ภาคที่ 3 ตอนที่ 63 ลานเมฆพังทลาย

มรรคาสู่สวรรค์

ลำแสงกระบี่สายนั้นสองสว่างโลกที่อยู่ด้านบนเมฆ

หนานเจิงมองดูภูเขาที่ลอยอยู่บนฟ้ายามค่ำคืน รู้ว่านั่นคือลานเมฆ

เดิมนางควรจะคุ้นเคยกับภูเขาลอยฟ้าลูกนี้เป็นอย่างดี เพราะหลายปีมานี้นางเคยไปที่นั่นมาหลายครั้ง แต่คืนนี้เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของมัน

นางรู้ว่านี้น่าจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้เห็นมันแล้ว

ลำแสงกระบี่สายนั้นแหวกท้องฟ้าร่วงลงมา ก่อนจะฟันไปที่ภูเขาลอยฟ้าลูกนั้น

ศัตรูจากภายนอกบุกรุกเข้ามา ข่ายพลังในลานเมฆถูกเปิดขึ้นทั้งหมดตั้งแต่แรกแล้ว ในเวลานี้เมื่อเจอกับลำแสงกระบี่สายนี้ ข่ายพลังย่อมต้องมีการตอบโต้ออกมา แต่มันกลับไม่สามารถหยุดยั้งลำแสงกระบี่เอาไว้ได้แม้แต่นิดเดียว

เสียงกัมปนาทที่ยากจะจินตนาการได้เสียงหนึ่งดังสนั่นขึ้น ตำหนักบนยอดเขาถูกลำแสงกระบี่ฟันจนขาดออกเป็นสองส่วน กลายเป็นเศษหินและเศษไม้ปลิวว่อน

ตำหนักใหญ่แห่งนั้นคือสถานที่ที่จิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยเคยไป ผู้ชนะในงานเลี้ยงซื่อไห่ของแต่ละปีจะเข้าไปพบและรับของรางวัลจากซีหวังซุนที่นี่

ไม่ว่าหลังจากคืนนี้ไปแล้วจะมีการจัดงานเลี้ยงซื่อไห่อยู่หรือไม่ แต่จะมีหลายเรื่องที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างที่ไม่สามารถย้อนกลับได้

หลังฟันตำหนักใหญ่ไปแล้ว ลำแสงกระบี่สายนั้นยังคงผ่าลงไป จมลึกลงไปในภูเขา เสียงเสียดสีและเสียงตัดขาดที่แสบแก้วหูดังขึ้นมา ภูเขามีรอยแตกเป็นทางยาว เศษหินจำนวนนับไม่ถ้วนและฝุ่นควันฟุ้งกระจายขึ้นมาจากด้านใน

ตำหนักและข่ายพลังที่อยู่ในภูเขาลอยฟ้าถูกลำแสงกระบี่สายนั้นฟันจนแตกละเอียด คล้ายเครื่องเคลือบอันบอบบาง

เสียงเสียดสีและเสียงตัดยิ่งแสบแก้วหูขึ้นเรื่อยๆ ยากที่จะทนฟังได้ จากนั้นค่อยๆ เบาลง คล้ายมังกรกำลังส่งเสียงคำราม

รอยแตกนั้นยิ่งลึกขึ้นเรื่อยๆ เศษหินจำนวนนับไม่ถ้วนร่วงตกลงไปในทะเล ภูเขาลอยฟ้าค่อยๆ แยกออกเป็นสองส่วน จากนั้นค่อยๆ ร่วงลงไปด้านล่าง

เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาสั้นๆ

ทั่วทุกที่บนลานเมฆที่มีฝุ่นควันคละคลุ้งล้วนแต่เต็มไปด้วยเงาร่างของผู้ที่พยายามหนีตาย เสียงตะโกนด้วยความหวาดกลัวจำนวนนับไม่ถ้วนและเสียงร้องโหยหวนหลังได้รับบาดเจ็บดังไปทั่วทั้งภูเขา

ศิษย์ชิงซานและเหล่าผู้บำเพ็ญพรตสำนักอื่นที่อยู่บนท้องฟ้าต่างตกตะลึงจนพูดไม่ออก

คนที่ตกตะลึงมากที่สุดคือศิษย์สำนักกระบี่ซีไห่ที่มาช่วยเหลือโดยมีถงหลูเป็นผู้นำ

พวกเขามองดูเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยสีหน้าขาวซีด ในใจครุ่นคิดว่าอาจารย์จะทำอะไร หรือเขาคิดจะทำลายลานเมฆด้วยตัวเอง!

