ยอดเขาเสินม่อมีข่ายพลังปิดกั้น ตัดขาดโลกภายในจากโลกภายนอก
ครั้งนั้นหลังเจ้าล่าเยวี่ยฝ่าขึ้นมาถึงยอดเขา ข่ายพลังปิดกั้นที่ทรงพลังนี้ก็มีอยู่แค่บนยอดเขา เปิดใช้เป็นบางครั้ง
อย่างเช่นในตอนที่จิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยออกไปท่องในโลกมนุษย์ อย่างเช่นในตอนที่ออกมาอาบแดดกับแมวขาวในทุกๆ วัน
คนด้านนอกมองไม่เห็นด้านในยอดเขา แต่บนยอดเขากลับมองเห็นท้องฟ้า
จิ๋งจิ่วมองดูดวงดาวที่อยู่บนท้องฟ้า รับรู้ถึงพลังสายนั้น ครุ่นคิดว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร
พลังสายนั้นเงียบสงบ แต่โดยเนื้อแท้กลับแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก คล้ายคิ้วสีเงินที่พลิ้วไหวตามสายลมสองเส้นนั้น แก่ชราแต่ไม่อ่อนแอ
กู้ชิงและหยวนฉวี่เองก็รับรู้ได้ถึงแรงกดดันอันแข็งแกร่ง พวกเขารู้สึกตื่นตระหนก
ระหว่างหมู่ยอดเขานั้นมีข่ายพลังของชิงซานแอบซ่อนเอาไว้อยู่ ต่อให้เจ้าสำนักจงโจวมาเองก็ไม่สามารถโจมตีได้ เหตุใดอีกฝ่ายกลับมาปรากฏตัวอยู่ใกล้ยอดเขาเสินม่อได้ขนาดนี้?
หรือว่าผู้ที่มาเยือนจะเป็นผู้อาวุโสท่านไหนในยอดเขาทั้งเก้า
เมื่อคิดถึงเรื่องที่จิ๋งจิ่วเคยเล่าให้ฟังว่าฟางจิ่งเทียนที่เป็นเจ้าแห่งยอดเขาซีไหลเคยพยายามฆ่าเขาถึงสองครั้ง สีหน้าของกู้ชิงจึงเปลี่ยนขึ้นมาอีกครั้ง
เจ้าล่าเยวี่ยเดินออกมาจากในถ้ำ
กู้ชิงและหยวนฉวี่มองไป
เจ้าล่าเยวี่ยส่ายศีรษะ
หยวนฉวี่รู้สึกตกใจ ในใจครุ่นคิดว่าจริงอยู่ที่ท่านปรมาจารย์เกียจคร้านและชอบเอานอน แต่ในเวลาแบบนี้ก็ควรจะออกมามิใช่หรือ?
จิ๋งจิ่วมองไปบนท้องฟ้า นิ่งเงียบไปครู่ จากนั้นจึงยื่นมือขวาออกมา
เจ้าล่าเยวี่ยเรียกกระบี่มิคำนึงออกมา
กระบี่มิคำนึงบินมาอยู่ข้างมือของจิ๋งจิ่ว
จิ๋งจิ่วคว้ากระบี่เอาไว้ ก่อนจะแทงมันเข้าไปในซอกหินเล็กๆ ซอกหนึ่งบนหน้าผา จากนั้นออกแรงบิดเบาๆ
เสียงแตกจำนวนมากดังขึ้น คล้ายเครื่องเคลือบสิบกว่าใบทยอยตกลงมาบนพื้นจนแตก ข่ายพลังปิดกั้นบนยอดเขาถูกคลายออก เจตน์กระบี่จำนวนนับหลายร้อยสายกลับมาในยอดเขา
เจ้าล่าเยวี่ยสีหน้าตกตะลึงเล็กน้อย เดินไปข้างกายเขา แหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืน
พลังอันแข็งแกร่งสายนั้นยังคงแอบซ่อนอยู่ในท้องฟ้ายามค่ำคืน มิได้แสดงตัวออกมา
จิ๋งจิ่วมองไปยังที่หนึ่งบนท้องฟ้า มิได้กล่าวกระไร
