การต่อสู้เริ่มขึ้นแล้ว กั้วหนานซานไม่อาจรั้งอยู่ตรงนี้นานเพราะถงหลูได้
แต่ในความเป็นจริง การต่อสู้ครั้งนี้เริ่มต้นขึ้นไม่นานก็จบสิ้นลง
การต่อสู้ระหว่างผู้บำเพ็ญพรตมักจะเย็นชา โหดร้ายและรวดเร็ว
เพียงไม่นานก็รู้คำตอบว่าจะเป็นหรือตาย เมื่อเทียบกันแล้ว การต่อสู้ของคนธรรมดานั้นช่างดูคล้ายกับการเล่นขายของเสียจริง
ลำแสงกระบี่และลำแสงอาวุธวิเศษหลายร้อยสายบินฉวัดเฉวียนอยู่ในท้องฟ้า จากนั้นก็มีลำแสงกระบี่ร่วงตกลงไปด้านล่างอย่างต่อเนื่อง คล้ายกับสายฝนก็มิปาน ไม่รู้ว่ามีคนตายไปมากน้อยเท่าไร
เมื่อเห็นภาพที่อยู่ในท้องฟ้ายามค่ำคืน หนานเจิงพลันรู้สึกว่าเวลาที่ตัวเองฆ่าคนตอนที่อยู่ในปู้เหล่าหลินก็คล้ายกับการเล่นขายของเช่นเดียวกัน
ถึงแม้สภาวะของนางจะสูงส่งกว่าผู้บำเพ็ญพรตบางคนที่เข้าร่วมการต่อสู้ในวันนี้ก็ตาม
ลานเมฆพังทลายลง
นางหมุนตัวเดินลงไปยังด้านล่างของเมฆ กะโผลกกะเผลก ไม่รู้ว่าร่วงตกลงไปจากหน้าผากี่ครั้ง แม้นจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ก็รู้สึกเจ็บปวด
นางรู้ว่าโลกที่อยู่ในหมอกก็อันตรายเช่นเดียวกัน แต่นางก็ยินดีที่จะเผชิญหน้ากับอันตรายเหล่านั้น ดีกว่าจะมาหยุดอยู่บนเมฆแล้วมองดูภาพเหล่านั้น
โลกที่อยู่ด้านล่างก้อนเมฆนั้นเงียบสงบ เสียงฆ่าฟันค่อยๆ ห่างออกไป แต่ในดวงตาของนางกลับมีสายตาระแวดระวังปรากฏขึ้นมา จากนั้นหยิบเอากู่เจิงที่อยู่ด้านหลังออกมา
นิ้วมือเรียวเล็กวางลงไปบนกู่เจิง ดึงสายเบาๆ อย่างไร้ซุ่มเสียง เปล่งเสียงที่ดังกังวานออกมา เสียงกู่เจิงที่ไร้รูปร่างกระจายออกไปรอบๆ ตัดไอหมอกที่หนาทึบ
ฉัวะๆๆๆ
เสียงทึบๆ หลายเสียงดังขึ้น
ทหารม้าของกองทัพเสินเว่นที่แอบซ่อนตัวอยู่ในเงามืดถูกเป้าหมายพบตัว พวกเขาจึงเปิดฉากโจมตีทันที เสียงฝีเท้าหนักๆ เหยียบย่ำไปบนพื้น พื้นดินสั่นสะเทือนขึ้นมาอย่างชัดเจน
หนานเจิงถือกู่เจิงด้วยมือข้างเดียว กระโดดถอยไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว แต่กลับไม่สามารถหลบทหารม้าจำนวนมากที่พุ่งมาจากด้านข้างได้
เสียงกระแทกทึบๆ ดังขึ้น นางถอยจนมาถึงใต้หน้าผา ใบหน้าค่อนข้างขาวซีด