……

……

ลานเมฆเป็นสถานที่สำคัญของสำนักกระบี่ซีไห่ เป็นก้าวที่สำคัญที่สุดในการปักหลักลงบนแผ่นดินเฉาเทียน

เทพกระบี่ซีไห่ทำลายลานเมฆด้วยตัวเอง นี่มันหมายความว่าอย่างไร?

หนานเจิงไม่ได้คิดถึงคำถามนี้ เพราะสายตาของทุกคนรวมถึงนางต่างถูกภาพอีกภาพหนึ่งดึงดูดเอาไว้

นางมองไปยังที่ที่หนึ่งในท้องฟ้ายามค่ำคืน ก่อนจะกล่าวพึมพำออกมาด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อนสับสน “นายท่าน…”

ตรงนั้นมีเชือกเส้นหนึ่งห้อยตกลงมาจากฟ้า ปลายเชือกมีคนอยู่คนหนึ่ง

ซีหวังซุนลอยแกว่งไปมาเบาๆ อยู่ในลมทะเล คล้ายกับหนอนคืบที่ร่วงลงมาจากบนกิ่งไม้ ล่วงรู้ชะตากรรมว่าตัวเองอยู่ห่างจากความตายไม่ไกลแล้ว

จะบอกว่าในเวลานี้เขาเหมือนกับผีที่ถูกแขวนคอก็ได้

อีกชื่อหนึ่งของหนอนคืบก็คือผีแขวนคอ

ลำแสงกระบี่สายนั้นงดงามตระการตา ลำแสงตรงด้านหน้าสุดดูเบาบางเป็นอย่างมาก เบาบางจนแทบจะมองไม่เห็น คล้ายสายลมที่เย็นสบายสายหนึ่ง

ในตอนที่ลำแสงกระบี่ผ่าลงไปยังลานเมฆ ปลายลำแสงกระบี่ไหลผ่านไปในท้องฟ้ายามค่ำคืนอย่างเงียบๆ

ลมเย็นสายหนึ่งพัดผ่านร่างของซีหวังซุน

บนใบหน้าของซีหวังซุนมีรอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏขึ้นมา

หลังจากนั้น รอยยิ้มเขาก็ถูกตัดออกเป็นสองส่วน

เพราะใบหน้าเขาถูกตัดออกเป็นสองส่วน

หลัวจากนั้นร่างกายเขาก็แยกออกเป็นสองส่วน

ซีหวังซุนตายแล้ว

ร่างกายสองส่วนของเขาร่วงตกลงไปในทะเล คล้ายกับลานเมฆที่กำลังแยกออก แล้วก็คล้ายว่าวที่ถูกตัดขาด

ต่อให้เขาบำเพ็ญเพียรจนมีจิตทารกและผีกระบี่ แต่เมื่ออยู่ภายใต้ลำแสงกระบี่ที่ไร้ซึ่งเยื่อใยสายนี้ก็ยังต้องตายไปพร้อมกัน

ยังมีอีกหลายสิ่งที่ตายลงไปพร้อมกับเขา

อย่างเช่นความจงรักภักดีต่อปู้เหล่าหลินของหนานเจิง อย่างเช่นความหยิ่งทะนงของถงหลู

ด้วยเหตุนี้เขาซึ่งกำลังขี่กระบี่อยู่ในท้องฟ้ายามค่ำคืนและนางที่กำลังยืนตัวสั่นอยู่บนยอดเขาจึงได้ยินเสียงที่ดังกังวาลในท้องฟ้าได้ไม่ชัดเจน

