ภาคที่สาม มิต้อง ตีกรับ ร่ำสุรา จากจอกทอง ตอนที่ 15 ดึงทึ้งตบตี

ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3

เว่ยฉางอิ๋งรู้ว่าพี่น้องตระกูลเติ้งประคับประคองพึ่งพากันมาแต่เล็ก สายสัมพันธ์พี่น้องย่อมลึกซึ้ง ครานี้ตวนมู่ซินเหมี่ยวหลอกใช้เติ้งวานวานมาจัดการเติ้งจงฉี เมื่อเติ้งวานวานตื่นขึ้นมาแล้วจะไม่เอะอะโวยวายย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

เพียงแต่นางก็คิดไม่ถึงว่า เพื่อพี่ชายแล้วเติ้งวานวานที่ตลอดทางดูไปแล้วอ่อนโยนเรียบร้อย กระทั่งตอนแรกๆ นั้นยังออกจะขี้อายเสียด้วยจะดุร้ายได้ถึงเพียงนี้ …เพราะเสิ่นจั้งเฟิงยังคงพักฟื้นอยู่ สองสามีภรรยาจึงไม่สะดวกจะอยู่ในห้องเดียวกัน แม้เวลานี้เว่ยฉางอิ๋งจะอยู่กันคนละเรือนกับเสิ่นจั้งเฟิง แต่คนหนึ่งอยู่ทางฝั่งตะวันออกอีกคนอยู่ฝั่งตะวันตก กลางดึกพลันถูกปลุกให้ตื่นขึ้น เว่ยฉางอิ๋งยังคงสะลึมสะลืออยู่และได้ยินว่า “คุณหนูตวนมู่แย่แล้วเจ้าค่ะ” นางนึกว่าทางสามีเกิดเรื่องใด แม้แต่ ตวนมู่ซินเหมี่ยวรีบรุดไปถึงก็ยังต้องร้องออกมาว่าแย่แล้ว เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ จึงสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันใด

หลังจากเรียกคนเข้ามาถามจึงรู้ว่า เสิ่นจั้งเฟิงยังอยู่ดี แต่เป็นตัวตวนมู่ซินเหมี่ยวเองที่แย่แล้ว

เว่ยฉางอิ๋งลดระดับความตกใจลงไปครึ่งหนึ่ง แล้วตำหนิบ่าวที่มารายงานว่า “มิใช่บอกให้พวกเจ้าเฝ้าดูทั้งสองฝ่ายเอาไว้ให้ดีสักหน่อยแล้วรึ?” นางอุตส่าห์เพิ่มคนไปคอยจับตาดูรอบเรือนของทั้งสองฝ่ายเอาไว้แล้วเชียว! เพียงแค่คุณหนูมีตระกูลสองคน ต่อให้เป็นคนโง่เง่าเพียงใดก็ควรจะดูแลได้ดีแล้ว ประสาอะไรกับคนตั้งมามายเพียงนี้?

คงมิใช่ว่าบ่าวพวกนี้จงใจสมคบคิดกันแล้วปล่อยให้เติ้งวานวานกับตวนมู่ซินเหมี่ยวก่อเรื่องราวใหญ่โตขึ้นมา เพื่อให้ตนเองซึ่งเป็นฮูหยินน้อยที่ยามนี้เข้ามาปกครองบ้านต้องเสียหน้าหรอกนะ? เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้เช่นนี้ สีหน้าของเว่ยฉางอิ๋งก็หนักอึ้งลงทันใด

บ่าวสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของนางจึงอธิบายไปอย่างระมัดระวังว่า “หนึ่งชั่วยามก่อนหน้านี้ จู่ๆ คุณหนูเติ้งก็เริ่มพลิกตัวไปมาบนตั่งนอนบอกว่าปวดท้องจนทนไม่ไหว บ่าวมารายงานท่านอาหวงก่อน ท่านอาหวงทราบว่ากลางวันฮูหยินน้อยต้องทำงานเหน็ดเหนื่อย จึงเดินตามบ่าวไปตรวจอาการให้แก่คุณหนูเติ้ง แต่กลับตรวจไม่พบสิ่งใดเจ้าค่ะ บ่าวข้างกายคุณหนูเติ้งเอ่ยเตือนสติว่าอาจเกี่ยวกับเรื่องที่ตอนกลางวันคุณหนูตวนมู่ฝังเข็มคุณหนูเติ้งไปหนหนึ่งหรือไม่? ท่านอาหวงเองก็ไม่แน่ใจ จึงส่งคนไปสอบถามกับทางคุณหนูตวนมู่เจ้าค่ะ”

