ภาคที่สาม มิต้อง ตีกรับ ร่ำสุรา จากจอกทอง ตอนที่ 16 วางแผนเดินทางกลับ

ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3

เมื่อออกจากห้องทางฝั่งตะวันออกก็เข้าห้องทางฝั่งตะวันตกต่อ เสื้อผ้าของตวนมู่ซินเหมี่ยวทางนี้กลับยังเรียบร้อยดี นางอิงตัวอยู่บนตั่งนั่งและดื่มน้ำชาอย่างเอ้อระเหยลอยชาย คนรับใช้ประสานมือยืนอยู่หลังนาง ดูไปแล้วอยู่ในอาการผ่อนคลาย ประหนึ่งว่าไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นเช่นนั้น

 เพียงแต่เมื่อสายตาของเว่ยฉางอิ๋งกวาดไปก็เห็นว่ามือที่นางดื่มชาอยู่นั้นคือมือซ้าย ส่วนมือขวาที่นางถนัดกลับวางอยู่บนโต๊ะ จึงรู้ว่าบ่าวหญิงผู้นั้นไม่ได้มองผิด มือข้างขวาของตวนมู่ซินเหมี่ยวต้องถูกปิ่นกรีดจนบาดเจ็บเป็นแน่

เมื่อเห็นเว่ยฉางอิ๋งเข้ามาพวกบ่าวที่นางหวงจัดให้ดูแลตวนมู่ซินเหมี่ยวเอาไว้ให้ดีและอย่าได้ไปทะเลาะตบตีกับเติ้งวานวานอีกก็พากันรีบคำนับนาง เว่ยฉางอิ๋งสะบัดแขนเสื้อสั่งให้พวกนางออกไปก่อน

เมื่อรอใจในห้องเหลืออยู่เพียงสองคนแล้ว เว่ยฉางอิ๋งจึงถามว่า “เจ้าบาดเจ็บที่ใดบ้าง? เมื่อครู่นี้ข้าเห็นว่าทางวานวานทั้งเขียวทั้งม่วงไปทั้งตัว ข้าก็นึกว่าทางฝั่งเจ้านนี่ก็กำลังทายาอยู่เช่นกันเสียอีก! ทายาเสร็จเร็วเพียงนี้เชียวรึ?” เมื่อมองจากชื่อเสียงแล้วตวนมู่ซินเหมี่ยวก็ควรจะเก่งกาจกว่าสักหน่อย ทว่าในสายตาของเว่ยฉางอิ๋งแล้วทั้งสองท่านนี้ล้วนเป็นพวกที่อ่อนแอบอบบาง เติ้งวานวานบาดเจ็บไม่เบา คิดไปแล้ว ตวนมู่ซินเหมี่ยวก็คงจะไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าใด

ตวนมู่ซินเหมี่ยวเอ่ยอย่างผ่อนคลายว่า “แขนขวาถูกกรีดแรงอยู่สักหน่อย ข้าพันแผลเอาไว้แล้ว ส่วนแผลฟกช้ำที่อื่น ก็ทาเพียงแต่ยา จะมีเวลากลับไปแช่น้ำยาได้อย่างไร? ข้าเป็นหมอ จะจัดการแผลเช่นนี้อย่างไรข้ารู้ของข้าดี ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีอย่างคนทั่วไปเหมือนกับนาง”

เว่ยฉางอิ๋งนั่งลงข้างนางโดยมีโต๊ะกั้นกลาง เอ่ยเสียงเบาๆ ไปว่า “เจ้าจะให้ข้าพูดอย่างไรดี? ไช่อ๋องแม่ลูกอยู่ไกลเป็นพันลี้ ต่อให้ทางเจ้าคิดจะบีบวานวานพวกเขาพี่น้องให้เละคามือ ก็ยังไกลเกินเอื้อมถึงอยู่ดี! อย่าว่าแต่สนมเอกเติ้งยังไม่อาจบงการเรื่องของไช่อ๋องแม่ลูกเลย หรือต่อให้บงการได้แล้วผู้สูงศักดิ์อยู่ในวังหลวงมาเนิ่นนานเช่นนี้จะไปบังคับขู่เข็ญนางได้ง่ายๆ ที่ใด? ก็เหมือนกับที่ข้าบอกกับคุณชายเติ้งเมื่อครู่นี้ว่าไม่แน่ว่าพอนางได้ยินว่าคุณชายเติ้งมาเกิดเรื่องที่นี่ ก็อาจจะทำบางสิ่งกับไช่อ๋องแม่ลูกและบีบเจ้าจนขยับเขยื้อนไม่ได้!”