นั่นคือเสียงของเทพกระบี่ซีไห่

เขาเหมือนจะกำลังบอกว่าตัวเองดูแลสำนักได้ไม่ดี ปล่อยให้ในสำนักมีสวะอย่างซีหวังซุนและศิษย์ที่อยู่บนลานเมฆมากมายขนาดนี้ รู้สึกผิดเป็นยิ่งนัก เขาจะจัดการเก็บกวาดภายในสำนักด้วยตัวเอง

เขาสั่งให้ศิษย์สำนักกระบี่ซีไห่ถอยกลับไปยังเกาะให้หมด ห้ามรั้งอยู่ที่นี่อีก

ครั้นกล่าวจบ เสียงของเทพกระบี่ซีไห่ก็หายไป ลำแสงกระบี่สายนั้นก็หายตามไปด้วย

เหล่าศิษย์สำนักกระบี่ซีไห่ที่ขี่กระบี่ลอยค้างอยู่กลางอากาศสบตากัน ในใจรู้สึกสับสนเป็นยิ่งนัก สุดท้ายก็ไม่กล้าขัดคำสั่งของอาจารย์ ถูกผู้อาวุโสขั้นคเนจรสองคนนั้นพากลับไป

ถงหลูยังไม่จากไป เขายืนอยู่บนกระบี่ สีหน้าขาวซีด ดูแล้วช่างน่าสงสารยิ่งนัก

ลานเมฆแยกออกเป็นสองส่วน หน้าผาจำนวนมากพังถล่มลงมา ข่ายพลังถูกทำลาย ไม่มีสิ่งก่อสร้างใดที่ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์อีก

ศิษย์สำนักกระบี่ซีไห่และผู้ดูแลที่ยังอยู่บนภูเขาต่างก่นดาออกมาอย่างเจ็บใจและสิ้นหวัง ในนั้นมีเสียงร่ำไห้ดังขึ้นมาด้วย

ข่ายพลังพังทลาย พวกเขาย่อมไม่สามารถรอความตายอยู่ในลานเมฆ จึงพากันขี่กระบี่หนีออกไป เพียงพริบตา ลำแสงกระบี่ร้อยกว่าสายก็บินออกไปจากหน้าผา ส่องสว่างท้องฟ้ายามค่ำคืน

เมื่อเห็นภาพนี้ และได้ยินเสียงร่ำไห้ที่ดังมาแต่ไกล ปู้ชิวเซียวจึงถอนใจออกมา เขากล่าวกับเฉิงโหยวเทียนว่า “ไว้ชีวิตคนที่ยอมจำนนแล้วกัน”

เฉิงโหยวเทียนยกมือขวาขึ้นมากล่าวว่า “ข้าเองก็หวังว่าพวกเขาจะใจเย็นลง”

เมื่อเขาส่งสัญญาณมือ ลำแสงกระบี่และลำแสงอาวุธวิเศษร้อยกว่าสายก็พุ่งเข้าไปหาลานเมฆ เพียงพริบตาก็ยึดพื้นที่ทั้งหมดเอาไว้ได้ เพียงไม่นานก็เผชิญหน้ากับลำแสงกระบี่ร้อยกว่าสายนั้น

กั้วหนานซานเป็นศิษย์อันดับหนึ่งของชิงซาน อีกทั้งสภาวะยังสูงส่ง ย่อมต้องพุ่งออกไปอยู่ด้านหน้าสุด

กระบี่สีน้ำเงินที่อยู่ใต้เท้าเขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะผ่านการซ่อมแซมมาแล้วครั้งหนึ่งหรือเปล่า ลำแสงกระบี่จึงมีสีทองจางๆ แซมอยู่ด้วย

ทันใดนั้นเอง เขามองเห็นภาพภาพหนึ่ง สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย ก่อนจะรีบบินไปยังที่ที่หนึ่ง