แผ่นยันต์ที่ถูกเสียงกู่เจิงตัดขาดลุกไหม้ขึ้นมา เปล่งแสงสว่างจางๆ ส่องสว่างพื้นที่รอบๆ
ทหารม้าของกองทัพเสินเว่ยอย่างน้อยหลายสิบนายปรากฏขึ้นตรงหน้านาง เงาดำแน่นขนัด คล้ายป่าหินอย่างไรอย่างนั้น
หนานเจิงมองทหารม้าที่อยู่ด้านหน้าสุดผู้นั้นอย่างไม่หวาดกลัว
ใบหน้าของหัวหน้ากองทหารม้าผู้นั้นแอบซ่อนอยู่ภายใต้หมวกเหล็ก มองเห็นแค่เพียงดวงตา สายตากระจ่างใส ดูแล้วอายุยังน้อย แต่กลับเย็นชาเป็นยิ่งนัก
สายตาหนานเจิงเลื่อนลงมา ก่อนจะมองเห็นว่าหัวหน้าทหารผู้นั้นสะพายกระบี่บินเอาไว้เล่มหนึ่ง
กระบี่บินเล่มนั้นถูกมัดเอาไว้อย่างแน่นหนา แผ่ไอเย็นจางๆ ออกมา เห็นได้ชัดว่าไม่ธรรมดา
หัวหน้าทหารม้าผู้นั้นหยิบเอาของวิเศษออกมา มองดูภาพเหมือนที่ปรากฏอยู่ในลำแสงนั้น ก่อนจะมองใบหน้าของหนานเจิงที่ถูกแสงสว่างส่อง จากนั้นกล่าวว่า “เจ้าเป็นนักฆ่าของปู้เหล่าหลิน ข้าให้เวลาเจ้าสามอึดใจ ยอมจำนนซะ”
หัวหน้าทหารม้าผู้นี้ก็คือกู้พ่านที่เมื่อตอนกลางวันพาลูกน้องไปตามหากระบี่
ระหว่างทางที่กลับมา เดิมเขาไม่อยากให้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แต่ในเมื่อมาเจอกับมือสังหารของปู้เหล่าหลิน เขาก็ไม่อาจจากไปแบบนี้ได้เช่นกัน
หนานเจิงย่อมไม่มีทางยอมจำนน แล้วก็ไม่คิดที่จะรอให้อีกฝ่ายนับเวลาจนครบสามอึดใจ มือขวาของนางยื่นไปหาขวดรกร้างที่ห้อยอยู่ตรงเอว
นางไม่เคยเรียนคัมภีร์วิชาลับของสำนักเสวี่ยหมัว จึงไม่สามารถใช้พลังของขวดรกร้างได้อย่างเต็มที่เหมือนอย่างอวี้ปู้ฮวน แต่ถ้าใช้ป้องกันทหารม้าเหล่านี้น่าจะไม่มีปัญหา
ในขณะที่นิ้วมือของนางใกล้จะถึงขวดรกร้าง ทันใดนั้นตรงหน้าผาพลันมีลมสายหนึ่งพัดขึ้นมา
เห็นได้ชัดว่าเป็นค่ำคืนที่มีหมอกช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ แต่สายลมกลับหนาวเย็นเป็นยิ่งนัก
ในสายลมไม่มีอุณหภูมิ แล้วก็ไม่มีความชื้น
มีคนผู้หนึ่งปรากฏขึ้นข้างกายนางหลังสายลมพัดผ่านไป ก่อนจะยื่นมือไปหยิบเอากู่เจิงหยกที่อยู่ด้านหลังของนางมา จากนั้นเดินไปหน้าทหารม้าเหล่านั้น
หนานเจิงตกตะลึงเป็นยิ่งนัก พลังของคนผู้นี้มิได้แข็งแกร่งอะไร เช่นนั้นเหตุใดตอนที่อีกฝ่ายเอากู่เจิงหยกไป ตนเองถึงไม่สามารถแม้แต่จะคิดต่อต้าน?
