ภาคที่ 2 บทที่ 33 สหาย

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 33 สหาย

หลังจากพักผ่อน 1 วันเต็ม อวิ๋นเป้าก็รู้สึกดีขึ้นมาก

ทั้งหมดนี้เป็นเพราะยาของซูเฉิน ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ดีขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นนี้แน่

ทำให้อวิ๋นเป้ารู้สึกว่าตนติดค้างซูเฉินอีกครา !

ติดค้างครั้งแรกคือตอนที่ซูเฉินมอบวิชาดาบอัสนีบาตให้เขา

แม้จะเป็นเพราะเรื่องนี้ ไป๋โอวและคนอื่น ๆ จึงตามสังหารเขา แต่อวิ๋นเป้าก็ไม่โทษซูเฉิน ไม่คิดว่าซูเฉินติดค้างเรื่องใดกับเขา

เขาโตมาจากข้างถนน รู้วิชาดูดซับพลังมาจากกองขยะโดยบังเอิญ จากนั้นจึงได้ออกเดินทางมาตามหนทางแห่งการบำเพ็ญเพียร

ด้วยเพราะไม่มีทั้งเงินและพื้นเพทางบ้าน ดังนั้นจะหาทักษะต้นกำเนิดมาสักวิชาจึงต้องแลกด้วยทุกอย่างที่มี

แม้จะเป็นเพียงทักษะต้นกำเนิดระดับต่ำ แต่คนก็เอามาขายกันในราคาสูงลิ่ว อวิ๋นเป้าจึงถูกบังคับให้ต้องต่อสู้และสังหารคนเพื่อให้ได้วิชามา เขาใช้ชัยชนะที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดเพื่อทำให้พวกคนชั้นสูงพึงพอใจและมอบโอกาสให้เขา

ไม่เคยมีใครมอบทักษะต้นกำเนิดให้เขาโดยไร้สิ่งตอบแทนมาก่อน

ซูเฉินเป็นคนแรกและคนเดียวที่ทำเช่นนั้น

ถูกไล่ล่าเพราะสาเหตุนี้จะเป็นเรื่องใหญ่อันใด ? มีอยู่ครั้งหนึ่ง เพื่อเอาชนะทักษะต้นกำเนิดวิชาหนึ่ง เขาเอาชนะในการประลองเป็นตายถึง 5 ครั้งรวด มีใครในสนามประลองแห่งนั้นไม่ดุร้ายบ้าง ? มีใครไม่เคยคลานออกมาจากกองซากศพมาก่อนบ้าง ?

อีกทั้งซูเฉินยังไม่มีเจตนาร้าย

ดังนั้นเมื่ออวิ๋นเป้าบาดเจ็บและมาพบกับซูเฉินเข้า จึงไม่ใช่เพราะเขาต้องการหาคนมารักษา ตอนนั้นเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าซูเฉินเป็นนักปรุงยา เขาเพียงแต่ต้องการมาเตือนซูเฉินว่าอีกฝ่ายกำลังตกอยู่ในอันตรายเท่านั้น

แต่ซูเฉินก็ได้ช่วยเขาไว้อีกครั้งหนึ่ง

ในใจอวิ๋นเป้า เขาติดค้างซูเฉินถึงสองครั้งสองครา

อวิ๋นเป้าไม่ใช่คนที่แสดงความซาบซึ้งใจตนออกมาได้เก่งนัก แม้จะรู้สึกขอบคุณซูเฉิน แต่ก็ไม่รู้ว่าต้องแสดงออกมาอย่างไร

ยังโชคดีที่แม้จะไม่รู้ว่าต้องแสดงออกมาอย่างไร แต่ก็รู้ว่าควรทำอะไร

หลังจากครุ่นคิดเรื่องนี้มาทั้งวัน ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจได้

ในตอนนั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงบางอย่างดังมาจากนอกประตู

คือซูเฉิน

อวิ๋นเป้าเปิดประตูออก เห็นว่าซูเฉินกำลังคุยอยู่กับฉือไคฮวง

เมื่อได้ยินเสียงประตู ซูเฉินก็หันมามองอวิ๋นเป้าก่อนหัวเราะ “เจ้าดูดีขึ้นมากเลยนี่”

อวิ๋นเป้าก้าวเท้าออกไป “ข้าหายดีแล้ว เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”

ซูเฉินชะงักไป “เจ้าเกือบหายดี แต่บาดแผลยังมีรอยบาดเจ็บหลงเหลืออยู่ เจ้าอยู่ที่นี่อีกสักพัก ให้ข้าดูอาการดีกว่า”

“ไม่ได้ ข้ามีเรื่องด่วนต้องไปจัดการ” อวิ๋นเป้าส่ายหัว

“เรื่องอะไร ?”