ยอดไม้บนภูเขาถูกลมพัดโบก ส่งเสียงซ่าๆ เหล่าวานรมิได้ส่งเสียงร้อง เสียงจักจั่นหายไป ยิ่งดูเงียบสงัด
กู้ชิงและหยวนฉวี่มองแผ่นหลังของอาจารย์ทั้งสอง ในใจรู้สึกตื่นเต้นเป็นยิ่งนัก
พวกเขารู้ว่าในการต่อสู้ระดับนี้ ตัวเองยื่นมือเข้าไปช่วยก็มิได้มีประโยชน์อะไร
เวลาค่อยๆ เดินไป สถานการณ์ยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลง กระทั่งถึงช่วงเวลาหนึ่ง พลังสายนั้นพลันหายไป
กู้ชิงและหยวนฉวี่ไม่แน่ใจ ยังคงรอคอยอย่างวิตกกังวล
“ไปแล้ว”
จิ๋งจิ่วหมุนตัวเดินเข้าไปในถ้ำ
เจ้าล่าเยวี่ยมองดูแผ่นหลังของเขา คิดอยากจะเตือนเขาสักสองสามประโยค แต่สุดท้ายก็มิได้พูดอะไร
ในที่สุดกู้ชิงและหยวนฉวี่ก็วางใจ เวลานี้พวกเขาถึงได้รู้ว่าขาของตัวเองอ่อนเปลี้ย เสื้อผ้าเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
ในส่วนลึกของถ้ำมีตั่งหยกเหมันต์อยู่ตัวหนึ่ง แผ่ไอเย็นจางๆ ออกมา
อาจเป็นเพราะไม่ชอบความหนาวเย็น จิ๋งจิ่วจึงไม่เคยพักผ่อนที่นี่ เขาแทบจะไม่เข้ามาในนี้เลยด้วยซ้ำ
เขาเดินไปถึงหน้าตั่งหยกเหมันต์ มองดูแมวขาวที่นอนกอดจักจั่นเหมันต์
จักจั่นเหมันต์รับรู้ได้ถึงเจตจำนงของเขา มันมุดออกมาจากอุ้งเท้าแมวอย่างระมัดระวัง ก่อนจะคลานเข้าไปในมุมมุมหนึ่ง
แมวขาวรู้สึกได้ มันยื่นอุ้งเท้าขวาไปตะปบเอาไว้ แต่กลับตะปบเจอความว่างเปล่า จึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา จากนั้นมองไปรอบด้านอย่างสับสน
จักจั่นเหมันต์หลบอยู่ในมุม เนื้อตัวสั่นเทิ้ม
มันย่อมต้องกลัวแมวขนยาวตัวนี้อย่างมาก แต่มันกลับยิ่งไม่กล้าขัดขืนเจตจำนงของจิ๋งจิ่ว
“ไม่ต้องแสร้งแล้ว”
จิ๋งจิ่วมองดูมันพลางกล่าว “ทุกครั้งที่เจ้าออกมาจากถ้ำ ข่ายพลังปิดกั้นก็จะทำงาน นอกจากหลิ่วฉือและหยวนฉีจิงแล้ว ไม่มีใครที่จะมองเห็นเจ้าได้”
แมวขาวมองดูเขาอย่างเงียบๆ ไหนเลยยังจะมีความรู้สึกสับสนอีก ในดวงตาไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ
“ข้าใช้เวลาสามปีวางแผนนี้ แต่ผลสุดท้ายเขากลับไม่ยอมลงมือ”
ตอนแรกที่ถ้ำปลอมของจิ่งหยางเปิดออก จิ๋งจิ่วได้สรุปแล้วว่าในใจของฟางจิ่งเทียนมีผี[1] อยู่
หลังจากนั้นในสวนดอกเหมยเก่าที่เมืองเจาเกอ การที่เทียนจิ้นเหรินลงมือกับเขาก็คือหลักฐานยืนยัน
