ภาคที่สาม มิต้อง ตีกรับ ร่ำสุรา จากจอกทอง ตอนที่ 17 คำพูดที่ไม่ตั้งใจ

ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3

ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นกลางดึก หลังจากปลอบทั้งสองฝั่งแล้วกลับมาในห้องของตน เว่ยฉางอิ๋งก็ไม่อยากนอนแล้ว จึงเรียกนางหวงที่นอนไม่หลับเช่นกันมาหารือ “เรื่องใน หมิงเพ่ยถังก็เรียบร้อยจนเกือบหมดแล้ว ท่านอาคิดว่าขั้นต่อไปเราจะทำอย่างไรจึงจะดี?”

นางหวงบอกว่า “นับตั้งแต่ฮูหยินน้อยมาถึงซีเหลียง ก็ยังไม่ได้ไปคารวะแต่ละเรือนของตระกูลเสิ่นอย่างเป็นทางการเลย ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องนี้ยังไม่อาจทำได้ในตอนนี้ ประการแรกคุณชายของเราก็ยังนอนซมลุกไม่ไหว ประการที่สองเรื่องเล็กน้อยต่างๆ ก็ยังจัดการไม่เรียบร้อย ประการที่สาม เมื่อฮูหยินน้อยเพิ่งจะมาถึงก็ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ วันนี้จึงไม่มีเหตุผลที่สมควร มิสู้ในวันสิ้นปีของปีนี้ หากคุณชายสามารถจัดงานเลี้ยงได้ ก็จัดให้เอิกเกริกสักหน่อย และเชิญคนในแต่ละเรือนมาร่วมงานด้วยเจ้าค่ะ”

เว่ยฉางอิ๋งพยักหน้าบอกว่า “ท่านอาหวงกล่าวถูกต้อง แต่ก็ไม่จำเป็นต้องให้ท่านพี่เป็นคนจัดงานเลี้ยงเอง น้องชายสี่ก็มิใช่ว่ามาด้วยหรือ? ถึงเวลาก็ให้ท่านพี่ออกไปเผยหน้าตาสักหน่อย แล้วให้น้องชายสี่ต้อนรับอยู่ข้างหน้า ส่วนในเรือนหลังพวกเราก็จัดการกันเอง”

นางใคร่ครวญอีกแล้วว่า “ทว่าเทียบเชิญนี่จะจัดส่งอย่างไรดี? ตามหลักแล้วในสายที่ใกล้ชิดล้วนต้องส่งให้ ทว่าในสายที่ห่างไกลออกไป หากมีผู้มีความสามารถแล้วพลาดไปก็จะไม่ดี”

“มิสู้ยามนี้พวกเราก็ส่งคนออกไปสืบดูเลยเจ้าคะ?” นางหวงเข้าใจว่านางต้องการอาศัยเทียบเชิญนี้จัดการและตอกย้ำผู้คนที่เคยแสดงความไม่พอใจกับตนตลอดมาและยกย่องส่งเสริมผู้คนที่มีความประพฤติดี …สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือหากำลังหลักที่เชื่อถือได้และมีความสามารถให้แก่เสิ่นจั้งเฟิง

เว่ยฉางอิ๋งกล่าวว่า “เวลานี้ก็เดือนสิบสองแล้ว ไม่รู้ว่าจะทันหรือไม่ …ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้ท่านพี่เคยบอกว่าที่ด่านเตี๋ยชุ่ยมีคนมีความสามารถผู้หนึ่ง คราก่อนที่ท่านพี่ถูกลอบทำร้ายก็เพราะต้องการไปทาบทามเขามาเป็นพวก ครานี้ไม่รู้ว่าจะเชิญเขามาได้หรือไม่”

เพราะนั่นเป็นคนที่เสิ่นจั้งเฟิงหมายตาเอาไว้แล้ว อีกทั้งนายบ่าวทั้งสองก็ไม่คุ้นเคยกับซีเหลียงเสียยิ่งนัก เว่ยฉางอิ๋งจึงกลืนคำที่อยากบอกให้นางห่วงไปลองสืบถามดูลงไป แล้วกล่าวว่า “วันพรุ่งข้าจะลองไปสอบถามท่านพี่ดู อย่างไรท่านพี่ก็มาถึงที่นี่ก่อน ท่านอาตระเตรียมคำที่จะเขียนในเทียบเชิญก่อนดีหรือไม่?”