“ข้าจะไปสังหารไป๋โอว มันจะได้ไม่มารบกวนเจ้าอีก” อวิ๋นเป้าตอบตามตรง

“ไป๋โอว ?” ซูเฉินชะงัก

อวิ๋นเป้าพยักหน้าแข็งขัน “เจ้าช่วยข้ามา 2 ครั้ง ข้าจะจัดการมันเพื่อตอบแทนเจ้า”

ใช้เวลาครู่หนึ่งซูเฉินถึงเข้าใจที่อวิ๋นเป้าเอ่ย เขาชี้ไปด้านข้าง ไม่รู้จะพูดเช่นไร “ตรงนั้นมีห้องเล็กอยู่ห้องหนึ่ง เปิดเข้าไปดูเสีย”

อวิ๋นเป้าไม่เข้าใจที่ซูเฉินพูด แต่ก็ยอมเดินตามไปยังทิศที่ชี้แล้วเปิดประตูออก พบว่ามีคน 5 คนนอนอยู่กับพื้นในสภาพดูไม่ได้

หนึ่งในนั้นคือไป๋โอว

อวิ๋นเป้าอ้าปากค้าง

เขาหันมามองซูเฉินอย่างไม่อยากเชื่อสายตา “เจ้าพาพวกมันมาที่นี่ได้อย่างไร ?”

ซูเฉินตอบ “ข้าแบกพวกมันใส่กระสอบผ้ามา ลำบากไม่น้อย แต่ไม่มีเรื่องอะไรที่ข้าทำไม่ได้ อย่างไรข้าก็ส่งพวกมันกลับสถาบันอย่างเปิดเผยไม่ได้”

“……”

อวิ๋นเป้ารู้สึกอับอายอยู่เล็กน้อย

ซูเฉินหัวเราะ “เอาล่ะ ๆ ข้าหลอกเจ้า ข้าหาผู้ช่วยสองสามคนมาสร้างกับดักที่เขาอินทรีโรย แล้วพวกมันก็ตกหลุมพรางข้าอย่างจัง หากเจ้าต้องการใช้พวกมันตอบแทนข้า ก็ต้องขออภัยด้วย แต่ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ใส่ใจเรื่องนั้นหรอก หากเจ้ายอมเป็นสหายกับข้า ข้าจะดีใจกว่า”

เขายื่นมือให้อวิ๋นเป้า

สหายหรือ ?

อวิ๋นเป้าจ้องซูเฉินด้วยความตกใจ

สำหรับเขามันเป็นคำที่ฟังดูคุ้นเคยแต่ก็ดูห่างเหินนัก

เขาค่อย ๆ เอื้อมมือออกไป แต่แทนที่จะจับมือกับซูเฉิน เขากลับยื่นออกไปเฉย ๆ เช่นนั้น

ซูเฉินเห็นดังนั้นจึงคว้ามืออีกฝ่ายไว้ “ดูท่าเจ้าจะไม่ค่อยมีสหายเท่าไหร่สินะ”

อวิ๋นเป้าตอบ “บนเส้นทางขมขื่นนี้ มีสหายไปก็ไร้ประโยชน์”

“เส้นทางขมขื่น ?”

“ข้าเติบโตมาจากข้างถนนสกปรก เต็มไปด้วยน้ำขังน้ำเน่าและสตรีขายตัว เป็นสถานที่ที่มีแต่ความตาย”

“โชคดีที่เจ้าไม่ได้อยู่ที่นั่นอีกต่อไปแล้ว” ซูเฉินยิ้ม “สถาบันมังกรซ่อนเร้นดีกว่าที่ข้างถนนขมขื่นนั่นเยอะ”

น่าแปลกที่อวิ๋นเป้ากลับตอบว่า “ข้าอยากกลับไปยังข้างถนนขื่นขมนั่นเสียมากกว่า”

ซูเฉินชะงักไป

พออวิ๋นเป้าอธิบาย ซูเฉินถึงเข้าใจ

เขาเป็นเด็กที่เติบโตมาจากถิ่นทุรกันดาร แต่กลับสามารถเข้ามายังสถาบันสูงส่งแห่งนี้ได้ด้วยกำลังตนเอง ถึงกระนั้นกลับไม่ได้รับความเคารพใด ทั้งยังถูกเลือกปฏิบัติและถูกมองด้วยความรังเกียจ

อวิ๋นเป้าที่เติบโตมาจากข้างถนนสกปรกไม่เก่งด้านการผูกมิตร ไม่เข้าใจเรื่องมารยาท ในสถานที่ที่มีคนมากมายอย่างที่สถาบันแห่งนี้ เขาจึงต้องอยู่ตัวคนเดียว

พวกคนจากตระกูลสายเลือดชั้นสูงไม่ชอบเขาเพราะเขาไร้มารยาท ไม่รู้จักการพูดการคุย

กระทั่งคนที่ไร้สายเลือดเองก็ยังไม่ชอบเขา เพราะเขาระมัดระวังรอบคอบ ไม่เชื่อใจใครโดยง่าย

ดังนั้นเขาจึงไม่สนิทกับใครหรือกลุ่มไหนเป็นพิเศษ ตลอดเวลา 1 ปีที่เข้ามาอยู่ในสถาบันมังกรซ่อนเร้นแห่งนี้เขาจึงไม่มีสหายสักคน

