บทที่ 34 การทดลองมนุษย์
จากนั้นเป็นต้นมา อวิ๋นเป้าจึงเริ่มมาอยู่ที่หอพลังต้นกำเนิด
ฉือไคฮวงนั้นเป็นชายชราที่มีใจกว้างนัก อย่างไรเขาก็เป็นคนหนึ่งที่มุ่งหวังให้เผ่ามนุษย์เจริญรุ่งเรืองเหนือเผ่าใด หากเป็นเรื่องการบ่มเพาะพลังเขาไม่มีความคิดเห็นแก่ตัว ดังนั้นแม้จะไม่ได้รับอวิ๋นเป้าเป็นศิษย์ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ อนุญาตให้อวิ๋นเป้ามาอยู่และร่ำเรียนวิชาที่หอพลังต้นกำเนิดได้
เมื่อไม่ใช่ศิษย์ ฉือไคฮวงจึงไม่ได้สอนค่ายกลยันต์พลังต้นกำเนิดให้อวิ๋นเป้า เพราะอย่างไรมันก็เป็นเครื่องมือที่มีไว้ใช้วิเคราะห์การผสานกันของยันต์พลังต้นกำเนิด หากแต่อวิ๋นเป้าก็ได้รับอนุญาตให้เรียนทักษะต้นกำเนิดร่วมสมัยวิชาใดก็ได้ตามต้องการ
นี่เป็นความต่างระหว่างการยื่นปลาให้กับสอนให้จับปลา ซูเฉินเป็นศิษย์ ดังนั้นเขาจึงสอนซูเฉินให้จับปลา ทว่าอวิ๋นเป้าเป็นแขก ดังนั้นเขาจึงไม่สอนวิธีจับปลา แต่อยากกินปลาเท่าไหร่ก็ย่อมทำได้
เช่นนี้คือนิสัยของฉือไคฮวง อาจารย์คนอื่น ๆ อาจมองว่าเป็นการนำรถม้าไปทิ้งม้าไว้ เหตุใดจึงไม่สอนทักษะต้นกำเนิดให้ศิษย์ตนเอง แต่กลับอนุญาตให้คนที่ไม่ใช่ศิษย์ร่ำเรียนวิชาได้เล่า ?
ทว่าทั้งซูเฉินและฉือไคฮวงกลับมองว่าเช่นนี้เป็นเรื่องปกตินัก หากไม่มีใจเผื่อแผ่ใต้หล้า แล้วต่อไปภายภาคหน้าจะคว้าอนาคตไร้ขีดจำกัดมาได้อย่างไร ?
ดังนั้นอวิ๋นเป้าจึงกลายเป็นเหมือนคนที่จมลงสู่ห้วงแห่งความสุข ซึ่งซูเฉินเองก็ดีใจกับอีกฝ่ายด้วย
สำหรับซูเฉิน ส่วนผสมเครื่องมือต้นกำเนิดและของอื่น ๆ นั้นไม่สำคัญเท่าไร ของเหล่านั้นสามารถนำสิ่งอื่นมาแทนที่ได้ แต่ความรู้ไม่สิ้นสุดพวกนี้นั้น มันกลับไม่อาจนำสิ่งใดมาแทนได้
เช่นนั้นแล้วความรู้มาจากที่ใด ?
ย่อมต้องมาจากการทดลองและฝึกฝนนับครั้งไม่ถ้วน
สมาชิกสายเลือดบริสุทธิ์ 5 คนจากตระกูลสายเลือดชั้นสูงนับเป็นตัวทดลองที่ล้ำค่ายิ่งนัก หลังจากนำพวกเขากลับมาแล้ว ซูเฉินก็ครุ่นคิดหาวิธีที่จะสามารถใช้งานคนเหล่านั้นให้ได้อย่างคุ้มค่าที่สุด
เป้าหมายแรกของเขาคือการทดลองทฤษฎีล่าสุดที่เขาได้มา นั่นคือตำราเปิดพลังไคฮวง
ฉือไคฮวงมีความเข้าใจเรื่องยันต์พลังต้นกำเนิดและผลกระทบของมันต่อร่างกายมนุษย์สูงมาก หากแต่เขาก็มีขีดจำกัด
อีกทั้งตอนนี้ชายชรายังมีขั้นพลังด่านสู่พิสดาร ดังนั้นการพัฒนาวิธี ที่สามารถทำให้ผู้ไร้สายเลือดขั้นพลังด่านก่อเกิดลมปราณ สามารถทะลวงสู่ด่านกลั่นโลหิตได้นั้นจึงเป็นเรื่องยากลำบากยิ่ง
เขาไม่ได้อยู่ในด่านก่อเกิดลมปราณอีกต่อไป จึงทำการทดลองเป็นไปได้ยาก และเมื่อไม่มีนัยน์ตาวิเศษที่สามารถเห็นพลังต้นกำเนิด ทำได้เพียงใช้ค่ายกลยันต์พลังต้นกำเนิดเพื่อทำการคำนวณเท่านั้น ทำให้ยากที่จะหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดได้