จนถึงวันรุ่งขึ้น เว่ยฉางอิ๋งจัดการงานต่างๆ ทั้งวัน แล้วไปอยู่เป็นเพื่อนสามีและเล่าเรื่องที่นางตัดสินใจให้เขาฟัง “เมื่อครู่นี้ข้าส่งคนไปถามน้องซินเหมี่ยวแล้ว นางบอกว่าจนถึงวันสิ้นปีท่านก็พอจะลุกขึ้นมาและค่อยๆ เดินได้แล้ว เพียงแต่ยังดื่มสุราไม่ได้”

เสิ่นจั้งเฟิงได้ยินคำก็โล่งใจ ยิ้มพลางว่า “สุรากลับมิเป็นไร ถึงยามข้าก็ใช้ชาแทนสุราเป็นพอแล้ว และที่ว่าสามารถลุกเดินได้ก็เป็นข่าวดีจริงๆ ความจริงแล้วข้ากลับรู้สึกว่าตอนนี้ข้าก็น่าจะลุกขึ้นมาเดินสักหน่อยได้แล้ว”

“ระวังแผลจะฉีกอีก อย่างไรเจ้าก็นอนพักเถิด” เป็นดังที่เขาคิดไว้ว่าเว่ยฉางอิ๋งจะไม่เห็นด้วย “หากเจ้ารู้สึกว่านอนนานแล้วไม่สบาย ก็ให้คนมานวดให้เจ้าสักหน่อย”

“ข้าอยากให้เจ้านวดให้ข้า” เสิ่นจั้งเฟิงเอื้อมมือไปลูบหลังมือนาง เอ่ยกึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม

เว่ยฉางอิ๋งถลึงตาใส่เขาคราวหนึ่ง แต่กลับเอาผ้าในมือยัดเข้าไปในกำไล แล้วยกมือขึ้นมาบีบแขนให้เขา บีบไปพลางพูดไปพลางว่า “วันสิ้นปีจะเชิญผู้ใดมาบ้าง เจ้าวางแผนเอาไว้แล้วหรือไม่”

เสิ่นจั้งเฟิงคิดในใจว่าพอถึงวันสิ้นปีทางพวกตี๋ก็คงจะเกิดความวุ่นวายขึ้นพอสมควรแล้ว ถึงยามนั้นอาหารมือนี้ยังจะได้กินอยู่ในตัวเมืองซีเหลียงหรือไม่ก็ยังเป็นปัญหา แต่การคาดเดานี้ก็เป็นความลับของการทหาร เขาจึงไม่คิดจะบอกกับภรรยา จึงยิ้มแล้วว่า “เจ้าจัดการไปตามสมควรเถิด อย่างไรคนในสายใกล้ชิดล้วนต้องเชิญมา”

“คนเหล่านี้ย่อมต้องรวมเอาไว้แล้ว ข้าหมายถึงในสายที่ห่างออกไปมีผู้ใดที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษหรือไม่? และยังมีคนที่ไม่ใช่คนในตระกูลเราด้วย” เว่ยฉางอิ๋งอธิบาย “อย่างเช่นขุนนางในแคว้นและในระดับต่างๆ ในซีเหลียงที่ไม่ได้แซ่เสิ่น และยังมีผู้มีความสามารถที่ด่านเตี๋ยชุ่ยที่เจ้าเคยเอ่ยถึงผู้นั้น จะใช้โอกาสนี้เชิญเขามาสร้างความสนิทสนมหรือไม่?”

