ภาคที่สาม มิต้อง ตีกรับ ร่ำสุรา จากจอกทอง ตอนที่ 18-1 สามีภรรยาโต้เถียงกัน

ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3

สองสามีภรรยาหยิกหยอกกันสักพัก เมื่อเสิ่นหยิวเจี่ยมาถึงเว่ยฉางอิ๋งจึงหาเหตุผลออกไปเพื่อให้เสิ่นจั้งเฟิงและเสิ่นหยิวเจี่ยหารือเรื่องการศึกกันตามลำพัง

หลายวันต่อมา เสิ่นหยิวเจี่ยล้วนไปหาเสิ่นจั้งเฟิงทุกวัน บางครั้งยังพกที่ปรึกษา หรือกระทั่งเติ้งจงฉีก็ยังถูกเชิญมาในขณะที่พวกเขาหารือกันหลายหน

เว่ยฉางอิ๋งเดาเอาว่าพวกเขาคงกำลังหารือกันในเรื่องที่สำคัญมาก เพียงแต่จดจำที่ท่านอาหญิงทั้งสองคนกำชับตนได้ว่าหากเสิ่นจั้งเฟิงไม่ได้เป็นคนมาบอกนางเองก็อย่าไปสอบถามจะดีกว่า ในเมื่อนางเข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องการศึกไมได้ จึงไปจัดการเรื่องของตนให้ดี รีบจัดแจงทุกสิ่งในหมิงเพ่ยถังให้เข้าที่เข้าทางเร็วที่สุด กำจัดพวกที่ไม่สงบเรียบร้อย ให้รางวัลกับผู้ที่เชื่อฟัง …เพราะเสิ่นหยิวเจี่ยใกล้ชิดกับเสิ่นจั้งเฟิง และเสินหยิวอี่น้องชายของเขาก็สนิทสนมกับพี่ชายเอามากๆ เมื่อมารับหน้าที่ดูแลหมิงเพ่ยถังแล้ว เขาจึงเชื่อฟังเว่ยฉางอิ๋งอย่างมาก

เว่ยฉางอิ๋งค่อยๆ จัดการหลายเรื่องตามประสงค์ของนางในนามของเสิ่นหยิวอี่ไปทีละเรื่อง ทั้งยังปรับเปลี่ยนตำแหนงต่างๆ ของบ่าวที่เกิดในบ้านขนานใหญ่ จนแทบจะพลิกหมิงเพ่ยถังใหม่ทั้งหมด ในระหว่างนี้จึงไม่มีคนที่คอยหาทางไปฟ้องแล้ว ดังนั้นนับตั้งแต่เหล่าผู้อาวุโสไปจนถึงพวกบ่าวล้วนจนหนทางไปสั่นคลอนความตั้งใจที่เสิ่นจั้งเฟิงต้องการสนับสนุนภรรยาได้ เมื่อมีเขาเป็นกำลังหลัก แม้เสิ่นจั้งฮุยจะเป็นคนหูเบา แต่ก็ไม่กล้าหักหลังลูกผู้พี่ เมื่อทั้งสามคนเห็นพ้องต้องกัน ทำให้ผู้คนเกิดความหวาดกลัวต่ออำนาจของตระกูลสายหลักจึงไม่อาจมาขัดขวางอันใดได้

ดังนี้เองเมื่อมาถึงช่วงก่อนวันสิ้นปี เทียบเชิญที่เว่ยฉางอิ๋งเชิญในนามสามีภรรยาสองคนและเสิ่นจั้งฮุยน้องชายของสามีจึงไม่มีผู้ใดกล้าเสียมารยาท

เพียงแต่ แม้ว่าแขกทุกคนล้วนตั้งอกตั้งใจเตรียมตัวมางานเลี้ยง แต่ฝั่งของเจ้าภาพกลับเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น… เมื่อยินคำร้องขอที่จู่ๆ สามีก็เสนอออกมา เว่ยฉางอิ๋งก็อดมีสีหน้าเปลี่ยนไปไม่ได้ กล่าวว่า “บาดแผลของเจ้าก็ยังไม่ทันหายดี วันนี้ยังขี่ม้าไม่ได้ แต่กลับจะไปตำบลตงเหอ…นี่เจ้าล้อเล่นอันใด?!”

