นศิษย์ของหนานชวีเช่นเดียวกัน?”

เจ้าล่าเยวี่ยมองจิ๋งจิ่ว ครุ่นคิดถึงเรื่องในเมืองไห่โจวครั้งนั้น

ครั้งนั้นจิ๋งจิ่วเข้าไปหาซีหวังซุนเป็นการเฉพาะ เพียงแต่หลังได้พบแล้วก็รู้สึกผิดหวัง เพราะจิ๋งจิ่วมั่นใจว่าอีกฝ่ายมิใช่คนที่ตนเองกำลังตามหา

จิ๋งจิ่วนิ่งเงียบไม่กล่าวกระไร นี่ก็เป็นเรื่องที่เขาคิดไม่เข้าใจเช่นเดียวกัน เหตุใดเมื่อสิบกว่าปีก่อนถึงมีคนอย่างซีหวังซุนปรากฏขึ้นมา?

ในตอนนั้นศิษย์พี่ได้ออกจากชิงซานไปแล้ว ระหว่างทั้งสองจะมีความเกี่ยวข้องอะไรกันหรือเปล่า?

ความเชื่อใจที่ซีหวังซุนมีต่อหลิ่วสือซุ่ยมาจากไหน?

หรือว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับศิษย์พี่จริงๆ?

หยวนฉวี่กล่าว “ไม่ว่าอย่างไร วันนี้ซีหวังซุนจะต้องตายอย่างแน่นอน ปู้เหล่าหลินถูกทำลาย พรรคมารเสื่อมอำนาจ ดูเหมือนโลกบำเพ็ญพรตจะสงบสุขไปอีกหลายปี”

เมื่อได้ยินกับว่าสงบสุข[1] เจ้าล่าเยวี่ยก็มองไปทางจิ๋งจิ่ว

จิ๋งจิ่วรู้ว่าต่อให้โลกแห่งการบำเพ็ญพรตฝ่ายธรรมะเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ แต่ที่กำจัดไปได้ก็มีเพียงคนระดับกลางและระดับล่างของปู้เหล่าหลินเท่านั้น

คนที่เป็นอันตรายอย่างแท้จริงเหล่านั้น หลิ่วสือซุ่ยไม่มีทางสัมผัสได้

อย่างเช่นคนที่อาจจะปรากฏตัวขึ้นในเวลานี้

เวลาค่อยๆ เดินไป ท้องฟ้ายามเย็นเปลี่ยนสี หมู่ดาวมองดูหมู่ยอดเขาอย่างเงียบๆ

ในเวลานี้บนท้องฟ้าเหนือทะเลสีดำที่อยู่นอกเมืองไห่โจว สถานการณ์กำลังอยู่ในช่วงที่ตึงเครียดที่สุด เจ้าสำนักชิงซานและหยวนฉีจิงปรากฏตัว

จิ๋งจิ่วยืนอยู่ริมผา ในใจครุ่นคิดว่าหากคนผู้นั้นจะปรากฏตัว ก็น่าจะเป็นตอนนี้

ขณะที่กำลังครุ่นคิดเช่นนี้ พลังที่แข็งแกร่งสายหนึ่งได้ลอยมาถึงยอดเขาเสินม่อ

ข่ายพลังปิดกั้นของยอดเขาเสินม่อเกิดการตอบสนอง เจตน์กระบี่นับหลายร้อยสายพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า แต่กลับไม่สามารถบีบให้คนที่แอบซ่อนอยู่ในท้องฟ้ายามค่ำคืนผู้นั้นปรากฏตัวออกมาได้

กู้ชิงและหยวนฉวี่รับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของข่ายพลัง พวกเขารีบไปยังริมผา แหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้า

ภายในถ้ำ เจ้าล่าเยวี่ยยืนอยู่หน้าตั่งเหมันต์ มองดูแมวสีขาวที่กำลังนอนหลับ ก่อนกล่าวเสียงเบาๆ ว่า “อาจารย์ปู่ ถึงเวลาตื่นแล้วค่ะ”

……………………………….