เสิ่นจั้งเฟิงนิ่งคิด กล่าวว่า “ขุนนางที่นี่ เจ้าสามารถไปหารือกับบรรดาผู้อาวุโสที่รู้เรื่องที่นี่ได้ว่าจะเชิญผู้ใดบ้าง แม้ข้าจะมาที่นี่ก่อนเจ้า ทว่าระยะปีกว่าๆ มานี้ข้าล้วนไปออกศึก ก่อนหน้านี้เคยอยู่ในตัวเมืองซีเหลียงไม่กี่วันเพื่อหลอกพวกตี๋เท่านั้น วันๆ ก็เอาแต่เรียกพวกพ้องมากินดื่มหาความสำราญ กลับไม่เคยได้สนใจคนมีความสามารถในตระกูลเลย อีกประการ ต่อให้ข้าสนใจ แต่หากจะพูดถึงความเข้าใจต่อคนเหล่านี้ บรรดาผู้อาวุโสที่เกิดและเติบโตที่นี่ก็จะเข้าใจได้ลึกซึ้งกว่า”

เขาพูดได้เพียงครึ่ง ก็รู้สึกว่ามือที่เว่ยฉางอิ๋งบีบนวดแขนให้เขาหยุดลงแล้ว ดวงตาหงส์ทั้งคู่จ้องเขาไม่กระพริบ

เสิ่นจั้งเฟิงสงสัย ยิ้มแล้วว่า “เป็นอันใด?”

เว่ยฉางอิ๋งจ้องเข้าอยู่พักหนึ่งแล้วแต่เห็นว่าเขาก็ยังไม่รู้สึกตัว จึงถลกแขนเสื้อขึ้น แล้วเอื้อมมือไปบิดหูเขา ขึ้นเสียงว่า “วันๆ เอาแต่เรียกพวกพ้องมาดื่มกินหาความสำราญ?! เจ้าหาความสำราญเช่นใดกัน? เพียงดื่มสุราทานอาหาร หรือว่าเรียกสาวงามมามั่วโลกีย์กันกลางวันแสกๆ?!”

เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยอย่างเลิกลั่กว่า “ไม่มีเรื่องเช่นนั้น! ก็เพียงพูดไปดังนั้นเท่านั้นเอง …ความจริงแล้วข้าก็เพียงไปอยู่ที่หอสุราในตัวเมืองไม่กี่วัน แล้วหยิวเจี่ยก็อาศัยโอกาสนี้ส่งคนออกไปกระพือข่าวสร้างชื่อว่าข้าไร้ความสามารถแต่ยังหวังความชอบใหญ่หลวง…”

“ไปอยู่ที่ใดไม่กี่วันมาบ้าง?!” เว่ยฉางอิ๋งขึ้นเสียง ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพลางออกแรงบิดหูเขาอีก “เจ้าไปอยู่หอใดมา? ด้วยฐานะและความยิ่งใหญ่ของเจ้า เกรงว่าสตรีทั้งหอจะวิ่งกรูเข้ามาหาแล้วกระมัง? โอบซ้ายกอดขวามีความสุขสินะ? เนื้อนวลหอมหวนในอยู่อก คงวาบหวามนักหนากระมัง? มิน่าเล่าสาวใช้ผู้นั้นจึงชื่อหร่วนอวี้(เนื้อนวล)! เจ้าออกจากที่นั่นมาก็ถูกการศึกรุมเร้าจนไม่อาจไปเสพสุขกับเนื้อนวลหอมหวนได้อีก จึงเอาแต่คำถึงอยู่ไม่วายและตั่งชื่อนี้ให้กับสาวใช้ผู้นั้น! เจ้าบอกกับข้ามาชัดๆ นะ! หาไม่ก็รอดูซิว่าข้าจะชกเจ้าอย่างไร?