เสิ่นจั้งเฟิงอธิบายว่า “ครานี้หยิวเจี่ยจะนำทหารเข้าไปปะทะก่อน ส่วนข้าจะคอยดูแลจัดการยุทธภัณฑ์ให้เขา จะไม่เข้าสู้ศึกด้วยตนเองเด็ดขาด”

“หยิวเจี่ยเป็นผู้บัญชาการแห่งซีเหลียงก็มิใช่แค่วันสองวันแล้ว เขาจะไม่มีคนมาคอยดูแลคลังยุทธภัณฑ์ให้เขาหรือ? ไยต้องให้เจ้าไปด้วยตนเอง? อีกประการ คราแรกที่เจ้าได้รับบาดเจ็บก็อยู่ที่ตำบลตงเหอ เห็นได้ว่าที่นั่นอันตรายเพียงใด เจ้าบอกว่าจะไม่เข้าสู้ศึก แต่หากได้เจอกับศัตรูเข้าจริงๆ แล้วจะไม่ประมือกันได้หรือ?” เว่ยฉางอิ๋งไม่เห็นด้วย “ดีชั่วฮ่องเต้ก็ให้เวลาเจ้าสามปี ยามนี้เจ้าก็สร้างผลงานที่บีบคั้นมู่ซิวเอ่อร์จนแทบไม่มีหนทางหนีแล้ว การสู้ศึกครานี้เมื่อนับไปแล้วก็เป็นผลงานของเจ้าด้วย แม้เจ้าไม่ได้เข้าสู้ศึก ก็สร้างความชอบได้น้อยสักหน่อย แต่อย่างไรก็ดีกว่าให้เจ้าเจ็บแล้วเจ็บอีกเหมือนเติมเกล็ดน้ำแข็งไปบนหิมะนะ!”

“ข้าไม่ได้ทำเพราะความชอบ” เสิ่นจั้งเฟิงถอนหายใจ “คราก่อนพวกเขาพี่จื่อหมิงทั้งสามคนล้วนไม่ได้ความชอบด้วย ภารกิจครานี้เดิมทีก็เป็นความเห็นพ้องกันอยู่ในทีว่าจะเปิดโอกาสให้พวกเขาได้สร้างผลงานบ้าง” เสียงเขาเบาลง “ข้าก็เพียงไม่ใคร่วางใจหยิวเจี่ย คราก่อนได้โอกาสงามเพียงนั้น เขาก็ยังไม่อาจจับมู่ซิวเอ่อร์ได้ จึงกลัวว่าหากครานี้ข้าไม่ไปด้วย แล้วหากเขาเกิดเลินเล่อขึ้นมาก็จะทำให้เสียการใหญ่!”

เว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้ว “ในเมื่อเจ้าไม่วางใจเขา แล้วเหตุใดต้องใช้เขาเล่า?”

ภรรยาพูดออกมาอย่างไม่เข้าใจเรื่องการศึกนี้ จนเสิ่นจั้งเฟิงต้องยิ้มออกมา แต่ก็ยังอธิบายกับนางว่า “แม้หยิวเจี่ยจะเลินเล่อไปบ้าง ทว่าหากนับกันเรื่องความสามารถแล้วเขาก็มีอยู่ เพียงแต่มู่ซิวเอ่อร์ผู้นี้มีความสำคัญมากมายนัก หากไม่ไปดูด้วยตาตนเองสักหน่อย ข้าก็จะไม่วางใจ มิใช่หมายความว่าหยิวเจี่ยไม่ได้ความจริงๆ หาไม่แล้วก็คงไม่ให้คนในสายห่างๆ ทั้งลำดับอาวุโสก็ไม่สูงเช่นเขามารับตำแหน่งผู้บัญชาการแห่งซีเหลียงหรอก”

แม้ตำแหน่งผู้บัญชาการจะไม่ใช่แม่ทัพ ทว่าก็เป็นตำแหน่งทางทหารที่สูงที่สุดในซีเหลียงแล้ว

ความจริงแล้วก็เป็นผู้ที่รับหน้าที่ดูแลกองกำลังทหารทั้งหมดในซีเหลียง

ซึ่งแน่นอนว่าไม่มี ‘จี๋หลี’ อยู่ภายในนั้น

แต่ก็เพียงพอจะอธิบายถึงความสามารถของเสิ่นหยิวเจี่ย… ตำแหน่งของเขานี้ มีพวกตี๋เป็นคนทดสอบว่ามีคุณสมบัติเหมาะสมจะรับผิดชอบไหวหรือไม่ทีเดียว

