หนานเจิงตกตะลึง
นางเตรียมตัวที่จะสู้ตายแล้ว
ก็เหมือนกับในปีนั้น เผ่าของนางถูกขับไล่ออกจากภูเขาที่เคยอาศัยอยู่ ตระกูลของนางถูกฆ่าล้างจนหมด ในตอนนั้นนางเองก็ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่เช่นกัน
“หนานว่างถูกคนพวกนั้นตามใจมาหลายปี ทำตัวอวดดี ในเผ่าเร่ร่อนย่อมต้องไม่มีใครกล้าต่อต้านผู้สืบทอดของตระกูลของนาง เจ้าเองก็ถือว่าน่าสงสาร”
ดรุณีชุดขาวมองนางพลางกล่าว “เอาของออกมาให้หมด”
หนานเจิงตกตะลึงอีกครั้ง หลังผ่านไปครู่จึงเข้าใจความหมายของนาง มิกล้าลังเลใดๆ รีบปลดขวดรกร้างและถุงมือเพชรส่งให้ ในใจครุ่นคิดอยู่ครู่ ก่อนจะหยิบเอายาที่ปู้เหล่าหลินมอบให้นางเป็นรางวัลออกมาด้วย
ดรุณีชุดขาวรับเอาขวดรกร้างและถุงมือเพชรไป แต่ไม่ได้หยิบเอายาเหล่านั้นไปด้วย จากนั้นกล่าวว่า “กู่เจิงของเจ้าไม่เลว ขอข้ายืมสักสองสามปี”
หนานเจิงคิดในใจ หรือตนเองยังจะปฏิเสธได้?
ครั้นกล่าวจบ ดรุณีชุดขาวก็เหยียบอากาศกระโดดขึ้นไป ลมพัดกระโปรงโบกสะบัด พลิ้วลอยออกไป
กู้พ่านมองไปยังทิศทางที่นางหายตัวไป สีหน้ายังคงสับสน อีกฝ่ายสามารถสังหารตนเองและลูกน้องทุกคนเพื่อปิดปากได้อย่างง่ายดาย แต่เหตุใดจึงไม่ทำเช่นนี้?
หนานเจิงเองก็เกิดความสงสัยเช่นเดียวกัน แล้วยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่เข้าใจ
ดรุณีชุดขาวผู้นี้ไม่รู้เป็นใครมาจากไหน แต่จะต้องเป็นยอดคนในโลกแห่งการบำเพ็ญพรตอย่างแน่นอน
คืนนี้โลกแห่งการบำเพ็ญพรตเปิดศึกกับปู้เหล่าหลิน นางกลับไม่ไปเข้าร่วมต่อสู้ หากแต่มาดักรออยู่ที่นี่
นี่มันหมายความว่าอย่างไร?
กระดาษยันต์ที่ปลิวกระจายคล้ายหิ่งห้อยค่อยๆ ดับลง โลกที่อยู่ภายในหมอกค่อยๆ กลับคืนสู่ความมืดอีกครั้ง
หนานเจิงมองกู้พ่าน ก่อนจะหายตัวไปในความมืด
……
……
แผ่นดินทางตะวันตกเฉียงใต้รกร้างเป็นยิ่งนัก โดยเฉพาะหมู่เขาที่รายรอบเมืองอี้โจวนั้นยิ่งรกร้างผู้คน กระทั่งในวัดใหญ่ที่ควรจะมีธูปเทียนลุกไหม้อย่างสำนักฌานเป่าทงก็ยังดูเงียบเหงา แทบจะไม่เห็นชาวบ้านเดินทางมาสักการะแก้บนเลย ในช่วงเวลาระหว่างวัน นอกจากเสียงท่องตำราเรียนของพระแล้วก็มีแต่ความเงียบสงัด
ทางด้านตะวันตกห่างจากสำนักฌานไปหลายลี้มีสวนผักอยู่แห่งหนึ่ง รับหน้าที่คอยส่งพืชผักเข้าไปให้พระในวัด ช่วงนี้นอกจากพระที่รับผิดชอบปลูกผักแล้วก็มีชายหนุ่มอีกสามคน
เมื่อเห็นผักและเต้าหู้ที่อยู่ในชามดินเผาแล้ว เหอจานทำสีหน้ารังเกียจพลางกล่าวว่า “ขืนกินแบบนี้ต่อไป หน้าจะต้องเปลี่ยนเป็นสีเขียวแน่”
ซูจึเย่ที่นอนอยู่บนเตียงเหลือบมองเขา
เมื่ออยู่ภายในสวนผักของสำนักฌานเป่าทง เขามิใช่นายน้อยของสำนักเสวียนอินผู้โด่งดังอีก หากแต่เป็นคนไร้ค่าคนหนึ่ง
เหอจานกล่าว “ข้ามิได้กำลังเยาะเย้ยเจ้านะ เมื่อก่อนเจ้าน่ะเป็นผัก แต่ตอนนี้เป็นแค่มะเขือม่วง ถึงแม้จะดูจางลงไปแล้ว แต่ก็ยังเป็นมะเขือม่วงอยู่ดี”