ฟางจิ่งเทียนมองว่าเขาและเจ้าล่าเยวี่ยกำลังสืบเรื่องที่นักพรตจิ่งหยางบรรลุกลายเป็นเซียน อย่างนั้นก็มีโอกาสอย่างมากที่จะเปลี่ยนจากศิษย์หลานกลายเป็นศิษย์โดยตรง
เพื่อที่จะปิดบังเรื่องบางเรื่อง ฟางจิ่งเทียนมีเหตุผลมากพอที่จะกำจัดเขากับเจ้าล่าเยวี่ยทิ้ง ยิ่งไปกว่านั้นในความเป็นจริงอีกฝ่ายก็พยายามทำไปแล้วถึงสองครั้ง
ฟางจิ่งเทียนเป็นยอดฝีมือขั้นแหวกทะเล แล้วก็มีโอกาสที่จะเป็นยอดฝีมืออันดับสามของชิงซาน การที่ถูกคนแบบนี้จับจ้องถือเป็นเรื่องที่มีความกดดันอย่างมาก
ตอนนี้จิ๋งจิ่วอ่อนแอ จึงยังไม่มีวิธีที่ดีที่จะแก้ไขปัญหานี้ แต่เขาก็ยังอยากจะลองกำจัดภัยคุกคามนี้ดูสักหน่อย
ดังนั้นเมื่อสามปีก่อนเขาถึงอุ้มไป๋กุ่ยกลับมาจากยอดเขาปี้หู
เขารู้ว่าหลังเกิดเรื่องที่สำนักกระบี่ซีไห่ขึ้น หลิ่วฉือและหยวนฉีจิงจะออกไปจากชิงซาน ผีที่อยู่ในใจของฟางจิ่งเทียนก็มีโอกาสที่จะโผล่ออกมาอีกครั้ง
หากฟางจิ่งเทียนพยายามสังหารเขาอีกครั้ง เขาก็จะใช้ข่ายพลังปิดกั้นของยอดเขาเสินม่อและไป๋กุ่ยตอบโต้กลับไป
วันนี้ฟางจิ่งเทียนปรากฏตัวอย่างที่คิดเอาไว้
แต่ที่เหนือความคาดหมายก็คือเขามิได้ลงมือ
เช่นนั้นก็มีคำอธิบายเพียงหนึ่งเดียว
ฟางจิ่งเทียนรู้ถึงแผนการของยอดเขาเสินม่อล่วงหน้า
แมวขาวหรี่ตา บอกว่าเรื่องนี้มิเกี่ยวกับตน
ไม่ใช่มัน ก็ต้องเป็นเจ้าสำนักหรือไม่ก็หยวนฉีจิง
จิ๋งจิ่วไม่มีทางเชื่อมันทั้งหมด เพราะคืนนี้มันไม่ได้ลงมือ แล้วก็เป็นเพราะเขาเคยเล่าเรื่องเหล่านั้นให้มันฟังในตอนที่ไปยังยอดเขาปี้หูครั้งแรก
—-หากไป๋กุ่ยไม่เห็นด้วย หรือพูดอีกอย่างก็คืออนุญาตอย่างกลายๆ ต่อให้เหลยพั่วอวิ๋นเป็นเจ้าแห่งยอดเขาปี้หูก็ไม่มีทางที่จะเอาไม้วิญญาณอัศนีไปได้แม้แต่ท่อนเดียว
แต่แน่นอน นอกจากผีในใจของฟางจิ่งเทียนและไป๋กุ่ยตัวนี้แล้ว ภายในยอดเขาทั้งเก้าจะต้องมีผีตัวอื่นอยู่อีกเป็นแน่ ศิษย์พี่ใช้ไม้วิญญาณอัศนีย้ายวิญญาณไปใส่ไว้ในร่างของศิษย์เผ่าหมิงผู้นั้น ถึงได้ทำลายข่ายพลังปิดกั้นที่เขาตั้งขึ้นมาเองกับมือได้ แต่การจะหนีออกจากคุกกระบี่นั้นยังจำเป็นต้องมีความช่วยเหลืออื่นอีก คนผู้นั้นคือใครกันแน่?
เขาออกไปจากถ้ำ เดินมายังริมผา ทอดตามองไปยังผาหิมะบนยอดเขาซั่งเต๋อที่ถูกแสงดาวส่องสว่าง นิ่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่
ท่านปีนกลับมาจากนรก แล้วคุกกระบี่ยังจะขังท่านได้อย่างไร
ตอนนั้นข้าควรจะฆ่าท่านไปเสียเลยใช่ไหม?