“ข้ารู้” ตวนมู่ซินเหมี่ยวพ่นลมหายใจออกมา เป่าผมที่ย้อยลงมาตรงหน้าผาก แผมือทั้งสองข้างออกแล้วเอ่ยอย่างจนใจ “แต่หากสนมเอกไม่พูดจาขู่เข็ญก็แล้วไป แต่ในเมื่อนางพูดออกมา แล้วข้าไม่ทำสิ่งใดบ้าง ไม่แน่ว่านางยังจะคิดว่าข้ารังแกได้ง่ายๆ แล้วจะหาวิธีที่หนักกว่าเดิมมารังแกข้าเอาอีก!”

เว่ยฉางอิ๋งบอกว่า “เจ้าอยากทำให้สนมเอกเกรงกลัวเจ้า มิให้เห็นเจ้าเป็นคนที่กล่อมง่ายขู่ง่าย เจ้าก็มาบอกกับข้าสิ! ข้าจะช่วยเจ้าออกความคิดที่รอบคอบไม่ดีหรือ? ไม่ทันว่าอย่างไรก็ลงมือเสียแล้ว เจ้าดูสิวันนี้ก่อเรื่องจนเป็นดังนี้? ดึกดื่นค่ำมืด ดีที่วานวานยังพอจะรู้จักควรไม่ควรจึงไม่ได้พูดความจริงออกมา! หาไม่แล้วจะปิดเรื่องครึกโครมเช่นในวันนี้เอาไว้ได้อย่างไร! ภายหลังก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่โตแล้ว!”

ตวนมู่ซินเหมี่ยวกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน “เติ้งวานวานไม่อยากก่อเรื่องให้พวกนางพี่น้องต้องตาย แล้วจะกล้าพูดความจริงออกมาได้อย่างไร? อีกประการถ้านางไร้สมองเพียงนั้น ที่ข้าก็มียาให้นางเป็นบ้า พอถึงยามนั้นก็รับรองได้ว่าจะไม่มีคนคิดว่าเรื่องที่นางพูดเป็นความจริงแล้ว”

เมื่อเห็นว่านางเอ่ยถึงเติ้งวานวานอย่างปราศจากมิตรไมตรีใดๆ เว่ยฉางอิ๋งจึงล้มเลิกความคิดที่ว่าอย่างน้อยๆ ยามอยู่ต่อหน้าก็จะให้ทั้งสองฝั่งทำทีปรองดองกันเสีย กล่าวว่า “ยามนี้เติ้งวานวานบอกกับข้าว่า หนนี้นางตีเจ้าไปหนักๆ หนหนึ่งและเอาปิ่นแทงเจ้า ก็นับว่าเจ้าและคุณชายเติ้งหายกันแล้ว วันหน้าจะไม่คบหากันอีก …แล้วเจ้านึกว่าจะเป็นอย่างไรเล่า?”

สองคิ้วของตวนมู่ซินเหมี่ยวเลิกขึ้นทันใด กล่าวว่า “ไม่คบหากันอีก จะเป็นไปได้หรือ?”

เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้ว ปรากฏว่าตวนมู่ซินเหมี่ยวพูดต่อไปอีกว่า “พี่หญิงใหญ่และหลานชายข้าไม่เป็นไร ข้าก็คร้านจะไปสนใจพวกเขา แต่หากพี่หญิงใหญ่และหลานชายข้าเกิดอันใดขึ้นมาสักน้อย ต่อให้มิใช่สนมเอกเติ้งเป็นคนทำ ข้าก็จะไม่ไปลงเอากับพวกเขาไม่ได้! ท่านอย่ามองเพียงแค่วันนี้ข้าตบตีกับเติ้งวานวานจนบาดเจ็บกันทั้งสองฝ่าย ยามนี้ข้าเพียงอยากให้บทเรียนกับสนมเอกสักหน ให้นางรู้ว่าไม่ใช่จะมาหาเรื่องข้าได้ง่ายๆ! วิธีวางยาพิษตั้งมากมายยังไม่ทันเอาออกมาใช้เลย …หาไม่แล้วเจ้าก็เห็นรอยแผลที่แก้มของเติ้งวานวานรอยนั้นแล้วนี่? อย่ามองแต่ว่าผิวยังไม่แตกออก หากข้าคิดจะเอาชีวิตนางจริงๆ แผลเล็กน้อยเพียงเท่านั้น ก็พอให้คนทั้งเรือนนางตายกันหมดได้แล้ว!”

“ทางนั้นก็บอกเหมือนกันว่าหากคุณชายเติ้งเกิดเรื่องผิดปกติใดขึ้นมาก็จะมาคิดบัญชีกับเจ้า!” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยไปอย่างราบเรียบ “ยามนี้ท่าทีของพวกเจ้าทั้งสองฝ่ายล้วนเหมือนกัน เหมือนกันจนข้าอยากช่วยไกล่เกลี่ยก็ยังไม่รู้ว่าจะพูดคำใดดี ยามนี้ดูไปแล้ว นอกจากจะแยกพวกเจ้าออกจากกันแล้วก็ไม่มีหนทางอื่นอีก”

ตวนมู่ซินเหมี่ยวเอ่ยอย่างไม่ยี่หระว่า “ตามใจพี่เว่ยเถิด”

ทั้งสองคนนิ่งเงียบขึ้นมาพร้อมกันอยู่พักใหญ่ เว่ยฉางอิ๋งถอนหายใจพลางว่า “ว่าไปแล้วเรื่องครานี้ ความจริงก็เป็นเรื่องของตระกูลเสิ่นของข้าทำให้เจ้าต้องพลอยลำบากไปด้วย! รอสักระยะหนึ่ง จนบาดแผลของท่านพี่ดีขึ้นพอประมาณแล้ว ข้าจะหาเหตุผลสักข้อส่งตัวเจ้ากลับเมืองหลวง ถึงยามนั้นทุกเรื่องก็จะไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าอีกแล้ว”

ตวนมู่ซินเหมี่ยวขบริมฝีปากเอ่ยว่า “กลัวแต่ว่าถึงยามนั้นฮ่องเต้จะต้องให้ข้าอยู่ต่อไปให้ได้”

“จากเมืองหลวงถึงซีเหลียงห่างไกลนับพันลี้ ผู้ใดจะทนรอราชโองการนี่เล่า?”เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยยิ้มๆ “ยิ่งไปกว่านั้นที่เจ้ามาก็เพราะสนมเอกออกมาเสนอความคิดเห็นเพียงคำ หาใช่ว่ามีราชโองการอย่างเป็นทางการให้เจ้ามา หรือว่ายามกลับไปยังต้องขอให้ฮ่องเต้ทรงอนุญาต? รอจนฮ่องเต้ได้รับข่าวก็เกรงว่าตัวเจ้าคงจะถึงเมืองหลวงแล้ว!”

“เช่นนี้ก็ดีทีเดียว” ตวนมู่ซินเหมี่ยวเองก็โล่งอก กล่าวว่า “รอจนกลับถึงเมืองหลวงแล้ว ข้าก็จะไปคอยเฝ้าพี่หญิงใหญ่และหลานชายเอาไว้! ผู้ใดเรียกก็จะไม่ไปไหน!”