คนผู้นั้นคือดรุณีสวมใส่ชุดสีขาวผู้หนึ่ง บนใบหน้ามีผ้าแพรสีขาวปิดเอาไว้ ผ้าแพรสีขาวโบกสะบัดตามสายลมอย่างแผ่วเบา เผยให้เห็นใบหน้าที่ดูธรรมดา
กู้พ่านกล่าวเสียงขึงขัง “บอกนามของเจ้ามา”
ไอพลังของดรุณีชุดขาวผู้นั้นกระจ่างใสเป็นอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าวิชาที่นางฝึกคือวิชาของสำนักฝ่ายธรรมะ น่าจะเป็นคนของฝ่ายธรรมะ
แต่เพราะการกระทำของนาง กู้พ่านและเหล่าทหารม้าของกองทัพเสินเว่ยจึงยังมีทีท่าระมัดระวัง
ดรุณีชุดขาวกล่าวว่า “เจ้าไม่ต้องรู้ว่าข้าเป็นใคร แต่เจ้าน่าจะรู้เป้าหมายของข้า”
ใบหน้าของกู้พ่านถูกหมวกเหล็กปกปิดเอาไว้ ดวงตาที่ปรากฏออกมาด้านนอกดูคร่ำเคร่ง
หรือเป้าหมายของอีกฝ่ายจะเป็นกระบี่ที่อยู่บนหลังตน?
ครั้งนี้เป็นภารกิจลับสุดยอด นางไปรู้เรื่องนี้มาจากไหน?
ดรุณีชุดขาวรู้ว่าทหารม้ากองทัพเสินเว่ยเหล่านี้ไม่มีทางมอบกระบี่ให้ จึงมิได้กล่าวกระไร มือขวาวางไปบนกู่เจิง นิ้วชี้ตวัดเบาๆ
ผึ่ง
เสียงกู่เจิงดังขึ้น
หนานเจิงที่อยู่ด้านหลังมองเห็นอย่างชัดเจน ดรุณีชุดขาวนางนี้น่าจะไม่เคยใช้กู่เจิงมาก่อน ที่นางใช้คือวิธีดีดของกู่ฉิน ยิ่งไปกว่านั้นยังดูติดขัด เรียกได้ว่าเก้ๆ กังๆ คล้ายกับผู้ที่เพิ่งหัดเล่น แต่เสียงกู่เจิงนี้…กลับดังกังวานเป็นยิ่งนัก ต่อให้เป็นเสียงของลูกนกเฟิ่งหวงก็มิอาจเทียบได้
ยิ่งไปกว่านั้นเหตุใดเสียงกู่เจิงนี้ถึงได้มีกลิ่นอายแห่งการฆ่าฟันที่รุนแรงถึงเพียงนี้?
ทหารม้าของกองทัพเสินเว่ยเหล่านั้นเป็นคนธรรมดา ฟังไม่ออกถึงความน่ากลัวของเสียงกู่เจิงนี้
แต่ม้าที่พวกเขาขี่อยู่กลับรับรู้ได้อย่างชัดเจน พวกมันดูร้อนใจกระสับกระส่ายเป็นอย่างมาก รีบเหลียวหน้าห้อตะบึงหนีไปโดยไม่สนใจการควบคุมของผู้เป็นนาย
แต่มันก็สายไปเสียแล้ว เสียงกู่เจิงที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งการฆ่าฟันพุ่งกระจายออกไปรอบทิศ สัมผัสกับกระดาษยันต์ที่อยู่บนตัวม้าและตัวทหารม้า จากนั้นตัดขาด
ยันต์เหล่านั้นลุกไหม้ ยังมิทันที่จะได้เปล่งแสงสว่างครั้งสุดท้ายออกมาก็แตกกระจายกลายเป็นดวงไฟเล็กๆ ดูคล้ายหิ่งห้อยก็มิปาน
หิ่งห้อยยังไม่ทันหายไป ทหารม้าร้อยกว่านายก็ทยอยร่วงหล่นจากหลังม้าลงไปบนพื้น ม้าเหล่านั้นก็ล้มลงไปเช่นกัน ส่งเสียงทึบๆ ที่หนักอึ้งออกมานับไม่ถ้วน