เสิ่นจั้งเฟิงถูกนางบิดหูจนต้องร้องขอความเมตตาหลายหน เอ่ยอย่างไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดีกว่า “อิ๋งเอ๋อร์คนดี ยามนี้สามียังบาดเจ็บอยู่ เจ้าทำเช่นนี้ก็รังแกคนไม่มีทางสู้! รังแกคนไม่มีทางสู้นะ!”

“ไม่มีทางสู้แล้วจะอย่างไร?” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างมีโทสะ “ฉวยโอกาสที่ยามนี้เจ้ายังไม่หายดีชกให้เจ้าสงบเสงี่ยมไม่กล้าออกนอกลู่นอกทางเสียเลย! หาไม่เมื่อรอจนเจ้าหายแล้ว หรือว่าเจ้าจะไม่คิดตอบโต้?!”

เสิ่นจั้งเฟิงอมยิ้มที่มุมปาก กำลังจะเอ่ยคำ จู่ๆ กลับคล้ายว่าคิดปากสิ่งออก สีหน้าเปลี่ยนไปทันใด พึมพำว่า “มิผิด …แม้เวลานี้จะยังบาดเจ็บอยู่ ทว่าในเมื่อคนผู้นี้มีชั้นเชิงเหนือคน ก็ไม่อาจผ่านอุปสรรคในครานี้ไปได้! ยามนี้รอข่าวความวุ่นวายภายในอยู่ แต่กลับเป็นการให้โอกาสเขาหายใจ!”

เว่ยฉางอิ๋งฟังอย่างมึนงงไปหมด ทว่าก็สัมผัสได้ว่าเขาคล้ายกำลังพูดถึงการศึกอยู่ …ก่อนเว่ยฉางอิ๋งจะออกเดินทางท่านอาหญิงทั้งสองท่านก็เคยกำชับมาและนางหวงก็เอ่ยเตือนเกี่ยวกับประเด็นนี้มาแล้ว นั่นก็คือเมื่อมาถึงซีเหลียง เรื่องหลังบ้านสามารถลงมือได้เต็มที่เพื่อเป็นการสนับสนุนสามี แม้จะเกินเลยไปบ้างแต่ด้วยบารมีของบ้านฝั่งมารดาและเสิ่นซูกวงบุตรชายคนโต ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะทานเรื่องนี้ไม่ไหว ทว่าในเรื่องการศึก หากมิใช่เสิ่นจั้งเฟิงเป็นคนเอ่ยกับนางเอง ก็ห้ามไปพิรี้พิไรให้มากความโดยเด็ดขาด

การศึกของบ้านเมืองเป็นเรื่องใหญ่หาใช่ละครเด็กเล่น มิใช่เรื่องที่สตรีควรเข้าไปก้าวก่าย

ยามนี้นางจึงค่อยๆ คลายมือ เพื่อมิให้เอะอะต่อไปแล้วจะรบกวนความคิดของ เสิ่นจั้งเฟิง

แล้วเห็นว่า เสิ่นจั้งเฟิงมีสีหน้าเปลี่ยนไปมาไม่หยุด เอาแต่พูดกับตัวเองเบาๆ ด้วยคำพูดที่ว่า ‘คนผู้นี้’  ‘ความวุ่นวายภายใน’  ‘โอกาสทอง’ เว่ยฉางอิ๋งยกมือขึ้นมาเท้าคางอย่างไร้ซุ่มเสียง แล้วมองไปยังดอกล่าเหมย[1]ที่เพิ่งนำมาปักใหม่ในแจกันลายครามไม่ไกลออกไป จดจำคำเหล่านี้เอาไว้และแอบใคร่ครวญในใจ…