เว่ยฉางอิ๋งคิดในใจว่าหากมีราชโองการลงมาจริงๆ แล้วเจ้าจะไปคอยเฝ้าอยู่ได้อย่างไร? เพียงแต่คำพูดที่ทำให้หมดความสุขเช่นนี้นางย่อมไม่พูดออกไป แล้วเตือนไปว่า “เพียงแต่เจ้าต้องหาทางให้กู้โหรวจางรับปากว่าจะกลับไปกับพวกเจ้าด้วยจึงจะดี”

ตวนมู่ซินเหมี่ยวขมวดคิ้วบอกว่า “พวกเรา? ท่านคงไม่ได้หมายถึงข้ากับเติ้งวานวานหรอกกระมัง? ท่านไม่กลัวว่าจะเกิดเรื่องระหว่างทางรึ?”

“ฉะนั้นกู้โหรวจางจะต้องกลับไปพร้อมกันด้วย!” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ย “เมื่อมีนางอยู่ในขบวนด้วย ข้าคิดว่าอาศัยวรยุทธ์ของนางคอยเฝ้าดูพวกเจ้าทั้งสองคนไว้ก็จะไม่มีปัญหาแล้ว แต่แน่นอนว่าเจ้าก็อย่าได้ทำเกินไปจนถึงขั้นไปวางยานางเล่า!”

ตวนมู่ซินเหมี่ยวแค่นเสียงกล่าวว่า “แต่หลายวันมานี้กู้โหรวจางเหมือนนกที่หลุดออกจากกรงเช่นนั้น พอฟ้าสางก็หาไม่เจอแม้แต่เงาแล้ว คราก่อนบังเอิญได้พบที่ระเบียงทางเดินนางเอาลูกสนลูกหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อแล้วมอบให้ข้า บอกว่านางไปเด็ดมาเองจากเขาทางเหนือนอกเมือง ข้าว่านางไม่ได้เกี่ยงงอนความลำบากและความเหน็บหนาวที่นี่เลยแม้แต่น้อย แต่กลับมีความสุขกับมันเสียอีก ยามนี้ทั้งกู้อี้หรานและกู้ซีเหนียนล้วนไม่ได้อยู่ที่นี่ …นางบอกว่าสาเหตุที่มาก็เพื่อมาเยี่ยมพี่ชาย ยามนี้พี่ชายนางสักคนนางก็ยังไม่ได้พบเลย! นางจะยอมกลับไปหรือ? ข้าได้ยินว่าสถานที่ท่านกู้ทั้งสองประจำการอยู่ไม่ว่าจะเป็นคนใด หากจะกลับมาสักหนก็ต้องใช้เวลาหลายวันกระมัง? โดยเฉพาะยามนี้มีหิมะตกหนัก พี่เว่ย ท่านคิดว่ารอให้อาการบาดเจ็บของสามีพี่เว่ยดีขึ้นเพียงเจ็ดแปดส่วนก็จะให้ข้ากับวานวานไปแล้วใช่หรือไม่?”

เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างคาดไม่ถึงว่า “หลายวันมานี้เจ้าอยู่แต่ในเรือนไม่ออกไปไหนเลย ที่แท้กลับสืบมาได้หลายเรื่องแล้ว?”

“ก็ท่านผู้สูงส่งที่เมืองหลวงออกปากมาแล้ว แม้ข้าจะไประบายลงกับตระกูลเติ้งพี่น้องแล้ว แต่อย่างไรข้าก็ต้องแสร้งทำตามนั้น เพื่อมิให้ทางนั้นเสียหน้าเกินไปใช่หรือไม่?” ครานี้ตวนมู่ซินเหมี่ยวกลับมาพูดเช่นนี้แล้ว นางเอ่ยพลางมองที่ถ้วยชาในมือ “ข้ากล้าวางเดิมพันได้เลยว่ากู้โหรวจางต้องไม่ยอมกลับไปง่ายๆ แน่! ก่อนนี้ท่านไม่อาจไล่นางกลับเมืองหลวงได้ ครานี้คิดจะไล่นางไป ก็ไม่ง่ายดังนั้นหรอก!”