ทว่าเมื่อมีคนทั้ง 5 และตาของซูเฉินที่สามารถมองเห็นพลังต้นกำเนิดได้ เด็กหนุ่มจึงสามารถเข้ามาแก้ปัญหาตรงจุดนี้ของฉือไคฮวงได้ ดังนั้นการคำนวณของซูเฉินจึงช่วยทำให้การทดลองเป็นไปได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
เป้าหมายของเขาคือการวิเคราะห์สายเลือดของทั้ง 5 คนเพื่อศึกษาดูว่าจะสามารถนำมาใช้ประโยชน์ใดได้หรือไม่ เหมือนเมื่อครั้งที่เขาพยายามศึกษาและสกัดสสารต้นกำเนิดสายเลือดของสายเลือดอสรพิษทะยาน
ตำราเปิดพลังไคฮวงคือวิธีที่สามารถทำให้สามารถทะลวงผ่านขั้นพลังโดยไร้สายเลือดได้ เพียงแต่การทะลวงพลังเพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ ยังต้องมีทักษะต้นกำเนิดที่เหมาะสมอยู่หลากหลายวิชาอีกด้วย
หากตำราเปิดพลังไคฮวงเป็นดั่งลำต้น เช่นนั้นทักษะต้นกำเนิดที่ไม่ได้มาจากสายเลือดทั้งหลายก็เหมือนกิ่งก้านสาขาและใบ
หากไม่มีลำต้น กิ่งก้านทั้งหลายและใบย่อมไม่มี
อีกทั้งเขายังถือโอกาสนี้ฝึกวิชาปรุงยาและสังเกตตัวยาหลากหลายชนิด ยกระดับความสามารถในการปรุงยาของตนเองขึ้นอีกขั้น จนสามารถวิเคราะห์ยาชนิดใหม่ได้อีก อาทิเช่น ยากระตุ้นสายเลือดโบราณ.
หากฉือไคฮวงล่วงรู้ถึงความคิดนี้ของเขาคงจะดุด่าเด็กหนุ่ม หาว่าเขาไร้สาระเป็นแน่
หากเขาต้องการมุ่งหน้าไปยังเส้นทางที่ทำการยุติบทบาทของสายเลือดแล้ว เช่นนั้นก็ต้องใส่ใจเพียงทางนั้น เหตุใดจึงต้องศึกษา ยากระตุ้นสายเลือดโบราณด้วยเล่า ?
ทำเช่นนั้นไม่เป็นการต่อสู้กับตนเองหรอกหรือ ?
หากแต่ซูเฉินไม่คิดเช่นนั้น
ไม่ว่าจะมีหรือไร้สายเลือด ต่างก็เป็นวิถีทางใช้พลังต้นกำเนิดที่แตกต่างกัน
ซูเฉินมุ่งศึกษาการบ่มเพาะพลังโดยไร้สายเลือดเพื่อมอบโอกาสให้มนุษย์ทุกคนสามารถทำการบ่มเพาะพลังได้ ดังนั้นเผ่ามนุษย์จะได้มีรากฐานมั่นคงยิ่งขึ้น มนุษย์จะมีพลังในการต่อสู้กับเผ่าสัตว์อสูรมากขึ้น ทว่าเป้าหมายของเขาไม่ใช่การทำลายล้างสายเลือดเหล่านั้นทิ้ง
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างมีเหตุผล หากแหล่งพลังงานบางอย่างสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ เช่นนั้นก็คงเป็นเรื่องเขลานักหากจะเลิกใช้มันไปโดยง่าย
ซูเฉินใช้แนวคิดนี้เพื่อแยกการทดลองของเขาออกเป็น 5 เรื่อง จากนั้นจึงลงมือทำการทดลอง
ในทุกวัน อย่างแรกที่เขาทำคือการดูดเลือด 3 ขวดเล็กออกมาจากร่างของทุกคน จากนั้นผสมส่วนผสมต่าง ๆ หรือยาต่าง ๆ ลงไปเพื่อสังเกตปฏิกิริยา สิ่งนี้คือการทดลองลับของเขาเพื่อศึกษาสสารต้นกำเนิดของแต่ละสายเลือด และหากมีเลือดไม่พอก็จะนำออกมาเพิ่ม
ต่อมา เด็กหนุ่มจึงเริ่มทำการสร้างยันต์พลังต้นกำเนิดตามการไหลเวียนพลังตามตำราเปิดพลังไคฮวง จากนั้นใส่มันลงในร่างของตัวทดลอง ก่อนสั่งให้คนพวกนั้นเดินพลังต้นกำเนิดในร่างเพื่อสังเกตความเปลี่ยนแปลง