นางกำลังนับดอกล่าเหมยในแจกันไปได้กว่าครึ่ง จู่ๆ ก็ถูกเสิ่นจั้งเฟิงดึงตัวเข้าไปกอดในอ้อมอกแล้วจูบแรงๆ ที่ซอกคอนาง จูบไปก็หัวเราะเสียงดังไป กล่าวว่า “อิ๋งเอ๋อร์เป็นผู้ช่วยแสนประเสริฐของสามีจริงๆ! สามียังกำลังรอข่าวความวุ่นวายภายในของพวกตี๋ และวางแผนว่าจะเข้าโจมตีตอนที่กำลังเกิดความวุ่นวาย แต่เกือบจะต้องเสียการใหญ่เพราะแผนการนี้เสียแล้ว! มิน่าเล่าข่าวที่พวกสอดแนมส่งมาก่อนหลังจึงขัดแย้งกัน ทำให้คาดเดาอันใดไม่ได้! หากไม่ได้คำของอิ๋งเอ๋อร์เตือนสติสามี ก็เกรงว่า มู่ซิวเอ่อร์จะฝ่าด่านนี้ไปได้จริงๆ แล้ว!”

เว่ยฉางอิ๋งร่ำเรียนวรยุทธ์มาแต่เล็ก จนทำให้มีสัญชาตญาณของชาวยุทธ เมื่อจู่ๆ ถูกจู่โจมก็กำลังจะโต้ตอบไปตามสัญชาตญาณ ดีที่ได้สติขึ้นมาจึงยั้งมือเอาไว้ทันกาล แล้วรีบเอ่ยเตือนสามีอย่างลนลานว่า “บาดแผลของเจ้า!”

เจ้าหมอนี่คงมิได้ดีใจจนเลอะเลือนเสียแล้ว? บาดแผลที่หนักที่สุดสองแผลล้วนอยู่ที่หน้าอกนะ! ยามนี้มากอดตัวนางเอาไว้ ไม่กลัวว่าจะทำให้แผลที่เพิ่งประสานกันปริแยกอีกครั้งหรือ?

เว่ยฉางอิ๋งไม่กล้าแม้จะขยับ ด้วยกลัวว่าพอขยับแล้วก็จะยิ่งทำให้เขาได้รับบาดเจ็บ …เสิ่นจั้งเฟิงกลับมิได้สนใจเลยแม้แต่น้อย แล้วหอมแก้มนางไปอีก เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “อิ๋งเอ๋อร์คนดี เจ้าส่งคนไปเรียกหยิวเจี่ยมาก่อน อีกประเดี๋ยวสามีค่อยมาอธิบายเรื่องก่อนหน้านี้ภายหลัง รับรองว่าเจ้าต้องไม่โกรธข้าอีกแน่ๆ”

“คุยกันอยู่ดีๆ ได้เพียงครึ่ง แต่เจ้ากลับนึกถึงเรื่องการศึกขึ้นมาเสีย ยามนี้ข้าโกรธนักแล้ว!” เว่ยฉางอิ๋งจงใจทำหน้าบึ้งและเอ็ดเขาไป

แม้ปากจะว่าดังนั้น ทว่าเว่ยฉางอิ๋งก็รู้ว่าเรื่องใดใหญ่เล็ก ก็ยังลุกขึ้นในทันใดจะออกไปเรียกคน

เสิ่นจั้งเฟิงบอกว่า “รอบาดแผลของสามีหายอีกสักหน่อย ค่อย…ขอขมาอิ๋งเอ๋อร์ให้ดีๆ?”