……
……
หลังหนานเจิงหนีออกมาจากเผ่า นางก็มาเข้ากับปู้เหล่าหลิน เนื่องเพราะผู้บำเพ็ญพรตจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรเป็นจำนวนมาก แต่นางไม่มีทรัพยากรเหล่านั้น
ตอนอยู่ในปู้เหล่าหลินนางฆ่าคนไปเยอะมาก เห็นภาพที่น่าอนาถใจเป็นจำนวนมาก ดูคล้ายนรก
แต่นั่นก็เพียงแค่ดูเท่านั้น ทว่าคืนนี้เป็นครั้งแรกที่นางลงมาเดินอยู่ในนรกด้วยตัวเอง
นรกในคืนนี้มีหมอกหนาทึบ นางรู้ว่านี่เป็นวิชาลมฝนของต้าเจ๋อ แล้วก็เป็นเพราะหมอกหนาทึบเหล่านี้ที่ทำให้นางไม่สามารถส่งสัญญาณขึ้นไปบนฟ้าเพื่อขอความช่วยเหลือจากเพื่อนได้
ทุกหนทุกแห่งภายในหมอกเต็มไปด้วยเสียงฆ่าฟัน บางครั้งก็จะมีแสงสว่างวูบไหวขึ้นมา ส่องสว่างหน้าผาที่ดำมืด จากนั้นก็จะมีเสียงร้องโหยหวนและเสียงทึบๆ ดังขึ้นมา นั่นหมายถึงการตาย
เยื้องไปทางด้านหลังมีเสียงฝีเท้าม้าที่ดังปานสายฟ้า นางรู้ว่านั่นคือกองทัพเสินเว่ยของราชสำนัก แล้วก็เป็นทหารเหล็กเหล่านี้ที่สังหารช้างสีแดงของนางจนตาย
ทหารม้าที่ก่อตั้งขึ้นมาจากคนธรรมดาเหล่านั้น เมื่อติดกระดาษยันต์เข้าไปแล้วก็จะแปรเปลี่ยนเป็นมีพละกำลังมหาศาล ลูกศรที่ดูอ่อนแอบอบบางเหล่านั้นหลังติดยันต์เข้าไปแล้วก็กลับกลายเป็นแข็งแกร่ง กระทั่งผู้บำเพ็ญพรตอย่างนางก็ยังมิอาจต้านทานได้ ที่ยุ่งยากมากกว่านั้นก็คือนางกับเพื่อนของนางเจอบัณฑิตของเรือนอี้เหมาสองสามคนด้วย
บัณฑิตพวกนั้นไหนเลยจะคล้ายบัณฑิต?
ล้วนแต่เป็นคนบ้าทั้งนั้น!
ถูชิวตายแล้ว อวี้ปู้ชิวตายแล้ว ถุงมือของถูชิวและขวดรกร้างของอวี้ปู้ชิวล้วนแต่ห้อยอยู่ตรงเอวนาง กู่เจิงหยกเขียวสะพายอยู่ด้านหลัง
หากในเวลานี้นางลงมือ ก็น่าจะสามารถสังหารทหารของกองทัพเสินเว่ยได้ไม่น้อย แต่กระทั่งคิดนางก็ไม่แม้แต่จะคิด
นางเพียงคิดอยากจะหนี
หนีออกไปด้านนอกหมอก
หนีไปยิ่งไกลยิ่งดี
ในที่สุด
นางก็ฝ่าม่านหมอกออกมา มายังยอดเขา
นี่คือภูเขาไร้นามแห่งหนึ่งด้านนอกเมืองไห่โจว
สายฟ้าส่องสว่างฟ้าดิน
นางเหลียวหน้ากลับไปมอง พบว่าทางด้านนั้นคือลานเมฆ
ลำแสงกระบี่สายหนึ่งพุ่งขึ้นมาจากในทะเล
ขึ้นไปบนท้องฟ้า
ก่อนจะวกกลับมายังโลกมนุษย์อีกครั้ง
ใบหน้านางเปลี่ยนเป็นขาวซีด
นางไม่รู้ว่านี่เป็นแผนสังหารที่ไร้ยางอายที่สุดในประวัติศาสตร์โลกบำเพ็ญพรตหรือเปล่า
นางเพียงแต่รู้ว่านรกไม่มีทางที่จะเย็นชาไร้ความรู้สึกไปกว่าลำแสงกระบี่สายนั้นอย่างแน่นอน
…………………………………………………………
[1] ในใจมีผี หมายความว่า ในใจมีความคิดที่ไม่ดีอยู่