เว่ยฉางอิ๋งเห็นว่าแม้สามีจะพูดจาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทว่าความประสงค์ที่จะเดินทางไปตำบลตงเหอกลับมุ่งมั่นนัก จึงรู้สึกรุ่มร้อนใจอย่างมาก นางพลันลุกขึ้นมาเดินรอบๆ ห้องรอบหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างขัดเคืองว่า “ไม่ว่าเจ้าจะว่าอย่างไร เป็นตายอย่างไรข้าก็ไม่ให้เจ้า! หากยามนี้เจ้าดีขึ้นสักเจ็ดแปดส่วน ข้าก็มิได้เป็นภรรยาโง่เง่าเพียงนั้น ที่จะคิดเห็นเพียงตื้นเขินแล้วขัดขวางความมุ่งมั่นที่เจ้าต้องการสังหารศัตรูสนองคุณแผ่นดิน! แต่ยามนี้บาดแผลเจ้ายังไม่ประสานดี เพียงแค่กระเทือนเล็กน้อยแผลก็ต้องปริแยกอีกเป็นแน่ แล้วตำบลตงเหอก็อันตรายเพียงนั้น หากเจ้าไปแล้ว เกิดว่า…แล้วเจ้าจะให้ข้ากับกวงเอ๋อร์อยู่อย่างไร? เจ้าเอาแต่เป็นห่วงเรื่องมู่ซิวเอ่อร์เป็นห่วงชายแดน แต่เจ้าไม่เป็นห่วงข้ากับกวงเอ๋อร์หรือไร?!”

นางขบริมฝีปาก น้ำตาเอ่อขนตายาว “กวงเอ๋อร์ยังเล็กเพียงนั้น จะว่าไปพอหลังปีใหม่เขาก็เกือบจะอายุครบปีแล้ว แต่เจ้าซึ่งเป็นพ่อของเขายังไม่เคยพบเขาเลย! ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้เจ้ากลับเอาชีวิตไปเสี่ยงเพื่อมู่ซิวเอ่อร์คนเดียว เจ้าจะไม่คำนึงถึงภรรยาและลูกชายคนโตของเจ้าบ้างเลยหรือ!”

เสิ่นจั้งเฟิงเดินมาข้างกายนาง เอื้อมมือไปลูบปอยผมข้างแก้มนาง เอ่ยเสียงเบาว่า “ก็เพราะคำนึงถึงพวกเจ้า ข้าจึงต้องไป”

เมื่อเห็นเว่ยฉางอิ๋งขมวดคิ้วเตรียมตัวจะโต้แย้ง นิ้วของเสิ่นจั้งเฟิงก็เลื่อนลงไปแตะปิดริมฝีปากนาง ให้นางอย่าเพิ่งพูด แล้วตนเองก็เอ่ยเสียงเบาไปว่า “ฮ่องเต้ทรงหวั่นเกรงและเตรียมตัวป้องกันพวกเราตระกูลสูงศักดิ์ เรื่องนี้เจ้าก็รู้อยู่ เวลานี้สุขภาพของท่านพ่อตาก็ดีขึ้นมากแล้ว รุ่ยอวี่ถังกำลังจะรุ่งโรจน์ นี่ย่อมเป็นเรื่องดีสำหรับพวกเราแต่สำหรับฮ่องเต้แล้วกลับทรงหวั่นเกรงว่าหากพวกเราสองตระกูลแข็งแกร่งเกินไปก็จะเป็นภัยต่อราชบัลลังก์ ดีที่ฮ่องเต้ก็มิได้เป็นผู้ที่องอาจสามารถอันใดนัก หลายสิบปีก่อนในขณะที่ทรงกำลังลุ่มหลงสุรานารีอยู่ในตำหนักหลัง จนปณิธานสูญสิ้น หาไม่ถ้าไม่มีทางอื่นแล้วจริงๆ ฮ่องเต้ก็จะไม่ทรงกล้าใช้วิธีที่เด็ดขาดรุนแรงอันใด!”