“พูดเล่นอยู่ได้!” เว่ยฉางอิ๋งเอ็ดเขา แล้วยื่นนิ้วไปดีดหน้าผากเขาหนหนึ่ง จัดแจงเสื้อผ้าแล้วออกไปสั่งคน

เพราะคนข้างนอกไปเรียกเสิ่นหยิวเจี่ย ต่อให้เสิ่นหยิวเจี่ยรีบมาเพียงใดก็ต้องใช้เวลาสักหน่อย เว่ยฉางอิ๋งจึงกลับเข้าไปในห้อง กล่าวว่า “เรียบร้อยแล้ว ไปเรียกคนให้เจ้าแล้ว เจ้าจะอธิบายเรื่องก่อนนี้ว่าอย่างไร? บอกไว้ก่อนนะ หากเจ้าอธิบายได้ดี ครานี้ก็จะไม่ทุบเจ้า! แต่หากอธิบายไม่ดี…”

เว่ยฉางอิ๋งเงื้อหมัดขึ้นและซัดไปมาตรงหน้าเขา ยิ้มเย็นพลางว่า “คอยดูว่าข้าทุบเจ้า อย่าบอกว่าสิ้นปีเลย จนเทศกาลหยวนเซียว[2]ก็อย่างหวังว่าจะได้ลงจากตั่งเลย!”

เสิ่นจั้งเฟิงลูบคางยิ้มมองนาง

“คำปลิ้นปล้อนไม่ได้ผล!” เว่ยฉางอิ๋งนั่งลงที่ข้างตั่ง บีบสันจมูกเขาแรงๆ พลางว่า “เอาล่ะ ว่ามาซิ ครั้งนั้นเจ้าหลอกมู่ซิวเอ่อร์เป็นเพียงแค่เปลือกนอก? หรือว่าเจ้าสำมะเลเทเมา สำมะเลเทเมา หรือว่าสำมะเลเทเมากันแน่? หือ?”

เมื่อพูดคำนี้จบ มือของนางก็ไหลไปที่ใบหูของเสิ่นจั้งเฟิง หากมีคำตอบใดไม่ถูกใจนางก็จะบิดหูของเสิ่นจั้งเฟิงในทันใด

เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยขอร้องอย่างน่าเวทนาว่า “อิ๋งเอ๋อร์คนดี ใจที่สามีมีต่ออิ๋งเอ๋อร์เรียกได้ว่าตะวันจันทราประจักษ์ ฟ้าดินบอกได้ …เรื่องนี้มิใช่ว่าครั้งที่อยู่ในเรือนจินถงในเมืองหลวงสามีก็บอกให้เจ้าฟังแล้วหรือ?”

“นั่นแล้วจะอย่างไร?” เว่ยฉางอิ๋งแค่นเสียงเอ่ย “ห้ามเบี่ยงเบนไปเรื่องอื่น! รีบบอกมา ครั้งเจ้าเพิ่งมาถึงซีเหลียงเจ้าทำเรื่องใดที่ผิดต่อข้างบ้าง!”

“…ก็คือหาหอสุราหอหนึ่ง ไล่คนอื่นๆ ออกไปเพื่อทำให้เกิดข่าวคราวขึ้น แล้วข้ากับหยิวเจี่ยและพวกนายทัพนายกองก็ปิดประตูหารือเรื่องยุทธวิธีศึกอยู่ในเรือนเล็กๆ ที่ลับตาคนภายในนั้นเท่านั้น” เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยพลางทอดถอนใจ “เพราะข้าต้องไปเป็นตัวล่อ หลายวันนั้นต้องรีบจดจำภูมิประเทศ ฝึกวรยุทธ์ จดจำผู้คนก็ยังแทบไม่ทันแล้ว จะมีเวลาไปวุ่นวายเรื่องอื่นได้ที่ใด? ไม่เชื่อเจ้าก็ไปถามเสิ่นเตี๋ยดู หลายวันนั้นหลังยุ่งมาทั้งวันก็กลับมาล้มนอนตั่งแล้ว แม้แต่ข้าวเย็นก็ยังไม่อยากกินเลย”

เว่ยฉางอิ๋งถามอย่างสงสัยว่า “จดจำผู้คน? จดจำผู้ใด?”