ทางหนึ่งเว่ยฉางอิ๋งก็ลุกขึ้นมา กางแขนสองข้างออกให้จูเสียนและจูเสวียนช่วยแต่งตัวให้ตน อีกทางหนึ่งก็บอกว่า “พูดต่อสิ!”

“คุณหนูตวนมู่รู้สึกว่าแปลกนักจึงไปที่เรือนของคุณหนูเติ้งด้วยตนเอง ปรากฏว่าเพิ่งจะเข้าไปในห้อง คุณหนูเติ้งที่ก่อนหน้านี้ยังนอนหายใจรวยรินอยู่บนตั่งก็พุ่งตัวขึ้นมา!”

“ทั้งสองคนตบตีกันขึ้นมาหรือ? ซินเหมี่ยวเสียท่ารึ?” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยถาม พลางวางมือลง เร่งให้จูเสวียนรีบคาดผ้าคาดเอวให้ดีๆ แล้วสั่งให้จูเสวียนส่งปิ่นยาวมา พลางม้วนผมยาวๆ พอลวกๆ

บ่าวหญิงเอ่ยอย่างหวาดกลัวว่า “ในมือคุณหนูเติ้งซ่อนปิ่นแหลมไว้อันหนึ่ง ฉะนั้น…”

“อะไร?!” เว่ยฉางอิ๋งรู้ว่าเติ้งวานวานและตวนมู่ซินเหมี่ยวไม่เหมือนกับตนและ กู้โหรวจาง ล้วนเป็นคุณหนูบอบบางมือไม้ไร้เรี่ยวแรง ยามได้ยินว่าเติ้งวานวานและ ตวนมู่ซินเหมี่ยวลงไม้ลงมือกันขึ้นมาจึงไม่ได้กังวลอันใดนัก รู้สึกว่าอย่างมากทั้งสองคนก็คงจะมีรอยช้ำบนตัวไม่กี่แห่งเท่านั้น ส่งคนไปจัดยาทาแก้ฟกช้ำไม่กี่ชุด แล้วกล่อมทั้งสองฝ่ายสักหน่อยเป็นสิ้นเรื่องแล้ว แต่กลับไม่คิดว่าเติ้งวานวานถึงกับแอบซ่อนอาวุธเอาไว้ สีหน้านางจึงเปลี่ยนไปในทันใด มือที่กำลังม้วนผมพลันหยุดลง เอ่ยเสียงหนักไปว่า “แล้วซินเหมี่ยวนาง…”

บ่าวหญิงกล่าวว่า “ตอนกำลังชุลมุนวุ่นวายกัน บ่าวก็มองไม่ถนัด แล้วถูกท่านอาหวงสั่งให้รายงานมาฮูหยินน้อยแล้วเจ้าค่ะ บ่าวเห็นว่าคุณหนูตวนมู่เอาแขนกันไว้ คล้ายมีเลือดไหลออกมาเจ้าค่ะ!”

เว่ยฉางอิ๋งได้ยินว่าตวนมู่ซินเหมี่ยวไม่ได้ถูกทำร้ายจนถึงแก่ชีวิตและไม่ได้บาดเจ็บจนเสียโฉม จึงวางใจลงบ้าง ทว่าเมื่อบาดเจ็บที่แขน …และถึงกับมีเลือดออก! สำหรับคนเป็นสตรีแล้วหากว่ามีรอยแผลเป็น… ในระหว่างที่กำลังขบคิดอย่างรวดเร็วนั้น เว่ยฉางอิ๋งหยุดจัดแจงเสื้อผ้า แล้วพาคนออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว

ด้วยเหตุที่นางหวงไปถึงก่อน แม้ฝ่ายของเติ้งวานวานจะก่อเรื่องที่ไม่คาดคิด แต่ตอนที่เว่ยฉางอิ๋งรีบไปถึงนั้น นางหวงก็แยกคุณหนูทั้งสองท่านออกจากกันได้แล้ว และพาไปพักที่ห้องทางทิศตะวันออกคนหนึ่ง ทิศตะวันตกคนหนึ่ง ทั้งยังสั่งให้บ่าวที่แข็งแรงคอยเฝ้าเอาไว้ นางหวงยืนตากลมหนาวรอเว่ยฉางอิ๋งอยู่ที่ระเบียงทางเดิน

เมื่อเว่ยฉางอิ๋งมองเห็นก็รีบเอาเสื้อขนจิ้งจอกที่นางคลุมไหล่มาห่มตัวให้นาง “ท่านอาเสื้อนวมของท่านเล่า? แล้วไยไม่ไปรอข้างใน มายืนอยู่บนทางลมนี่ ระวังจะหนาวจนป่วยเอา”

นางหวงรีบผลักเสื้อขนจิ้งจอกกลับไป “เมื่อครูนี้คุณหนูทั้งสองคนทะเลาะกันรุนแรงนัก ข้าน้อยเข้าไปห้ามตรงกลางมีเหงื่อออกทั่วตัว …เวลานี้ก็ยังไม่ต้องใส่เสื้อนวมเจ้าค่ะ ฮูหยินน้อยท่านเพิ่งออกมาจากในเกี้ยว อย่าได้ต้องลมนะเจ้าคะ”

ทั้งสองคนยึดยื้อกันจนเข้าไปในโถงกลาง เห็นว่าสิ่งของต่างๆ รอบตัวมีร่องรอยที่เพิ่งจะเก็บกวาด …บ่าวที่มารายงานก่อนหน้านี้บอกว่าเติ้งวานวานหลอกให้ตวนมู่ซินเหมี่ยวเข้าไปในห้องและลงมือในทันใด ซึ่งห้องนั้นอยู่ทางด้านหลังของโถงกลาง ระหว่างทางยังมีห้องพักที่เอาไว้ให้สาวใช้ที่มาเฝ้าตอนกลางคืนพักอาศัย เมื่อมองดูสภาพของโถงกลางในตอนนี้ก็รู้ว่าเติ้งวานวานและตวนมู่ซินเหมี่ยวฟัดเหวี่ยงกันดุเดือดเพียงใด เหมือนกับว่าดึงทึ้งกันตั้งแต่ในห้องจนออกมาข้างนอก

เมื่อสังเกตเห็นสายตายของเว่ยฉางอิ๋ง ปรากฏว่านางหวงบอกว่า “เมื่อครู่นี้ คุณหนูทั้งสองคนดึงทึ้งกันจากในห้องจนออกมาข้างนอก …ข้าน้อยกลัวว่าพวกนางจะลงมือรุนแรงอันใดอีก จึงสั่งให้บ่าวไปคอยอยู่กับคุณหนูทั้งสองท่าน ที่นี่จึงยังไม่ทันเก็บกวาดเจ้าค่ะ”

“ไม่เป็นไร” เว่ยฉางอิ๋งถอนหายใจหนักๆ คราวหนึ่ง แล้วสั่งให้บ่าวคนอื่นๆ ออกไปสักพัก เอ่ยถามนางหวงเบาๆ ว่า “ตอนที่พวกนางตบตีกัน ท่านอาได้ยินว่าพวกนางพูดคำไม่เหมาะควรใดแล้วคนรอบๆ ได้ยินด้วยหรือไม่?”