เขากำลังทำการรวมทฤษฎีเข้ากับการปฏิบัติ
ค่ายกลยันต์พลังต้นกำเนิดเป็นเพียงทฤษฎี เมื่อทำการทดลองเสร็จสิ้นจึงจะนับว่าสมบูรณ์
สุดท้าย เขาจึงเริ่มทำการวิเคราะห์ ยากระตุ้นสายเลือดโบราณ
แม้ยากระตุ้นสายเลือดโบราณของอูเอ่อร์หลี่จะให้ผลรุนแรง แต่ความคิดของเขาถูกต้อง การทดลองของอูเอ่อร์หลี่เป็นดั่งแสงแห่งความหวัง อาจหมายถึงการพลิกกลับสายเลือดจะสามารถทำได้จริง
ดังนั้นการทดลอง 5 ประเภทของซูเฉินในแต่ละวันจึงต้องใช้ยากระตุ้นสายเลือดโบราณจำนวนมาก เพื่อที่ซูเฉินจะได้สังเกตปฏิกิริยาตอนที่สายเลือดถูกยากระตุ้น
เขาไม่กลัวว่าไป๋โอวและคนอื่น ๆ จะเป็นเช่นหลินเย่เม่า เป็นเพราะหลังจากถูกทรมานแล้ว ซูเฉินก็จะทำการรักษาพวกเขา
ในเมื่อมียากระตุ้นสายเลือดโบราณ ดังนั้นจึงต้องมียาขังสายเลือด
ในใต้หล้านี้มียาพิษเกี่ยวกับสายเลือดอยู่อีกมาก แต่ละชนิดจะมีข้อเสียแตกต่างกันไป แต่หากไม่มีประสิทธิภาพมากพอ ใช้ยากเกินไป ก็จะมีราคาแพงเกินไป
ซูเฉินไม่เพียงสนใจการทดลองยากระตุ้นสายเลือดโบราณ แต่เขาสนใจยาสายเลือดทั้งหมดที่มี เพราะอย่างไรเขาก็ยังไม่ลืมว่าศัตรูตัวฉกาจของเขาคือเหล่าผู้ที่มาจากตระกูลสายเลือดชั้นสูง
ยากระตุ้นสายเลือดโบราณและยาขังสายเลือดนั้นให้ผลตรงกันข้าม ดังนั้นจึงเหมาะกับการทำการทดลองด้วยกันเป็นอย่างมาก
สุดท้ายซูเฉินจะใช้นัยน์ตาวิญญาณและวิชาตรึงวิญญาณเพื่อกระตุ้นพวกเขา และป้อนยาลวงจิตให้
ที่เขาทำเช่นนี้เพราะเหตุผลหลายประการ หนึ่งคือต้องการวิเคราะห์ว่าวิญญาณของแต่ละคนจะมีปฏิกิริยาอย่างไร สำหรับการสร้างพื้นฐานของทักษะต้นกำเนิดประเภทวิญญาณในอนาคต และเพื่อฝึกปรุงยาประเภทนั้น สองคือเขาต้องการสร้างภาพลวงในจิตใจของตัวทดลอง จะได้สามารถควบคุมพวกเขาได้ และเขาก็ได้เรียนวิชาลวงจิตมาจากจินหลิงเอ้อร์เพื่อการนี้โดยเฉพาะ โดยแลกกับการถูกจินหลิงเอ้อร์บังคับให้พานางไปกินอาหารที่ร้าน ‘ธาราในหมู่เมฆ’ ถึง 2 มื้อ ซึ่งหญิงสาวก็ได้อ้าปากกินทั้งอาหารและน้ำไปมากจนซูเฉินเห็นแล้วปวดท้องแทน
ในตอนที่กำลังทำการทดลองวิญญาณนั่นเอง ซูเฉินก็จะปรุงยารักษาวิญญาณให้พวกเขาดื่มด้วย ทั้งนี้เพื่อเป็นการสร้างพื้นฐานในการปรุงโอสถปลุกวิญญาณ
แต่การทดลองเพิ่งจะเริ่มขึ้น ดังนั้นซูเฉินจึงทำพลาดไปเล็กน้อย
คงได้แต่หวังว่าเขาจะปรุงยาประเภทวิญญาณได้จนเชี่ยวชาญ ก่อนที่ตัวทดลองจะไม่เสียสติไปก่อน
และหากไม่มีคนใดป่วย ซูเฉินก็จะทำการป้อนพิษ จากนั้นก็จะรักษาให้
อาจกล่าวได้ว่าการทดลองยาของเขานั้นไม่เคยใช้วิธีธรรมดาเลย เพราะเขามักจะทดลองสิ่งใหม่อยู่เสมอ ทำในสิ่งที่ไม่อาจมีใครคาดเดาได้ จนทำให้ไป๋โอวและคนอื่น ๆ ทรมานเป็นอย่างมาก
พวกเขาถูกทรมานวันแล้ววันเล่า ไม่จบไม่สิ้น
กระทั่งฉือไคฮวงยังไม่อาจทนดูต่อไปได้ ถามขึ้นว่า “จำต้องทำเช่นนี้หรือ ?”