“ย่อมต้องเป็นคนใน ‘จี้หลี’ ที่ส่งไปคุ้มกันข้าน่ะสิ เจ้านึกว่าเป็นผู้ใด?” เสิ่นจั้งเฟิงมองท่าทีระแวงของนางก็ทั้งโมโหทั้งตลก ชี้นิ้วไปกวาดข้างแก้มนางคราวหนึ่ง แล้วส่ายหน้าหัวเราะลั่น กล่าวว่า “ขี้หึงถึงเพียงนี้ ข้าจะกล้าไปทำนอกใจได้อย่างไร? ดูหน้าตาร้อนรุ่มนี่สิ หากข้าตอบไม่ดี ก็มิใช่ว่าจะถูกองค์ราชินีสั่งให้ลากออกไปทำน้ำแกงเนื้อคนแล้วหรือ?”

คำว่า ‘องค์ราชินี’ นี่ทำให้นึกถึงความทรงจำก่อนนี้ เว่ยฉางอิ๋งคิดถึงเมื่อครั้งเพิ่งแต่งงาน เพราะเรื่องวันที่เผยเหม่ยเหนียงมายกน้ำชาทำให้ถูกแม่สามีตำหนิสั่งสอน แล้วกลับไปที่เรือนจินถงด้วยจิตใจหดหู่ เมื่อสามีมองออกจึงเสนอว่าจะพาตนไปเที่ยวเล่นที่ทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลิ ระหว่างทางสองสามีภรรยาเย้าหยอกกัน เห็นภาพที่เสิ่นจั้งเฟิงกระเซ้าเรียกตนว่า ‘องค์ราชินี’ พลันรู้สึกหวานชื่นขึ้นมาในใจแล้วผลักสามีเบาๆ หนหนึ่ง แสร้งเอ่ยอย่างเคร่งเครียดไปว่า “ดูก็รู้แล้วว่าเจ้าไม่กล้าหรอก! หาไม่ ไม่เพียงแค่เอาไปทำน้ำแกง ยังจะเอาไปสับให้ละเอียดทำไส้เกี้ยวด้วย! ให้เจ้าร้องขอชีวิตอย่างไรก็ไร้ผล!”

“ช่างเป็นองค์ราชินีที่น่าเกรงขามน่าหวาดกลัวและเหี้ยมโหดจริงๆ!” เสิ่นจั้งเฟิงแสร้งทำเป็นหวาดกลัว ดึงมุมผ้าห่มขึ้นมาแสร้งทำเป็นหญิงงามน่าสงสารกำลังซับน้ำตาพลางบีบเสียงเล็กแหลม “วันหน้าทั่วซีเหลียง เมื่อเอ่ยพระนามขององค์ราชินี คงทำให้เด็กเล็กๆ หยุดร้องไห้ยามค่ำคืนได้ …น่าสงสารก็แต่ข้าบ่าวผู้โชคร้าย เหตุใดต้องเกิดมาพบกับองค์ราชินีด้วยเล่า?”

เว่ยฉางอิ๋งเห็นสามีที่รูปงามหล่อเหลาสูงโปร่งกำยำแท้ๆ แต่กลับมาแสดงเป็นเด็กสาวงดงามบอบบางที่อายุราวสิบหก ภาพนี้น่าขำเหลือทน จึงอดหัวเราะเสียงดังออกมาไม่ได้ แล้วดีดหน้าผากสามีเบาๆ “เจ้าต้องเชื่อฟัง องค์ราชินีก็จะเอ็นดูเจ้า! รับรองว่าเจ้าจะได้อยู่ดีมีสุข!”

________________________________

[1] ดอกล่าเหมย มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Winter Sweet  คล้ายดอกบ๊วย มีสีเหลือง ผลิดอกในอากาศหนาวเย็น

[2] เทศกาลหยวนเซียว หรือเทศกาลโคมไฟ คือวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 1 ตามปฏิทินจีน เป็นวันแรกที่พระจันทร์เต็มดวงหลังวันปีใหม่ของจีน