นางหวงเข้าใจความหมายของนาง ส่ายหน้าแล้วว่า “แม้คุณหนูเติ้งจะกำลังเกรี้ยวกราด ทว่าก็ยังรู้จักควรไม่ควร เพียงตำหนิคุณหนูตวนมู่ว่าสั่งยาพิษ จนเกือบทำร้ายพี่ชายของนางเจ้าค่ะ”

“แล้วซินเหมี่ยวเล่า?” เติ้งวานวานเป็นคนที่แม้แต่ลูกผู้พี่ซ่งไจ้สุ่ยก็ยังบอกว่าเป็นคนที่ไม่เลวเลย เรื่องที่นางรู้จักการควรไม่ควรนี้เว่ยฉางอิ๋งกลับไม่ได้ประหลาดใจ เมื่อเทียบกับตวนมู่ซินเหมี่ยวที่ยังไม่ทันทะเลาะกับเติ้งจงฉีได้ถึงสองคำก็เปิดเผยว่าตัวเองได้รับคำสั่งจากสนมเอกเติ้งให้มาสอดแนมเรื่องของตระกูลเสิ่นออกมาเสียแล้ว กลับเป็นคนที่ทำให้นางไม่อาจวางใจได้มากกว่า …ปิดปากสาวใช้สองคนของเติ้งวานวานก็ปิดปากไปแล้ว เวลานี้นางหวงเอาบ่าวในบ้านที่เกิดและเติบโตในซีเหลียงที่ค่อนข้างใช้การได้มาอยู่ที่นี่

คนเหล่านี้ก็ล้วนปิดปากแล้ว แม้จะปิดคนที่บ้านพวกเขาได้ แต่จู่ๆ คนก็น้อยลงไปอย่างมากมายเพียงนี้ คนนอกย่อมเดาได้ว่ามีเรื่องที่ไม่เล็กน้อยเกิดขึ้นแล้ว

ยามนี้เว่ยฉางอิ๋งจึงได้วางใจแล้วปลอบนางหวงไปสองสามคำ นิ่งคิดสักพักก็ไปในห้องทางทิศตะวันตกที่เติ้งวานวานอยู่ก่อน

ตามที่บ่าวมารายงานบอกว่าคนที่เสียท่าคือตวนมู่ซินเหมี่ยว แต่ยามนี้ดูไปแล้ว เติ้งวานวานก็ไม่เหมือนคนที่ได้เปรียบไปเสียทั้งหมด นางปล่อยผมยาวนั่งอยู่ริมตั่งนอน แขนเสื้อสองข้างและกระโปรงล้วนถูกถลกขึ้นมาสูงๆ สาวใช้กำลังใส่ยาที่บาดแผลให้นาง

เนื่องด้วยล้วนเป็นสตรีด้วยกัน เว่ยฉางอิ๋งให้คนไปบอกคำหนึ่งก่อนจึงเข้าไป เติ้งวานวานก็ไม่ได้มีท่าทีจะคลุมบาดแผลเอาไว้ ทำได้เพียงประสานมือที่เอวเป็นการคำนับ แล้วเอ่ยทั้งเสียงแหบพร่าว่า “ยามนี้ข้ายืนขึ้นไม่ใคร่สะดวก เสียมารยาทกับพี่เว่ยแล้ว”

“วานวานเจ้าพูดเช่นนี้เห็นเป็นคนอื่นคนไกลไปแล้ว” เว่ยฉางอิ๋งถอนใจพลางเดินเข้าไปมองดูบาดแผลของนาง …เติ้งวานวานก็ไม่ได้จงใจเสแสร้งใดๆ เพราะบาดแผลของนางไม่เบาเลยจริงๆ! ทั้งที่แขน ที่ขา หัวเข่ามีรอยช้ำสีเขียวๆ ม่วงๆ เต็มไปหมด เมื่อขยับเข้าไปดูใกล้ๆ ยังมองเห็นว่าที่แก้มซ้ายของนางมีรอยขูดที่มองเห็นได้ชัดรอยหนึ่ง คล้ายเป็นปลายเข็มที่ลากผ่านไปเบาๆ …เว่ยฉางอิ๋งนึกถึงเข็มเงินที่ใช้ในทางการแพทย์ขึ้นมาได้แทบในทันที

นางแอบดีใจที่ตนเลือกมาดูเติ้งวานวานก่อน

เดิมทีเป็นเติ้งวานวานไปก่อเรื่องก่อน ว่ากันตามหลักแล้วเว่ยฉางอิ๋งควรต้องไปปลอบตวนมู่ซินเหมี่ยวก่อน แต่ตวนมู่ซินเหมี่ยวสนิทกับเว่ยฉางอิ๋งมากกว่า ยิ่งไปกว่านั้นจะว่าไปแล้วเรื่องเมื่อตอนกลางวันนั้นก็เป็นตวนมู่ซินเหมี่ยวลงมือก่อน ครั้งนั้นเว่ยฉางอิ๋งกล่อมนางไปแล้ว แต่ยังไม่ทันได้ปลอบเติ้งวานวาน ดังนี้เองเว่ยฉางอิ๋งจึงรู้สึกว่าอย่างไรก็ควรมาดูเติ้งวานวานทางนี้ก่อนสักหน่อย