ซูเฉินตอบตามตรง “ข้าเข้าใจความกังวลของอาจารย์ดี ขอท่านโปรดวางใจ ข้าไม่หลงทางเพราะเรื่องนี้หรอก แต่บางอย่างจำเป็นต้องทำ และคนบางคนจำเป็นต้องจัดการ”
“หากเจ้าเข้าใจก็ดี”
ฉือไคฮวงไม่ได้กังวลเรื่องไป๋โอวและคนอื่น ๆ ในเมื่อต้องการทำร้ายศิษย์เขา จะตายก็สมควรแล้ว ทวีปดั้งเดิมนั้นเป็นสถานที่ที่ผู้แข็งแกร่งปกครอง เป็นกฎเกณฑ์ ดังนั้นมันจึงทั้งเรียบง่ายและเถรตรงนัก
เหตุที่ชายชราพูด เป็นเขาเพียงกังวลว่าซูเฉินจะหมกมุ่นไปกับการทดลองหาสิ่งใหม่ ไม่ว่าต่อไปจะทำสิ่งใดจะขาดความเป็นมนุษย์ไป เช่นนั้นแม้การทดลองจะสำเร็จแต่ก็ไร้ผล เขาก็จะไม่ต่างจากผู้ที่พัฒนาวิธีทะลวงสู่ด่านกลั่นโลหิตออกมาได้สำเร็จในอดีตเหล่านั้น เก็บวิชาไว้กับตัว หวังจะเอามาหาประโยชน์
ในเมื่อซูเฉินรู้ว่าตนเองกำลังทำสิ่งใดอยู่ ฉือไคฮวงจึงวางใจ
หลังจากได้รับคำอนุญาตจากฉือไคฮวงมาแล้ว ซูเฉินก็เริ่มทำการทดลองกับไป๋โอวและคนอื่น ๆ ด้วยความตื่นเต้นมากขึ้นอีก เขาจะทำการทดลองวนเวียนไปมา ทดสอบความคิดความเข้าใจแปลกประหลาดทั้งหมดที่มี ไม่กลัวว่าคนทั้งหมดจะเสียสติไปแม้แต่น้อย
วันนี้ซูเฉินก็กำลังทำการทดลองอย่างมีความสุขอยู่ดังเช่นทุกวัน เขากำลังป้อนยาที่เพิ่งปรุงขึ้นใหม่ให้จางจ้งเยว่ “นี่คือยาเขี้ยวขาวที่ข้าเพิ่งปรุงขึ้นใหม่ น่าจะช่วยระงับอาการเจ้าได้ โอ้ เป็นยาเขี้ยวขาวนะ ไม่ใช่ยาคนโง่ (1) ดังนั้นไม่ต้องกลัวว่าจะกลายเป็นคนโง่ไป แต่ถึงกลายเป็นคนโง่ไปจริง ๆ ข้าก็จะพยายามรักษาเจ้าแน่นอน……”
จางจ้งเยว่จ้องมองเขาไม่เอ่ยคำใด
หลายวันก่อน เขาถูกบังคับให้กลืนยาใจสลายขวดหนึ่งลงไปทันทีหลังจากถูกวิชาตรึงวิญญาณ หลังจากนั้นเขาก็หมดสติไปในทันที
ทำให้เด็กหนุ่มต้องใช้ถึง 4 วิธีในการทำให้เขาฟื้นขึ้นมา หากแต่กลับมีผลข้างเคียงเล็กน้อย จางจ้งเยว่ไม่อาจเคลื่อนกายได้ ปากอ้าน้ำลายไหลอยู่ตลอดเวลา ทว่าก็ยังโชคดีที่ผลข้างเคียงไม่ร้ายแรงนัก
ดังนั้นซูเฉินจึงได้ทำการวิเคราะห์หาวิธีรักษาที่ดีที่สุดให้จางจ้งเยว่ต่อไป
หากแต่ตัวของจางจ้งเยว่นั้นสิ้นหวังไปนานแล้ว เขารู้ดีว่าซูเฉินยอมรักษาเขา ก็เพื่อที่จะทำการทดลองกับเขาต่ออีกครา……
ซูเฉินเพิ่งจะป้อนยาเขี้ยวขาวไป จากนั้นพลันได้ยินเสียงประกาศดังขึ้นจากหอว่ามีคนมาขอพบซูเฉิน
ผู้ที่มาเยือนคือตระกูลไป๋ ตระกูลอวี๋ และตระกูลอื่น ๆ
เชิงอรรถ
เขี้ยวขาว (白齿) และ คนโง่ (白痴) มีคำอ่านคล้ายกัน
บทที่ 34 การทดลองมนุษย์
จากนั้นเป็นต้นมา อวิ๋นเป้าจึงเริ่มมาอยู่ที่หอพลังต้นกำเนิด
ฉือไคฮวงนั้นเป็นชายชราที่มีใจกว้างนัก อย่างไรเขาก็เป็นคนหนึ่งที่มุ่งหวังให้เผ่ามนุษย์เจริญรุ่งเรืองเหนือเผ่าใด หากเป็นเรื่องการบ่มเพาะพลังเขาไม่มีความคิดเห็นแก่ตัว ดังนั้นแม้จะไม่ได้รับอวิ๋นเป้าเป็นศิษย์ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ อนุญาตให้อวิ๋นเป้ามาอยู่และร่ำเรียนวิชาที่หอพลังต้นกำเนิดได้