“ฉะนั้นจึงต้องถึงมือเจ้าแล้ว” เว่ยฉางอิ๋งหรี่ตาลงเอ่ยเสียงต่ำ “ถึงยามนั้นข้าจะมัดอาชาพันลี้ตัวนั้นของกู้โหรวจางเอาไว้ จากนั้นเจ้าก็เอายาเหมิงหานออกมาทำให้นางสลบไปแล้วส่งตัวนางขึ้นรถม้า! รอจนออกจากตัวเมืองซีเหลียงไปสักระยะจึงค่อยให้นางตื่นขึ้นมา พอถึงยามนั้นนางก็จนปัญญาจะย้อนกลับมาแล้ว”

ตวนมู่ซินเหมี่ยวมองนางด้วยสายตาประหลาด “ท่านไม่กลัวว่านางยังไม่ทันตื่นขึ้นมา  แล้วข้ากับเติ้งวานวานจะเป็นตายไปเสียก่อนแล้วหรือ?”

“ดีชั่วก็ใกล้จะสิ้นปีแล้ว” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยไปเรียบๆ “ของกำนัลวันสิ้นปีของตระกูลในปีนี้ก็เริ่มเตรียมการไว้ก่อนพวกเราจะมาถึงแล้ว แต่มีส่วนหนึ่งก็เป็นของที่ทางเมืองหลวงกำหนดมา ก่อนนี้กลับยังจัดเก็บไม่ครบ ระยะนี้จึงเพิ่งจะเตรียมได้ครบ ข้าถามมาแล้ว บอกว่าทางเมืองหลวงก็ไม่เร่งจะเอา จึงอนุญาตว่าให้พ้นปีใหม่แล้วค่อยให้คนไปส่ง ทว่าในแถบซีเหลียงนี้ก็ยากจะมีฤดูใบไม้ผล เดินทางกลางหิมะหนา รถม้าไปได้ช้านัก ข้าจะให้เจ้าหรือเติ้งวานวานไปพร้อมกับขบวนนี้ก่อน รอจนขบวนนี้เดินทางไปได้สักระยะแล้วค่อยส่งกู้โหรวจางและคนอีกคนไปกับรถที่ไม่บรรทุกของหนักไล่ตามไป แล้วไปเจอกับระหว่างทาง”

ตวนมู่ซินเหมี่ยวเอ่ยอย่างไม่เข้าใจว่า “ในเมื่อต้องส่งของไปเมืองหลวง ในขบวนที่เตรียมไว้พร้อมแล้ว ไยไม่ให้พวกเราแยกกันเดินทางเล่า? แต่กลับต้องแยกกู้โหรวจางออกไป?”

เว่ยฉางอิ๋งแค่นเสียงเอ่ยว่า “เจ้าเองก็รู้นี่ว่าคุณหนูใหญ่จอมก่อเรื่องแห่งตระกูลกู้ผู้นี้ถึงขั้นไปเด็ดลูกสนบนเขาทางเหนือด้วยตนเองแล้วนี่? เจ้าคิดว่ายามนี้เป็นช่วงเก็บลูกสนเช่นนั้นหรือ? วันนั้นนางอาศัยกำลังขาของม้าของนาง ขืนแยกตัวออกมาและทิ้งคนติดตามไป แอบขึ้นเขาทางเหนือไปเที่ยวเล่น อยู่ว่างๆ ไม่มีอันใดทำ ยังไปเด็ดลูกสนบนภูเขาที่เต็มไปด้วยหิมะหนา! แต่นางกลับเที่ยวเล่นอย่างเบิกบานใจเชียว …องครักษ์ที่ข้าจัดหาให้นางตามหานางอยู่ที่ตีนเขาจนแทบจะฆ่าตัวตายเป็นการขอขมาแล้ว! เมื่อเทียบกับเจ้าและเติ้งวานวานที่แม้จะทะเลาะกันหนักหนาอีกเพียงใด แต่อย่างไรก็ยังอยู่แต่ภายในจวนแล้ว นางต่างหากที่เป็นคนที่ทำให้ข้าว้าวุ่นใจ! ยามนี้ข้าหาเวลาว่างไม่ได้จริงๆ หาไม่แล้วก็ต้องเรียกกู้อี้หรานหรือกู้ซีเหนียนกลับมา ถ้าไม่บอกให้นางไป ก็ต้องพาตัวนางไปให้ได้!”