เวลานี้ เติ้งวานวานบาดเจ็บหนักเพียงนี้ หากไม่ดูทางนี้แล้วไปดูตวนมู่ซินเหมี่ยวก่อน … แต่พี่ชายเกือบถูกทำร้ายจนตาย ตนเองก็ถูกตีจนบาดเจ็บไปทั้งตัว เจ้าของบ้านยังมัวแต่ห่วงตวนมู่ซินเหมี่ยว ต่อให้เติ้งวานวานใจกว้างเพียงใดหากนางไม่คิดแค้นก็แปลกแล้ว

แต่กลับมิใช่ว่าเว่ยฉางอิ๋งกลัวนางเพียงนั้น เพียงแต่ในเมื่อไม่คิดจะช่วยตวนมู่ซินเหมี่ยวจัดการพี่น้องตระกูลเติ้ง ย่อมต้องมาช่วยไกล่เกลี่ย ในเมื่อจะไกล่เกลี่ยแต่กลับล่วงเกินอีกฝ่ายเสียก่อน เช่นนี้แล้วที่พูดออกไปว่าให้ปรองดองกันก็จะไม่มีความจริงใจและไม่มีความหมายใดด้วย

เวลานี้จึงต้องมาสอบถามรวมทั้งขอขมาเติ้งวานวานอย่างขาดไม่ได้ …เติ้งวานวานปล่อยให้สาวใช้ใส่ยาให้นางอย่างระมัดระวัง และกลับพูดออกมาอย่างสงบว่า “ข้าไม่กล้ารับคำขอขมาจากพี่เว่ยหรอกเจ้าค่ะ จะว่าไปแล้วครานี้เป็นข้าที่ต้องขออภัยพี่เว่ย ด้วยมาก่อเรื่องในหมิงเพ่ยถัง ทำให้พี่เว่ยต้องลำบากใจ เพียงแต่ข้าเป็นเพียงหญิงอ่อนแอผู้หนึ่ง อยากจะแก้แค้นให้พี่ชาย และไม่มีหนทางอื่นที่จะทำให้ตวนมู่ซินเหมี่ยวเข้าใกล้ตัวได้ ต้องขอให้พี่เว่ยให้อภัยด้วยเจ้าค่ะ”

เว่ยฉางอิ๋งให้คนอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปจากห้อง แล้วให้จูเสียนและจูเสวียรับหน้าที่ใส่ยาให้เติ้งวานวานต่อ ถอนใจเบาๆ พลางว่า “ข้ารู้ว่าใจเจ้าเป็นทุกข์! ก่อนหน้านี้คุณชายเติ้งก็เป็นห่วงเจ้านัก! และซินเหมี่ยวนางก็เลอะเลือนไปชั่วขณะ ตอนเย็นๆ เมื่อครู่นี้ก่อนจะส่งเจ้ากลับมา นางก็มอบตำรับยาแก้พิษให้คุณชายเติ้งแล้ว คุณชายเติ้งดื่มยาหมด และบำรุงร่างกายอีกสองสามวันก็จะกลับมาเป็นปกติแล้ว เจ้าไม่ต้องกังวลเกินไป”

เติ้งวานวานเม้มปาก กล่าวว่า “พี่เว่ยเจ้าคะ เรื่องนี้ตอนข้าเพิ่งตื่นมาก็ได้ยินคนรอบๆ ตัวบอกให้ฟังแล้ว! ก็เพราะเช่นนี้ข้าจึงไม่ได้พุ่งปิ่นไปที่ใบหน้าหรือลำคำของ ตวนมู่ซินเหมี่ยว เพียงแต่กรีดบนแขนนางเท่านั้น! นางไม่ได้ทำร้ายพี่ชายข้าจนตาย ข้าก็จะไม่เอาชีวิตนาง แต่นางกล้าหลอกใช้ข้ามาทำให้พี่ชายตกหลุมพราง ข้าก็ไม่อาจอภัยให้นางได้อยู่ดี!”