เมื่อไม่ใช่ศิษย์ ฉือไคฮวงจึงไม่ได้สอนค่ายกลยันต์พลังต้นกำเนิดให้อวิ๋นเป้า เพราะอย่างไรมันก็เป็นเครื่องมือที่มีไว้ใช้วิเคราะห์การผสานกันของยันต์พลังต้นกำเนิด หากแต่อวิ๋นเป้าก็ได้รับอนุญาตให้เรียนทักษะต้นกำเนิดร่วมสมัยวิชาใดก็ได้ตามต้องการ
นี่เป็นความต่างระหว่างการยื่นปลาให้กับสอนให้จับปลา ซูเฉินเป็นศิษย์ ดังนั้นเขาจึงสอนซูเฉินให้จับปลา ทว่าอวิ๋นเป้าเป็นแขก ดังนั้นเขาจึงไม่สอนวิธีจับปลา แต่อยากกินปลาเท่าไหร่ก็ย่อมทำได้
เช่นนี้คือนิสัยของฉือไคฮวง อาจารย์คนอื่น ๆ อาจมองว่าเป็นการนำรถม้าไปทิ้งม้าไว้ เหตุใดจึงไม่สอนทักษะต้นกำเนิดให้ศิษย์ตนเอง แต่กลับอนุญาตให้คนที่ไม่ใช่ศิษย์ร่ำเรียนวิชาได้เล่า ?
ทว่าทั้งซูเฉินและฉือไคฮวงกลับมองว่าเช่นนี้เป็นเรื่องปกตินัก หากไม่มีใจเผื่อแผ่ใต้หล้า แล้วต่อไปภายภาคหน้าจะคว้าอนาคตไร้ขีดจำกัดมาได้อย่างไร ?
ดังนั้นอวิ๋นเป้าจึงกลายเป็นเหมือนคนที่จมลงสู่ห้วงแห่งความสุข ซึ่งซูเฉินเองก็ดีใจกับอีกฝ่ายด้วย
สำหรับซูเฉิน ส่วนผสมเครื่องมือต้นกำเนิดและของอื่น ๆ นั้นไม่สำคัญเท่าไร ของเหล่านั้นสามารถนำสิ่งอื่นมาแทนที่ได้ แต่ความรู้ไม่สิ้นสุดพวกนี้นั้น มันกลับไม่อาจนำสิ่งใดมาแทนได้
เช่นนั้นแล้วความรู้มาจากที่ใด ?
ย่อมต้องมาจากการทดลองและฝึกฝนนับครั้งไม่ถ้วน
สมาชิกสายเลือดบริสุทธิ์ 5 คนจากตระกูลสายเลือดชั้นสูงนับเป็นตัวทดลองที่ล้ำค่ายิ่งนัก หลังจากนำพวกเขากลับมาแล้ว ซูเฉินก็ครุ่นคิดหาวิธีที่จะสามารถใช้งานคนเหล่านั้นให้ได้อย่างคุ้มค่าที่สุด
เป้าหมายแรกของเขาคือการทดลองทฤษฎีล่าสุดที่เขาได้มา นั่นคือตำราเปิดพลังไคฮวง
ฉือไคฮวงมีความเข้าใจเรื่องยันต์พลังต้นกำเนิดและผลกระทบของมันต่อร่างกายมนุษย์สูงมาก หากแต่เขาก็มีขีดจำกัด
อีกทั้งตอนนี้ชายชรายังมีขั้นพลังด่านสู่พิสดาร ดังนั้นการพัฒนาวิธี ที่สามารถทำให้ผู้ไร้สายเลือดขั้นพลังด่านก่อเกิดลมปราณ สามารถทะลวงสู่ด่านกลั่นโลหิตได้นั้นจึงเป็นเรื่องยากลำบากยิ่ง
เขาไม่ได้อยู่ในด่านก่อเกิดลมปราณอีกต่อไป จึงทำการทดลองเป็นไปได้ยาก และเมื่อไม่มีนัยน์ตาวิเศษที่สามารถเห็นพลังต้นกำเนิด ทำได้เพียงใช้ค่ายกลยันต์พลังต้นกำเนิดเพื่อทำการคำนวณเท่านั้น ทำให้ยากที่จะหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดได้
ทว่าเมื่อมีคนทั้ง 5 และตาของซูเฉินที่สามารถมองเห็นพลังต้นกำเนิดได้ เด็กหนุ่มจึงสามารถเข้ามาแก้ปัญหาตรงจุดนี้ของฉือไคฮวงได้ ดังนั้นการคำนวณของซูเฉินจึงช่วยทำให้การทดลองเป็นไปได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