ถงเหยียนเดินเข้ามาในกระท่อม วางยาในมือลงไปบนโต๊ะ จากนั้นมองซูจึเย่พลางกล่าวว่า “ยาได้ผลไม่เลว อีกห้าวันน่าจะขับพิษออกได้หมดแล้ว”
ถึงแม้ในชื่อสำนักฌานเป่าทงจะมีคำว่าฌานอยู่ แต่ก็มิได้เป็นสายสืบทอดของสำนักฌาน มิได้มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับวัดกั่วเฉิง ในทางกลับกัน ว่ากันว่าพวกเขามีความใกล้ชิดกับสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยมากกว่า แต่สำนักฌานเป่าทงนั้นมีฝีมือทางการแพทย์ที่สูงส่งเหมือนวัดกั่วเฉิง ยิ่งไปกว่านั้นเนื่องจากแผ่นดินทางตะวันตกเฉียงใต้เป็นป่าร้อนชื้น อากาศเป็นพิษอย่างมาก ในด้านการรักษาพิษแล้วเรียกได้ว่ามีฝีมือเหนือวัดกั่วเฉิง ถึงแม้พิษในร่างซูจึเย่จะรุนแรง แต่เมื่อได้รับการรักษาจากสำนักฌานเป่าทงก็เรียกได้ว่ารักษาชีวิตเอาไว้ได้
ในตอนแรกสุดเจ้าอาวาสของสำนักฌานเป่าทงรู้ว่าซูจึเย่เป็นใคร จึงไม่ยอมรักษา สุดท้ายได้รับการขอร้องจากถงเหยียนจึงจำใจตกลง แต่เขาไม่ยอมให้คนของพรรคมารมานอนอยู่ในสำนักฌาน จึงจัดให้พวกเขาไปนอนอยู่ที่สวนผัก ทุกวันให้ถงเหยียนแอบเข้ามาเอายาในวัด และต้องเก็บเรื่องนี้เป็นความลับไม่ให้คนอื่นล่วงรู้ มิเช่นนั้นชื่อเสียงที่สั่งสมมาเป็นพันปีคงต้องจบลงภายในวันเดียวอย่างแน่นอน
ทั้งสามคนพักอยู่ที่สวนผักมาหลายวัน สุราที่เหอจานนำมาด้วยถูกดื่มจนหมดไปนานแล้ว เขากระหายสุราจนแทบจะทนไม่ไหว เวลานี้ได้ยินถงเหยียนบอกว่าใช้เวลาอีกห้าวัน สีหน้าจึงดูดีขึ้นมาไม่น้อย
ถงเหยียนเดินไปริมหน้าต่าง เล่นหมากล้อมที่ยังเล่นไม่จบกระดานนั้น
ซูจึเย่ดื่มยาจนหมดโดยมีเหอจานคอยช่วยเหลือ ก่อนจะขยับจากบนเตียงมายังริมหน้าต่างอย่างยากลำบาก สายตามองไปทางกระดานหมากล้อม
แสงอาทิตย์ส่องทะลุหน้าต่างทอดลงไปบนกระดาน ก่อนจะสะท้อนไปบนหน้าของเขา เมื่ออยู่ภายใต้แสงอาทิตย์อันร้อนแรง ผิวหนังที่เป็นสีเขียวของเขาดูจางลงเล็กน้อย ช่างคล้ายใบผักจริงๆ
แสงอาทิตย์ตกกระทบลงไปบนใบหน้าถงเหยียนเช่นกัน ผิวหนังที่ขาวละเอียดดูราวกับหยกก็มิปาน คิ้วทั้งสองข้างยิ่งดูจางลง ช่างคล้ายกับเด็กน้อยจริงๆ
เป็นเพราะเหอจานไม่ยอมที่จะเล่นหมากล้อมอีก คู่ต่อสู้ของถงเหยียนจึงเป็นตัวเขาเอง หมากกระดานนี้เขาเล่นมาห้าวันแล้ว ซูจึเย่เองก็มองดูมานานแล้ว เขาเล่นหมากล้อมเป็น อีกทั้งยังคิดว่าตัวเองเป็นคนฉลาดด้วย แต่จนกระทั่งถึงวันนี้เขายังคงมองดูหมากกระดานนี้ไม่เข้าใจ เขาถึงได้รู้ว่าฝีมือของตนกับถงเหยียนนั้นต่างกันมากเพียงไร
สำหรับเขาแล้ว การที่ถงเหยียนซึ่งมีวิถีหมากล้อมเหนือทุกคนบนโลกนี้ยังคงวางหมากอย่างตั้งใจทุกวัน ไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย ย่อมต้องเป็นเพราะเหตุผลนั้นเหตุผลเดียว
ซูจึเย่กล่าวถามว่า “ยังเจ็บใจที่แพ้ให้จิ๋งจิ่วหรือ?”