เติ้งวานวานเอ่ยเช่นนี้ทั้งท่าทีว่าสมเหตุสมผลแล้ว ดวงตาสีดำขาวแยกกันชัดเจนมีแววความดุร้ายฉายวาบขึ้นมา!

เว่ยฉางอิ๋งคิดในใจว่าคนเราหากไม่ถูกบีบจนถึงที่สุดจริงๆ ก็มองเห็นนิสัยที่แท้จริงได้ยากนัก ลำพังดูจากท่าทีบอบบางเรียบร้อยในยามปกติ ผู้ใดจะคิดว่านางจะมียามที่ร้ายกาจเหมือนชาวบ้านข้างถนนที่เข้าไปดึงทึ้งตบตีจนทั้งตัวยับไปทั้งตัว และยังมีท่าทีสงบเยือกเย็นอยู่เช่นนี้?

นิ่งเงียบไปสักพัก เว่ยฉางอิ๋งจึงว่า “ในเมื่อเป็นดังนี้ ตอนนี้เจ้าคิดว่าจะทำเช่นใดเล่า?”

เติ้งวานวานเอ่ยอย่างผ่อนคลายว่า “ตวนมู่ซินเหมี่ยววางแผนทำร้ายพี่ชายข้า แม้จะไม่ได้ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ยื้อกลับมาไม่ได้ ทว่าก็ยังทำร้ายเขาอยู่ดี ยามนี้ข้ากรีดแขนนางบาดเจ็บ จึงนับว่าทั้งสองฝ่ายหายกันแล้ว วันหน้าหากนางไม่มาทำร้ายพี่ชายข้าอีก ข้าก็จะไม่ไปเอาความนาง เพียงแต่อย่าได้หวังว่าข้าจะเรียกขานนางว่า ‘พี่ตวนมู่’ อีกต่อไป”

“ในเมื่อเจ้าคิดได้ทะลุปรุโปร่งแล้ว ข้าก็จะไม่พูดมากอีก” เมื่อเติ้งวานวานสบายใจเช่นนี้แล้ว คำพูดที่เว่ยฉางอิ๋งเตรียมมาก่อนหน้านี้จึงล้วนไม่ได้นำมาใช้ และบอกนางไปว่า “เจ้าดูแลอาการบาดเจ็บให้ดีๆ ยาใส่แผลนี้ไปเอามาจากที่ใด?”

เติ้งวานวานมองนางคราวหนึ่ง “ท่านอาหวงให้เจ้าค่ะ”

“เช่นนั้นเจ้าก็ใช้ได้อย่างวางใจแล้วกระมัง” เว่ยฉางอิ๋งยื่นนิ้วไปแตะรอยเข็มบนแก้มนาง มองดูอย่างละเอียดแล้วจึงโล่งใจ “ไม่น่าจะเหลือรอยแผลเป็นหรอก”

เติ้งวานวานเอ่ยเรียบๆ ไปว่า “เมื่อครู่นี้ท่านอาหวงก็บอกเช่นนี้เจ้าค่ะ”

เว่ยฉางอิ๋งเห็นว่านางจงใจแสดงท่าทีเฉยชา จึงแอบคิดในใจว่าอย่างไรนางก็ยังเด็ก แม้ปากจะบอกไปอย่างฉะฉานชัดเจน แต่ความโกรธในใจก็ยังไม่อาจสงบลงได้ในทันใด แต่กลับยังวางท่าห้าวหาญเด็ดเดี่ยว ซึ่งเว่ยฉางอิ๋งก็ไม่ได้พูดเรื่องนี้ออกมา หลังจากสั่งความไปสองสามคำแล้ว ก็รับปากว่าจะให้นางหวงมาดูบาดแผลให้นางทุกวัน หลังจากเรียกคนที่เคยดูแลอยู่ก่อนนี้เข้ามาแล้ว จึงขอตัวลาออกไปจากห้อง

______________