เป้าหมายของเขาคือการวิเคราะห์สายเลือดของทั้ง 5 คนเพื่อศึกษาดูว่าจะสามารถนำมาใช้ประโยชน์ใดได้หรือไม่ เหมือนเมื่อครั้งที่เขาพยายามศึกษาและสกัดสสารต้นกำเนิดสายเลือดของสายเลือดอสรพิษทะยาน
ตำราเปิดพลังไคฮวงคือวิธีที่สามารถทำให้สามารถทะลวงผ่านขั้นพลังโดยไร้สายเลือดได้ เพียงแต่การทะลวงพลังเพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ ยังต้องมีทักษะต้นกำเนิดที่เหมาะสมอยู่หลากหลายวิชาอีกด้วย
หากตำราเปิดพลังไคฮวงเป็นดั่งลำต้น เช่นนั้นทักษะต้นกำเนิดที่ไม่ได้มาจากสายเลือดทั้งหลายก็เหมือนกิ่งก้านสาขาและใบ
หากไม่มีลำต้น กิ่งก้านทั้งหลายและใบย่อมไม่มี
อีกทั้งเขายังถือโอกาสนี้ฝึกวิชาปรุงยาและสังเกตตัวยาหลากหลายชนิด ยกระดับความสามารถในการปรุงยาของตนเองขึ้นอีกขั้น จนสามารถวิเคราะห์ยาชนิดใหม่ได้อีก อาทิเช่น ยากระตุ้นสายเลือดโบราณ.
หากฉือไคฮวงล่วงรู้ถึงความคิดนี้ของเขาคงจะดุด่าเด็กหนุ่ม หาว่าเขาไร้สาระเป็นแน่
หากเขาต้องการมุ่งหน้าไปยังเส้นทางที่ทำการยุติบทบาทของสายเลือดแล้ว เช่นนั้นก็ต้องใส่ใจเพียงทางนั้น เหตุใดจึงต้องศึกษา ยากระตุ้นสายเลือดโบราณด้วยเล่า ?
ทำเช่นนั้นไม่เป็นการต่อสู้กับตนเองหรอกหรือ ?
หากแต่ซูเฉินไม่คิดเช่นนั้น
ไม่ว่าจะมีหรือไร้สายเลือด ต่างก็เป็นวิถีทางใช้พลังต้นกำเนิดที่แตกต่างกัน
ซูเฉินมุ่งศึกษาการบ่มเพาะพลังโดยไร้สายเลือดเพื่อมอบโอกาสให้มนุษย์ทุกคนสามารถทำการบ่มเพาะพลังได้ ดังนั้นเผ่ามนุษย์จะได้มีรากฐานมั่นคงยิ่งขึ้น มนุษย์จะมีพลังในการต่อสู้กับเผ่าสัตว์อสูรมากขึ้น ทว่าเป้าหมายของเขาไม่ใช่การทำลายล้างสายเลือดเหล่านั้นทิ้ง
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างมีเหตุผล หากแหล่งพลังงานบางอย่างสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ เช่นนั้นก็คงเป็นเรื่องเขลานักหากจะเลิกใช้มันไปโดยง่าย
ซูเฉินใช้แนวคิดนี้เพื่อแยกการทดลองของเขาออกเป็น 5 เรื่อง จากนั้นจึงลงมือทำการทดลอง
ในทุกวัน อย่างแรกที่เขาทำคือการดูดเลือด 3 ขวดเล็กออกมาจากร่างของทุกคน จากนั้นผสมส่วนผสมต่าง ๆ หรือยาต่าง ๆ ลงไปเพื่อสังเกตปฏิกิริยา สิ่งนี้คือการทดลองลับของเขาเพื่อศึกษาสสารต้นกำเนิดของแต่ละสายเลือด และหากมีเลือดไม่พอก็จะนำออกมาเพิ่ม
ต่อมา เด็กหนุ่มจึงเริ่มทำการสร้างยันต์พลังต้นกำเนิดตามการไหลเวียนพลังตามตำราเปิดพลังไคฮวง จากนั้นใส่มันลงในร่างของตัวทดลอง ก่อนสั่งให้คนพวกนั้นเดินพลังต้นกำเนิดในร่างเพื่อสังเกตความเปลี่ยนแปลง
เขากำลังทำการรวมทฤษฎีเข้ากับการปฏิบัติ
ค่ายกลยันต์พลังต้นกำเนิดเป็นเพียงทฤษฎี เมื่อทำการทดลองเสร็จสิ้นจึงจะนับว่าสมบูรณ์