“พี่เว่ยท่านรำคาญกู้โหรวจางเพียงนี้ เหตุใดไม่บังคับให้ส่งนางไปหากู้ซีเหนียนทางนั้นเล่า?”ได้ฟังเว่ยฉางอิ๋งเอ่ยเช่นนี้ ตวนมู่ซินเหมี่ยวอดหัวเราะพู่ออกมาไม่ได้ ถึงกับลืมเรื่องที่ตนประสบมาในเวลานี้ รวมทั้งสิ่งที่นางวางแผนเอาไว้ในวันหน้า จนหัวเราะและช่วยนางออกความคิดขึ้นมา

เว่ยฉางอิ๋งบอกว่า “เจ้าว่าข้าไม่ได้เขียนจดหมายไปหากู้ซีเหนียนรึ? ปรากฏว่าท่านผู้นั้นกลับส่งคนรับใช้ข้างกายมาบอกคำสวยหรูกับข้ายกหนึ่ง บอกว่าที่ที่เขาประจำการอยู่เหน็บหนาวไม่เหมาะให้สตรีไป บอกว่ามีกิจเรื่องการทหารยุ่งนักปลีกตัวมาไม่ได้ บอกว่าต้องรบกวนข้าดูแลให้ด้วย …สุดท้ายข้าทนฟังไม่ไหว คนผู้นั้นจึงพูดความจริงทั้งหน้าตาลำบากใจว่าคุณชายบ้านเขาควบคุมดูแลกู้โหรวจางไม่ไหว เห็นหรือไม่เล่าฉวยโอกาสที่กู้โหรวจางไม่ไปหาเขา เขาก็ขอบคุณฟ้าขอบคุณดินแล้วให้คนอยู่ในตัวเมืองซีเหลียงให้ข้าเดือดร้อนใจแทนเขาไปเสียเลย!”

ตวนมู่ซินเหมี่ยวได้ยินคำก็หัวเราะจนแทบหงายหลัง กล่าวว่า “โธ่เอ๊ย เหตุใดกู้โหรวจางจึงน่าสนใจเพียงนี้? ทำพี่ชายบุตรอนุลำบากถึงขั้นนี้เชียว”

“เจ้ารู้สึกว่าน่าสนใจ ก็รอไปใกล้ชิดสนิทสนมกันระหว่างทางที่พวกเจ้าสามคนกลับเมืองหลวงเถิด” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยยิ้มๆ “วันหยุดของคุณชายเติ้งใกล้จะหมดแล้ว เขาคงไม่เอาวานวานไปที่ประจำการของเขาหรือรออยู่จนข้าส่งพวกเจ้ากลับเมืองหลวง ข้าเห็นว่าเวลานี้บาดแผลของท่านพี่ก็ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว น่าจะทันให้เจ้าได้กลับไปหลังเดือนหนึ่ง”

ตวนมู่ซินเหมี่ยวเอ่ยอย่างไม่พอใจ “พี่เว่ย มีคนเป็นเจ้าของบ้านเช่นท่านที่ใดกัน? ตัวข้าเองยังไม่ทันบอกว่าจะไปเลย ยังไม่ต้องบอกว่าท่านก็มาไล่คนเสียแล้ว นี่ยังมานับวันนับคืนให้ข้าเสียอีก อย่างกับกลัวว่าถึงยามนั้นแล้วข้าจะไม่ยอมไปเช่นนั้น!”