เมื่อไม่มียันต์ของเรือนอี้เหมาคอยช่วยเหลือ ทหารม้าและม้าเหล่านี้ก็ไม่สามารถแบกรับน้ำหนักของเกราะอันหนักอึ้งเช่นนี้ได้ ต่างคนต่างนอนดิ้นรนอยู่บนพื้น แต่กลับไม่สามารถลุกขึ้นมาได้
ดรุณีชุดขาวก้าวไปข้างหน้า ยื่นมือไปหยิบกระบี่เล่มนั้นมาจากด้านหลังกู้พ่าน รับรู้ถึงไอเย็นที่แผ่ออกมาจากตัวกระบี่ ก่อนจะพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
แล้วก็ไม่รู้ว่านางใช้วิธีอะไร กระบี่เล่มนั้นถึงได้หายไปจากฝ่ามือของนาง
นางหมุนตัวเดินเข้าไปหาหนานเจิง
อดีตกู้พ่านเคยเป็นศิษย์นอกสำนักของสำนักจงโจว ถึงแม้สภาวะจะธรรมดา แต่ถึงอย่างไรก็เป็นผู้บำเพ็ญพรต เขาฝืนดันม้าที่นอนทับขาออกไป จากนั้นถอดชุดเกราะอันหนักอึ้งออกจากร่างกายอย่างยากลำบาก เผยให้เห็นใบหน้าที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อและดวงตาที่ร้อนใจ
เขามองแผ่นหลังของดรุณีนางนั้นพลางตะโกนว่า “เจ้าเป็นใครกันแน่?”
ดรุณีชุดขาวหาได้สนใจเขาไม่ นางเดินเข้าไปหาหนานเจิงพลางกล่าวถามว่า “เจ้ามาจากเผ่าเร่ร่อน?”
หนานเจิงผงกศีรษะอย่างกระวนกระวาย พลังของอีกฝ่ายดูมิได้แข็งแกร่ง แต่สัญชาตญาณบอกนางว่าหากตนเองลงมือจะต้องเสียใจอย่างแน่นอน
ดรุณีชุดขาวกล่าวถาม “ชื่อ”
นางกล่าว “หนานเจิง”
ดรุณีชุดขาวถามว่า “เจ้ากับหนานว่างเป็นอะไรกัน?”
เมื่อดูจากพลังแล้ว เห็นได้ชัดว่าดรุณีชุดขาวนั้นเป็นผู้บำเพ็ญพรตของสำนักฝ่ายธรรมะ ไม่แน่อาจจะรู้จักกับหนานว่างก็เป็นได้
หนานเจิงคิดว่าหากตนเองพูดความจริงออกไป อาจจะเกิดปัญหาได้
ในขณะที่นางเตรียมจะพูดโกหก ภายในหัวพลันคิดถึงภาพบนก้อนเมฆเหล่านั้น จากนั้นเกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย จึงกัดฟันกล่าวว่า “นางเป็นคนในเผ่าของข้า แล้วก็เป็นศัตรูด้วย”
ครั้นกล่าวจบประโยคนี้ มุมปากของนางมีรอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏขึ้นมา จากนั้นก็เตรียมตัวที่จะสู้
รู้ทั้งรู้ว่ามิใช่คู่ต่อสู้ แต่นางก็ไม่อาจตายไปแบบนี้ได้เช่นเดียวกัน
คิดไม่ถึงว่าดรุณีชุดขาวจะมองนางเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “ข้าเองก็เกลียดผู้หญิงคนนั้นเช่นนั้น อย่างนั้นข้าจะไม่ฆ่าเจ้าแล้วกัน”
………………………….