สุดท้าย เขาจึงเริ่มทำการวิเคราะห์ ยากระตุ้นสายเลือดโบราณ
แม้ยากระตุ้นสายเลือดโบราณของอูเอ่อร์หลี่จะให้ผลรุนแรง แต่ความคิดของเขาถูกต้อง การทดลองของอูเอ่อร์หลี่เป็นดั่งแสงแห่งความหวัง อาจหมายถึงการพลิกกลับสายเลือดจะสามารถทำได้จริง
ดังนั้นการทดลอง 5 ประเภทของซูเฉินในแต่ละวันจึงต้องใช้ยากระตุ้นสายเลือดโบราณจำนวนมาก เพื่อที่ซูเฉินจะได้สังเกตปฏิกิริยาตอนที่สายเลือดถูกยากระตุ้น
เขาไม่กลัวว่าไป๋โอวและคนอื่น ๆ จะเป็นเช่นหลินเย่เม่า เป็นเพราะหลังจากถูกทรมานแล้ว ซูเฉินก็จะทำการรักษาพวกเขา
ในเมื่อมียากระตุ้นสายเลือดโบราณ ดังนั้นจึงต้องมียาขังสายเลือด
ในใต้หล้านี้มียาพิษเกี่ยวกับสายเลือดอยู่อีกมาก แต่ละชนิดจะมีข้อเสียแตกต่างกันไป แต่หากไม่มีประสิทธิภาพมากพอ ใช้ยากเกินไป ก็จะมีราคาแพงเกินไป
ซูเฉินไม่เพียงสนใจการทดลองยากระตุ้นสายเลือดโบราณ แต่เขาสนใจยาสายเลือดทั้งหมดที่มี เพราะอย่างไรเขาก็ยังไม่ลืมว่าศัตรูตัวฉกาจของเขาคือเหล่าผู้ที่มาจากตระกูลสายเลือดชั้นสูง
ยากระตุ้นสายเลือดโบราณและยาขังสายเลือดนั้นให้ผลตรงกันข้าม ดังนั้นจึงเหมาะกับการทำการทดลองด้วยกันเป็นอย่างมาก
สุดท้ายซูเฉินจะใช้นัยน์ตาวิญญาณและวิชาตรึงวิญญาณเพื่อกระตุ้นพวกเขา และป้อนยาลวงจิตให้
ที่เขาทำเช่นนี้เพราะเหตุผลหลายประการ หนึ่งคือต้องการวิเคราะห์ว่าวิญญาณของแต่ละคนจะมีปฏิกิริยาอย่างไร สำหรับการสร้างพื้นฐานของทักษะต้นกำเนิดประเภทวิญญาณในอนาคต และเพื่อฝึกปรุงยาประเภทนั้น สองคือเขาต้องการสร้างภาพลวงในจิตใจของตัวทดลอง จะได้สามารถควบคุมพวกเขาได้ และเขาก็ได้เรียนวิชาลวงจิตมาจากจินหลิงเอ้อร์เพื่อการนี้โดยเฉพาะ โดยแลกกับการถูกจินหลิงเอ้อร์บังคับให้พานางไปกินอาหารที่ร้าน ‘ธาราในหมู่เมฆ’ ถึง 2 มื้อ ซึ่งหญิงสาวก็ได้อ้าปากกินทั้งอาหารและน้ำไปมากจนซูเฉินเห็นแล้วปวดท้องแทน
ในตอนที่กำลังทำการทดลองวิญญาณนั่นเอง ซูเฉินก็จะปรุงยารักษาวิญญาณให้พวกเขาดื่มด้วย ทั้งนี้เพื่อเป็นการสร้างพื้นฐานในการปรุงโอสถปลุกวิญญาณ
แต่การทดลองเพิ่งจะเริ่มขึ้น ดังนั้นซูเฉินจึงทำพลาดไปเล็กน้อย
คงได้แต่หวังว่าเขาจะปรุงยาประเภทวิญญาณได้จนเชี่ยวชาญ ก่อนที่ตัวทดลองจะไม่เสียสติไปก่อน
และหากไม่มีคนใดป่วย ซูเฉินก็จะทำการป้อนพิษ จากนั้นก็จะรักษาให้
อาจกล่าวได้ว่าการทดลองยาของเขานั้นไม่เคยใช้วิธีธรรมดาเลย เพราะเขามักจะทดลองสิ่งใหม่อยู่เสมอ ทำในสิ่งที่ไม่อาจมีใครคาดเดาได้ จนทำให้ไป๋โอวและคนอื่น ๆ ทรมานเป็นอย่างมาก
พวกเขาถูกทรมานวันแล้ววันเล่า ไม่จบไม่สิ้น
กระทั่งฉือไคฮวงยังไม่อาจทนดูต่อไปได้ ถามขึ้นว่า “จำต้องทำเช่นนี้หรือ ?”