อีกทั้งเขายังอ่านำตราไม่มาก ไม่เข้าใจบทเรียนที่อาจารย์สอน ด้วยบทเรียนนั้นซับซ้อน อีกทั้งยังไม่อาจไปถามใครให้ช่วยอธิบายให้เขาฟังได้

สุดท้ายเขาก็ไม่ฟังบทเรียนในชั้นเรียนอีกต่อไป

ทำเพียงไปต่อสู้ที่เขาอินทรีโรยทุกวันเท่านั้น

ไม่มีผู้ใดในสถาบันอยู่บนเขาอินทรีโรยนานไปกว่าเขา เขาอยู่ที่นั่นทั้งวันทั้งคืน ต่อสู้กับเหล่าอสูรร้าย ตัวแทบจะเปื้อนเลือดสด ๆ อยู่ตลอดเวลา

หากแต่เช่นนี้ก็ยิ่งทำให้เขาเข้ากับศิษย์คนอื่น ๆ ได้ยากยิ่งขึ้น

บางคนถึงกับสงสัยว่าเหตุใดเขาจึงมาที่สถาบันมังกรซ่อนเร้นหากต้องการทำเพียงต่อสู้เช่นนี้อย่างเดียว หากเป็นเช่นนั้นไปเขากองทัพน่าจะเหมาะสมกว่า

คำพูดเย็นชาไม่ใส่ใจเหล่านี้ยิ่งทำให้เขารู้สึกเศร้าเสียใจและไม่ต้องการสนิทกับใครมากยิ่งขึ้นไปอีก

หลังจากเข้าใจสถานการณ์ของอวิ๋นเป้า ซูเฉินก็เอ่ยถาม “หากเจ้าเข้าเรียนแล้วไม่เข้าใจ เหตุใดจึงสามารถฝึกทักษะต้นกำเนิดได้เล่า ?”

“ข้าคลำทางเอาเอง ในตำรามีรูป ข้าเข้าใจศัพท์เพียงบางคำ แต่ไม่สามารถอ่านได้ออกทั้งหมด”

“แต่เจ้าก็ยังสามารถฝึกฝนจนถึงขั้นนี้……” ซูเฉินพูดแทบไม่ออก

ก่อนหน้านี้ตอนที่ถังเจิ้นกำลังแปลอักษรอาร์คาน่าโบราณ เขาได้ตรวจดูคำทุกคำให้ออกมาถูกต้องไร้ข้อผิดพลาด ทั้งยังทวนตรวจอีกหลายครั้ง

แต่เด็กคนนี้ กลับสามารถฝึกวิชาต่าง ๆ ได้ ทั้งที่ไม่เข้าใจได้ทั้งหมด

ที่สำคัญที่สุดคือสามารถฝึกวิชาได้สำเร็จอย่างดีด้วย

แน่นอนว่าเรื่องมหัศจรรย์ใจเช่นนี้ก็เกิดขึ้นได้บ้าง

“ข้านับถือเจ้านัก” เด็กหนุ่มหัวเราะขื่นออกมา “แม้เจ้าจะใช้ชีวิตมาเช่นนั้น แต่กลับยังรักษาชีวิตตนมาได้ อยู่ดีมีสุขจนถึงตอนนี้”

อวิ๋นเป้าเริ่มเผยรอยยิ้ม

ทันใดนั้นเอง ซูเฉินก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา

เขาเอ่ยขึ้นว่า “ต่อไปอยากให้ข้าช่วยเรื่องเรียนเจ้าหรือไม่ ?”

“เจ้าน่ะหรือ ?” อวิ๋นเป้าชะงักไป

“ถูกต้อง เป็นข้า” ซูเฉินตอบ “หากต่อไปไม่เข้าใจสิ่งใด ก็ให้มาหาข้า เข้าใจหรือไม่ ?”

“เช่นนั้นข้าก็จะยิ่งติดค้างเจ้า”

ซูเฉินเห็นวิธีการคิดเช่นนั้นของอีกฝ่ายก็ไม่รู้จะพูดเช่นไร ทำเพียงหัวเราะ “ข้าบอกไปแล้วไม่ใช่หรือไรว่าเราเป็นสหายกันแล้ว เป็นสหายกันย่อมไม่ติดค้างกันอีก”

“เจ้าจะบอกว่าเป็นสหายกัน ทำได้เพียงเป็นผู้รับ ไม่ต้องเป็นผู้ให้งั้นหรือ ?”

“นี่ ! ไม่ใช่เช่นนั้น แต่เป็นสหายกันไม่จำเป็นต้องขีดเส้นแบ่งชัดเจนไปเสียทุกอย่าง ที่ข้าหมายถึงคือ……”

“ข้าเข้าใจแล้ว” อวิ๋นเป้าเอ่ยขัด “ข้าเติบโตมาจากข้างถนน แต่ก็ไม่ใช่ว่าข้าเป็นพวกคนเถื่อนเสียทีเดียว…… ข้าแกล้งเจ้าเล่นเฉย ๆ”

เขาคลี่ยิ้มบางมองซูเฉิน นัยน์ตาของเขาดูจริงใจมาก