“จะทำเรื่องใดล้วนแต่ต้องพยายาม ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเป็นเหมือนเจ้านั่น อาศัยเพียงโชคก็ทำทุกเรื่องได้ราบรื่น”
ถงเหยียนไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา ขนตาถูกแสงแดดตกกระทบเป็นเงายาว เย็นยะเยือกคล้ายเสียงของเขา
ซูจึเย่มองเหอจาน ก่อนกล่าวด้วยความรู้สึกเช่นเดียวกัน “ช่างน่าอิจฉาจริง”
เหอจานเป็นเพื่อนของพวกเขาทั้งสองคน แล้วก็เป็นจุดเชื่อมโยงเพียงหนึ่งเดียว
ในโลกแห่งการบำเพ็ญพรต สิ่งที่ทำให้เหอจานมีชื่อเสียงนั้นมิใช่พรสวรรค์ ถึงแม้พรสวรรค์ของเขาจะดีมากก็ตาม แล้วก็มิใช่ฉายาอันดับสองในแผ่นดินอันนั้นด้วย ทุกคนต่างรู้ว่านั่นเป็นเพียงเรื่องล้อเล่น
สิ่งที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขาก็คือโชค
ศิษย์ไร้สำนักผู้หนึ่ง ไม่เคยเรียนวิชาของฝ่ายธรรมะ แล้วก็ไม่เคยเรียนวิชาพรรคมาร แต่กลับมีชื่อเสียงอยู่ในระดับเดียวกับซูจึเย่และถงเหยียน
เป็นเพราะนิสัยและคุณธรรมอย่างนั้นหรือ? แน่นอนว่ามิใช่ หากแต่เป็นเพราะเขามีโชคที่มากพอจนทำให้เขากลายเป็นคนยิ่งใหญ่ได้
เหอจานกำลังปอกเปลือกถั่วแระที่อยู่ในน้ำเกลือเพื่อใส่ลงในชา ครั้นได้ยินคำพูดของทั้งสองคน จึงปัดมือแล้วเดินมาที่ริมหน้าต่าง
“ไม่ต้องอิจฉา เพราะข้าเองก็ไม่เข้าใจเช่นเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้นข้าชักจะรู้สึกว่ามันมิใช่เรื่องดีสักเท่าไร”
หลายปีก่อน ด้านนอกเมืองแห่งหนึ่งมีสำนักชีธรรมดาอยู่แห่งหนึ่ง ภายในสำนักมีแม่ชีชราอยู่คนหนึ่ง ด้านหน้าสำนักชีมีบันไดอยู่สี่ขั้น
ในคืนหนึ่ง ทารกคนหนึ่งได้ถูกทำมาทิ้งไว้บนบันไดขั้นที่สอง
รุ่งเช้า แม่ชีชราผู้นั้นได้พบทารกที่ถูกนำมาทิ้งคนนั้น จึงอุ้มเขาเข้าไปด้านในสำนัก
ทารกที่ถูกทิ้งคนนั้นก็คือเหอจาน
ทุกวันแม่ชีชราผู้นั้นจะสวดมนต์ เหอจานฟังตั้งแต่เด็กจนจำขึ้นใจ ภายหลังจึงเริ่มฝึกตาม เขาถึงได้รู้ว่าที่แท้บทสวดมนต์เหล่านั้นคือเคล็ดวิชา
เหอจานจึงก้าวเข้าสู่โลกแห่งการบำเพ็ญพรต
เวลาของแม่ชีชรามาถึงแล้ว นางหลับตานอนไปชั่วนิรันดร์ เหอจานออกมาจากสำนักแม่ชี เริ่มท่องไปบนโลกมนุษย์