“เรื่องที่ต้องเป็นห่วงจริงๆ กลับคือสถาการณ์ของบ้านเมืองในยามนี้” เสิ่นจั้งเฟิงถอนหายใจเบาๆ กล่าวว่า “ระหว่างทางครั้งที่เดินทางจากเฟิ่งโจวมาเหมืองหลวงก่อนหน้านี้เจ้าก็ได้เห็นแล้วว่าสภาพการณ์ของต้าเว่ยของเราในยามนี้ไม่สงบสุข! ข้าก็จะไม่ปิดบังเจ้า หากไม่เอ่ยถึงพื้นที่ภายในหลายแห่งเกิดไฟสงครามขึ้นรอบทิศ แม้แต่ดินแดนที่มั่งคั่งอย่างเจียงหนานก็ยังมีกองโจรหลายกลุ่ม แล้วประสาอะไรกับสถานการณ์ในที่อื่นๆ? ยังมีอีกหลายแห่งที่ขุนนางบีบบังคับจนประชาลุกฮือขึ้นมาต่อต้านกันอย่างสนั่นหวั่นไหว! ฮ่องเต้ไม่โปรดฟังเรื่องเหล่านี้ ฉะนั้นแต่ละตระกูลจึงหารือกันว่าจะจัดการแถบชานเมืองให้สงบสุข พื้นที่อื่นๆ ที่มีข่าวกองโจรรายงานเข้ามา ล้วนให้ปิดข่าวเอาไว้ให้หมด”

เว่ยฉางอิ๋งปัดมือเขาออก เอ่ยพลางขมวดคิ้วว่า “ทว่านี่เป็นแผ่นดินของตระกูลเซิน แล้วมันเกี่ยวกับพวกเราเรื่องใด? หรือเจ้ายังต้องการทำให้ชายแดนสงบสุขโดยไว แล้วขอออกไปปกครองนอกเมืองเอง? นี่เป็นเพราะฮ่องเต้ไม่เอาพระทัยใส่ราชกิจมานานปีจนทำให้เกิดเรื่องเหล่านี้ขึ้น ลำพังแค่ขุนนางผู้หนึ่งจะดูแลจัดการได้อย่างไร!” มิใช่ว่านางไม่เห็นใจพวกชาวบ้านที่ลำบากแสนเข็ญ แต่เมื่อเทียบกับคนเหล่านี้แล้ว นางกลับให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของสามีตนเองมากกว่า

“ข้าหมายถึงว่ายามนี้ใต้หล้ากำลังวุ่นวาย ต้าเว่ย…” เสิ่นจั้งเฟิงลังเลสักพัก จึงก้มหน้าลงกระซิบข้างหูนาง คล้ายพ่นลมออกมา พูดทีละคำว่า “ราชบัลลังก์ ล่มสลาย แล้ว!”

แม้เว่ยฉางอิ๋งเองก็รู้สึกว่าสถานการณ์ของต้าเว่ยไม่สู้ดี แต่มาได้ยินในยามนี้ก็อดตื่นตกใจไม่ได้ พลันบีบผ้าเช็ดหน้าในมือโดยไม่ทันรู้สึกตัว เนิ่นนานจากนั้นจึงเอ่ยว่า “นี่มัน…นี่มันถึงขั้นนี้แล้วจริงหรือ?!”

ราชสำนักของต้าเว่ยถดถอยเป็นเรื่องที่เห็นอยู่ชัดเจน แต่หากจะบอกว่าราชบัลลังก์ล่มสลายแล้ว …แม้ทุกวันนี้จะมีกองโจรอยู่รอบทิศ แต่ก็เป็นเพียงการจลาจลเล็กๆ ในแต่ละพื้นที่เท่านั้น ยังไม่ได้หนักหนาสาหัสจนถึงขั้นที่แต่ละหัวเมืองแต่ละเขตการปกครองร่วมมือกันและประกาศนามเป็นแคว้นเอกเทศ นับแต่ราชสกุลเซินสืบทอดราชสำนักจากบรรพบุรุษมา ยุคสมัยที่ต้าเว่ยเจริญรุ่งเรืองที่สุดก็ห่างจากทุกวันนี้เพียงร้อยกว่าปีเท่านั้น …นับแต่ปฐมกษัตริย์เว่ยสถาปนาขึ้นเป็นฮ่องเต้อย่างเป็นทางการ จวบจนวันนี้ราชสำนักเว่ยก็เพิ่งจะสองร้อยกว่าปีเท่านั้น!

———————