ซูเฉินตอบตามตรง “ข้าเข้าใจความกังวลของอาจารย์ดี ขอท่านโปรดวางใจ ข้าไม่หลงทางเพราะเรื่องนี้หรอก แต่บางอย่างจำเป็นต้องทำ และคนบางคนจำเป็นต้องจัดการ”
“หากเจ้าเข้าใจก็ดี”
ฉือไคฮวงไม่ได้กังวลเรื่องไป๋โอวและคนอื่น ๆ ในเมื่อต้องการทำร้ายศิษย์เขา จะตายก็สมควรแล้ว ทวีปดั้งเดิมนั้นเป็นสถานที่ที่ผู้แข็งแกร่งปกครอง เป็นกฎเกณฑ์ ดังนั้นมันจึงทั้งเรียบง่ายและเถรตรงนัก
เหตุที่ชายชราพูด เป็นเขาเพียงกังวลว่าซูเฉินจะหมกมุ่นไปกับการทดลองหาสิ่งใหม่ ไม่ว่าต่อไปจะทำสิ่งใดจะขาดความเป็นมนุษย์ไป เช่นนั้นแม้การทดลองจะสำเร็จแต่ก็ไร้ผล เขาก็จะไม่ต่างจากผู้ที่พัฒนาวิธีทะลวงสู่ด่านกลั่นโลหิตออกมาได้สำเร็จในอดีตเหล่านั้น เก็บวิชาไว้กับตัว หวังจะเอามาหาประโยชน์
ในเมื่อซูเฉินรู้ว่าตนเองกำลังทำสิ่งใดอยู่ ฉือไคฮวงจึงวางใจ
หลังจากได้รับคำอนุญาตจากฉือไคฮวงมาแล้ว ซูเฉินก็เริ่มทำการทดลองกับไป๋โอวและคนอื่น ๆ ด้วยความตื่นเต้นมากขึ้นอีก เขาจะทำการทดลองวนเวียนไปมา ทดสอบความคิดความเข้าใจแปลกประหลาดทั้งหมดที่มี ไม่กลัวว่าคนทั้งหมดจะเสียสติไปแม้แต่น้อย
วันนี้ซูเฉินก็กำลังทำการทดลองอย่างมีความสุขอยู่ดังเช่นทุกวัน เขากำลังป้อนยาที่เพิ่งปรุงขึ้นใหม่ให้จางจ้งเยว่ “นี่คือยาเขี้ยวขาวที่ข้าเพิ่งปรุงขึ้นใหม่ น่าจะช่วยระงับอาการเจ้าได้ โอ้ เป็นยาเขี้ยวขาวนะ ไม่ใช่ยาคนโง่ (1) ดังนั้นไม่ต้องกลัวว่าจะกลายเป็นคนโง่ไป แต่ถึงกลายเป็นคนโง่ไปจริง ๆ ข้าก็จะพยายามรักษาเจ้าแน่นอน……”
จางจ้งเยว่จ้องมองเขาไม่เอ่ยคำใด
หลายวันก่อน เขาถูกบังคับให้กลืนยาใจสลายขวดหนึ่งลงไปทันทีหลังจากถูกวิชาตรึงวิญญาณ หลังจากนั้นเขาก็หมดสติไปในทันที
ทำให้เด็กหนุ่มต้องใช้ถึง 4 วิธีในการทำให้เขาฟื้นขึ้นมา หากแต่กลับมีผลข้างเคียงเล็กน้อย จางจ้งเยว่ไม่อาจเคลื่อนกายได้ ปากอ้าน้ำลายไหลอยู่ตลอดเวลา ทว่าก็ยังโชคดีที่ผลข้างเคียงไม่ร้ายแรงนัก
ดังนั้นซูเฉินจึงได้ทำการวิเคราะห์หาวิธีรักษาที่ดีที่สุดให้จางจ้งเยว่ต่อไป
หากแต่ตัวของจางจ้งเยว่นั้นสิ้นหวังไปนานแล้ว เขารู้ดีว่าซูเฉินยอมรักษาเขา ก็เพื่อที่จะทำการทดลองกับเขาต่ออีกครา……
ซูเฉินเพิ่งจะป้อนยาเขี้ยวขาวไป จากนั้นพลันได้ยินเสียงประกาศดังขึ้นจากหอว่ามีคนมาขอพบซูเฉิน
ผู้ที่มาเยือนคือตระกูลไป๋ ตระกูลอวี๋ และตระกูลอื่น ๆ
เชิงอรรถ
เขี้ยวขาว (白齿) และ คนโง่ (白痴) มีคำอ่านคล้ายกัน