เดิมเขาคิดว่าสำนักแม่ชีธรรมดาเพียงนั้น แม่ชีชราธรรมดาเพียงนั้น เช่นนั้นวิชาที่ฝึกก็ต้องเป็นของที่ธรรมดาอย่างมากเช่นเดียวกัน ดังนั้นเวลากระทำการใดจึงเรียบง่ายไม่เป็นที่สังเกต แทบจะไม่ข้องแวะกับผู้บำเพ็ญพรตเลย เขาเคยคิดด้วยซ้ำว่าจะไปลงชื่อสมัครเป็นเจ้าหน้าที่ในกรมชิงเทียนดีหรือไม่
ในวันหนึ่ง เขาเก็บของวิเศษได้ที่ริมธาร ถูกศิษย์หนุ่มสำนักซานตูผู้หนึ่งมาชนเข้า อีกฝ่ายคิดจะขโมยของวิเศษนั้น
เขาไม่กล้ายื้อแย่ง เตรียมจะมอบของวิเศษนั้นให้อีกฝ่าย ใครจะคิดบ้างว่าศิษย์สำนักซานตูผู้นั้นยังคิดจะฆ่าเขาปิดปาก ในขณะที่เขากำลังสิ้นหวัง จึงจำต้องลงมือตอบโต้กลับไป
ศิษย์สำนักซานตูผู้นั้นสลายกลายเป็นควันตรงหน้าเขา
ในเวลานั้นเขาถึงได้รู้ว่าที่แท้ทุกอย่างล้วนไม่ธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นสำนักแม่ชีหรือตัวแม่ชีชรา หรือว่าจะเป็นวิชาที่เขาฝึกนั้น
เรื่องราวที่ทยอยเกิดขึ้นในภายหลังได้พิสูจน์แล้วว่าเขาก็มิใช่คนธรรมดา อย่างน้อยก็ในด้านโชค
เขาพบเจอเรื่องราวมากมาย เก็บของวิเศษได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นกระดูกของมังกร หรือว่าจะเป็นหินผลึกที่มากมายก่ายกอง
ในตอนที่เขาต้องการอะไรเขาก็มักจะพบเจอสิ่งนั้น
การเปลี่ยนจากเรื่องร้ายกลายเป็นเรื่องดีเช่นนี้ สำหรับเขาแล้วกลายเป็นเหมือนเรื่องปกติธรรมดา
เขาค่อยๆ เติบโตขึ้นมาแบบนี้ มีชื่อเสียงขึ้นมาในโลกแห่งการบำเพ็ญพรต กลายเป็นศิษย์ที่สำนักใหญ่ๆ ต่างต้องการแย่งตัว
ก็เหมือนกับที่ซูจึเย่ว่ามา โชคดีขนาดนี้ แล้วคนอื่นจะไม่รู้สึกอิจฉาได้อย่างไร?
ซูจึเย่กล่าวถามว่า “โชคดีมีอะไรไม่ดี?”
เหอจานผายมือกล่าวว่า “ข้าก็ไม่อยากให้เป็นแบบนี้ คนเราต้องผ่านความยากลำบาก ถึงจะสามารถขัดเกลาความมุ่งมั่น ชำระล้างและฝึกฝนใจแห่งเต๋าได้ แต่ข้าไม่มีโอกาสแบบนั้น”
ซูจึเย่และถงเหยียนสบตากัน มิได้กล่าวกระไร
เหอจานพูดกับตนเองต่อว่า “แต่ถ้าให้เป็นเหมือนอย่างหลิ่วสือซุ่ย ข้าก็ไม่อยากเช่นกัน”
ภายในห้องตกอยู่ในความเงียบ
เสียงปักเสียงหนึ่งดังขึ้นเบาๆ
ถงเหยียนวางหมากเม็ดหนึ่งลงไป ก่อนกล่าวเสียงเบาๆ ว่า “แต่สุดท้ายพวกเราก็ทำสำเร็จ”
………………………………….