“เจ้าก็เห็นความเลือดร้อนดุดันของวานวานแล้วนี่?” เว่ยฉางอิ๋งดึงแขนเสื้อนางเบาๆ เผยให้เห็นรอยช้ำที่แขนออกมา กล่าวว่า “ยามนี้ข้ามีเรื่องยุ่งมากมาย จึงไม่อาจคอยดูแลพวกได้ เจ้าดูสิ เนื้อเนียนๆ ผิวอ่อนๆ ต้องมีแผลน่าตกใจตั้งมากมายเพียงนี้เชียว? ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าอยู่ที่นี่ก็ต้องคอยเป็นห่วงไช่อ๋องแม่ลูก …ข้ากลับอยากให้เจ้าอยู่นานๆ เสียอีก ในสนามรบดาบทวนไร้ดวงตา มีพวกเจ้าศิษย์อาจารย์อยู่ ไม่ว่าผู้ใดย่อมรู้สึกอุ่นใจสักหน่อย แต่เจ้าจะยอมหรือ?”

ตวนมู่ซินเหมี่ยวแค่นเสียง กล่าวว่า “เติ้งวานวานเองก็ไม่ได้เจ็บน้อยสักเท่าใด!”

เว่ยฉางอิ๋งแตะนางเบาๆ ถามว่า “แผลที่แขนสาหัสหรือไม่? จะมีแผลเป็นหรือไม่?”

“แผลเป็นแล้วจะเป็นอย่างไร” ตวนมู่ซินเหมี่ยวเอ่ยอย่างไม่ยี่หระ “ดีชั่วก็อยู่บนแขนข้า ตัวข้าเองยังมองไม่เห็นเลย”

เมื่อเห็นว่า เว่ยฉางอิ๋งยังอยากจะพูดบางสิ่ง ตวนมู่ซินเหมี่ยวจึงเอ่ยอีกว่า “ข้าก็ไม่ได้คิดจะแต่งงาน อีกอย่างหากวันหน้าได้แต่งงาน แล้วเขากล้ารังเกียจว่าบนแขนข้ามีแผลเป็นรึ? เขาไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วรึ!”

เว่ยฉางอิ๋งเห็นว่านางไม่ได้รับผลกระทบใดจากแผลที่แขนจริงๆ ดึกดื่นค่ำมืดเช่นนี้ก็คร้านจะไปร่ำไรให้มากความ จึงลุกขึ้นแล้วว่า “สักพักจะให้คนไปส่งเจ้ากลับเรือน …ระหว่างทางระวังจะต้องลมหนาวเอา ลงจากเรือนก็ระวังด้วย อย่าได้ลื่นหกล้ม”

ตวนมู่ซินเหมี่ยวพูดอืมไปคำหนึ่ง กล่าวว่า “พี่เว่ย ท่านกลับไปก็ระวังทางด้วยเล่า”

เว่ยฉางอิ๋งกลับไม่ได้จากไปในทันที หากแต่แบมือไปหานาง

ตวนมู่ซินเหมี่ยวเอ่ยทั้งใบหน้าประหลาดใจว่า “อันใด?”

“ยาถอนพิษโลหิตสิบราตรีเล่า?” เว่ยฉางอิ๋งไม่หลงกลพลางเอ่ยเตือนไป “ก่อนนี้มิใช่เจ้าเคยบอกว่าเสื้อผ้าเจ้าล้วนแอบน้ำยามา หากคนข้างๆ สัมผัสถูกก็จะถูกพิษ? วานวานดึงทึ้งกับเจ้าจนเขียวช้ำไปทั้งตัว หากเจ้ายังให้นางต้องนอนเกาอีกสิบคืน …เชื่อหรือไม่ว่าแค่เกาอยู่หนึ่งคืน ด้วยความรักที่คุณชายเติ้งมีต่อน้องสาว ต่อให้เขาใจดีอีกสักปานใด ก็ไม่มีทางไม่ถือกระบี่บุกเข้าเรือนหลังไปสู้ตายกับเจ้า?!”

____________