มีลำแสงกระบี่สองสามสายที่บินออกมาจากลานเมฆ ทว่ากลับไม่ได้คิดที่จะหลบหนี หากแต่พุ่งเข้าไปหาถงหลูราวคนบ้า เห็นได้ชัดว่าต้องการเล่นงานเขา

แต่ในเวลานี้ถงหลูดันคล้ายเลอะเลือนไปเช่นกัน เขายืนเหม่อลอยอยู่บนกระบี่คล้ายวิญญาณหลุดออกจากร่าง มิได้รับรู้ถึงอันตรายที่กำลังเข้ามา

ยิ่งไปกว่านั้นกั้วหนานซานมองว่า ต่อให้เขารู้ตัว เขาก็คงไม่หลบอยู่ดี

กั้วหนานซานบินเข้าไปหาถงหลูอย่างรวดเร็ว สกัดการโจมตีเหล่านั้นเอาไว้

ศิษย์สำนักกระบี่ซีไห่สองสามคนนั้นใช้สายตาอาฆาตแค้นมองดูถงหลู มิได้พยายามที่จะโจมตีเขาอีก จากนั้นขี่กระบี่บินหนีไป แต่หนีไปไม่ได้ไกลก็ถูกลำแสงกระบี่สิบกว่าสายล้อมเอาไว้

ในท้องฟ้าที่อยู่รอบๆ ล้วนแต่เต็มไปด้วยเสียงฆ่าฟัน เสียงกระบี่ เสียงร้องโหยหวน

กั้วหนานซานยืนอยู่บนกระบี่ มองดูถงหลูพลางตะโกนเสียงดัง “เจ้ามีสติหน่อยสิ! คืนนี้ถือเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดแล้ว!”

ถงหลูใบหน้าซีดขาว เส้นผมที่ถูกน้ำทะเลซัดสาดจนเปียกดูคล้ายใบหลิวที่แห้งเหี่ยว ถงหลูมองกั้วหนานซานพลางกล่าว “ตอนที่เข้าร่วมการประลองวิถีพรตในปีนั้น พวกเรากินแพะย่าง ดื่มสุรา พูดคุยกันทั้งคืน แต่สุดท้ายมีข้าเพียงคนเดียวที่กลายเป็นคนโง่ พวกเจ้าปิดบังข้ามาตลอด ที่แท้สิ่งที่พวกเจ้าต้องการกำจัดก็คือสำนักซีไห่ของข้า”

กั้วหนานซานมีสีหน้าเศร้าใจ เขากล่าวว่า “พวกข้าปิดบังเจ้า เพราะเจ้าเป็นศิษย์ของซีไห่ แต่สิ่งที่พวกเราต้องการกำจัดมาโดยตลอดมิใช่ซีไห่ หากแต่เป็นปู้เหล่าหลิน”

ถงหลูกล่าวเสียงสั่น “แล้วมันต่างกันอย่างไรล่ะ? ซีไห่ก็คือปู้เหล่าหลิน…เจ้าคิดว่าอาจารย์ลงมือสังหารอาจารย์อา ทำลายลานเมฆด้วยตัวเอง แล้วคนทั้งโลกจะคิดว่าเรื่องนี้เป็นความผิดของอาจารย์อา ไม่เกี่ยวกับสำนักกระบี่ซีไห่อย่างนั้นหรือ?”

กั้วหนานซานนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “อย่างน้อยตอนนี้ทุกคนก็คิดเช่นนี้”

“แต่ข้าไม่ได้คิดเช่นนี้!”

ถงหลูพลันตะโกนออกมาอย่างโกรธแค้น “ตอนนั้นพวกเราเคยคุยกันหลายเรื่อง และเรื่องที่สำคัญที่สุดในนั้นก็คืออย่าทำเรื่องที่หลอกตัวเอง!”

กั้วหนานซานจ้องมองเขา มิได้กล่าวกระไรอีก จากนั้นขี่กระบี่บินจากไป

……………………………………