ตอนที่ 340 เอาใจออกหาก

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

เหอเฟิงผิงผู้เป็นเจ้าสาวของเฉิงเก้าแต่งออกเรือนมาจากผูโข่ว ตระกูลเฉิงจึงต้องไปรับเจ้าสาวที่ผูโข่ว ดังนั้นวันแรกคนของตระกูลเฉิงจึงหามเกี้ยวเจ้าสาวไปที่ผูโข่ว ฤกษ์คารวะญาติผู้ใหญ่กำหนดไว้เป็นยามโหย่วเจิ้ง[1] บรรดานายหญิงผู้เฒ่าที่เป็นหม้ายต่างไม่สะดวกที่จะเข้าร่วมในพิธี ด้วยเหตุนี้หลังจากที่เจ้าสาวเข้าเรือนหอแล้วก็จะแยกย้ายกันกลับไป รอจนกระทั่งช่วงเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้นเมื่อเจ้าสาวไปกราบไหว้บรรพบุรุษในหอบรรพชน และทำความรู้จักกับเครือญาติในโถงรับรองแล้ว ถึงจะไปคารวะนายหญิงผู้เฒ่าทั้งหลายทีละคน

โจวเสาจิ่นเพียงต้องอยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่ากัวเอาไว้ก็พอ

นี่ทำให้นางรู้สึกสบายใจเป็นอย่างมาก

ทว่าฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกลับรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ฉวยโอกาสตอนที่เกี้ยวเจ้าสาวยังมาไม่ถึงดึงนางไปข้างหนึ่งแล้วกระซิบถามนางว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ากัวว่าอะไรมาหรือเปล่า”

หลายวันก่อนโจวเสาจิ่นมาช่วยนางตระเตรียมงานแต่งงานของเฉิงเก้าด้วยความยินดีมาตลอด เหตุใดเมื่อถึงวันงาน นางกลับไม่ยื่นมือมาแตะต้องงานของจวนสี่อีกเลยทำตัวประหนึ่งเป็นแขกผู้หนึ่งเท่านั้น?

โจวเสาจิ่นมิอาจเล่าเรื่องของเฉิงสวี่ได้ จึงอธิบายไปว่า “งานในบ้านล้วนจัดเตรียมเรียบร้อยหมดแล้ว มีท่านยายนั่งสั่งการ และมีท่านคอยดูแลอยู่ ทั้งยังมีหวังมามาและคนอื่นๆ ช่วยงานอีก ข้าจึงไม่มีอะไรต้องทำแล้วเจ้าค่ะ แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับทำได้เพียงรออยู่ในห้องรับรองเท่านั้น ช่วงก่อนตอนที่พี่ชายนั่วแต่งงานฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ไม่ได้ไปร่วมงาน…ข้าเพียงอยากจะอยู่ข้างๆ นางเป็นเพื่อนนางเท่านั้นเจ้าค่ะ”

ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนพยักหน้าติดๆ กัน กล่าวอย่างโล่งใจว่า “เสาจิ่น แม้ว่าเจ้าอายุยังน้อย ทว่ากลับอ่อนโยนและเอาใจใส่ผู้อื่นยิ่ง ไม่รู้ว่าในภายภาคหน้าตระกูลใดที่สร้างสุสานบรรพชนของตระกูลได้เป็นอย่างดีจนมีวาสนาได้สู่ขอเจ้าไป!” ขณะที่กล่าว ก็อดรู้สึกทอดถอนใจไม่ได้

บางครั้งสิ่งที่ไม่อาจได้รับมามักจะดีที่สุด!

โจวเสาจิ่นกลัวว่าฮูหยินใหญ่เหมี่ยนจะมีอคติกับกูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้เหตุเพราะนาง จึงรีบกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าเติบโตขึ้นมาภายใต้การเลี้ยงดูของท่านมาตั้งแต่เล็ก ท่านเองก็ปฏิบัติกับข้าประหนึ่งเป็นบุตรสาวแท้ๆ คนหนึ่ง ย่อมต้องมองว่าบุตรของตนอย่างไรก็ดีกว่าบุตรของผู้อื่นเป็นธรรมดาเจ้าค่ะ!”

ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนตะลึงงัน ครุ่นคิดว่าสิ่งที่นางกล่าวมาก็มีเหตุผลยิ่งนัก นางหลุดหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ แล้วไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงกำชับนางว่า “อยู่เป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัวดีๆ ตอนที่กลับไปก็ไม่ต้องมาอำลาข้าเป็นพิเศษแล้ว ถึงแม้เจ้าจะไม่ได้อยู่ในงาน แต่ซองแดงจากพี่สะใภ้เก้าของเจ้าอย่างไรก็จะเก็บไว้ให้เจ้าอย่างแน่นอน”

โจวเสาจิ่นทำท่าทางเสมือนเด็กน้อย กล่าวขอบคุณฮูหยินใหญ่เหมี่ยนอย่างดีอกดีใจ

ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกอดนางเบาๆ แล้วหมุนกายรีบออกไป

ไม่รู้ว่าเฉิงเจียเดินเข้ามาตั้งแต่เมื่อใด เอ่ยขึ้นอย่างอิจฉาว่า “เหตุใดคนรอบข้างเจ้าล้วนแล้วแต่ดีกับเจ้าขนาดนี้”

หลายวันมานี้เฉิงเจียติดตามอยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าหลี่โดยตลอด จึงได้เข้าๆ ออกๆ พร้อมกับโจวเสาจิ่นบ่อยๆ

โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้ามีหลี่จิ้งแล้วยังจะละโมบโลภมากอีกทำไม”

เฉิงเจียหน้าแดงเรื่อ ผลักนางเบาๆ พลางโต้กลับไปว่า “เจ้าไปลับฝีปากให้คมคายถึงเพียงนี้มาตั้งแต่เมื่อใดกัน”

โจวเสาจิ่นขยิบตาพลางตอบว่า “ข้ามิใช่ว่าอยู่ใกล้ชาดแล้วเปื้อนสีแดง อยู่ใกล้หมึกแล้วเปื้อนสีดำหรอกหรือ”

เฉิงเจียหน้าแดงก่ำ จากนั้นก็แสดงท่าทางมั่นใจออกมาหลายส่วน กล่าวขึ้นว่า “หลี่จิ้งบอกว่า รอให้พวกข้ามีบุตรแล้วอุ้มบุตรกลับมาให้ท่านพ่อท่านแม่ของข้าดู ท่านพ่อท่านแม่ของข้าก็จะไม่โกรธเคืองพวกข้าอีกแล้ว”

เจียงซื่อมิได้สนใจไยดีเฉิงเจียมาโดยตลอด เฉิงเจียเองก็กลัวว่าจะทำให้นางไม่พอใจตรงที่ใดแล้วทำให้เรื่องแต่งงานกับหลี่จิ้งเกิดคลื่นปัญหาลูกใหม่ขึ้นมาอีก จึงไม่กล้าเข้าใกล้เจียงซื่อมากนัก ครั้งนี้เฉิงเก้าแต่งงาน นางก็ได้บอกโจวเสาจิ่นไว้แต่เนิ่นๆ ว่าอยากจะไปดูความรื่นเริง ปรากฏว่ามิอาจไปหน้างานได้เหตุเพราะเจียงซื่อ จึงอยู่พูดคุยสัพเพเหระระหว่างปรนนิบัติบรรดานายหญิงผู้เฒ่าในห้องรับรอง

โจวเสาจิ่นเขินอายจนดวงหน้าขึ้นสีแดงเรื่อ กล่าวไปว่า “ไม่น่าเชื่อว่าหลี่จิ้งจะพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้า เจ้าเองก็…ก็พูดออกมาได้…พวกเจ้าช่างเป็นคู่ที่เกิดมาคู่กันจริงๆ!”

เฉิงเจียสบถ เหอะ อย่างดูแคลนครั้งหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “เรื่องการกินกับเรื่องความใคร่ในกามล้วนเป็นธรรมชาติของมนุษย์ แม้แต่นักปราชญ์ก็ยังพูดเช่นนี้ ทำไมพวกข้าจะพูดบ้างไม่ได้เล่า”

โจวเสาจิ่นหวาดกลัวนางแล้ว รีบกล่าวว่า “เอาละๆๆ ทั้งหมดล้วนเป็นข้าที่ผิดเอง เจ้าอย่าพูดอีกเลยได้หรือไม่”

เฉิงเจียหัวเราะคิกคัก แล้วกระซิบข้างหูนางว่า “นี่ ประเดี๋ยวรอให้นายหญิงผู้เฒ่าทั้งหลายกลับไปหมดแล้ว พวกเราไปดูสะใภ้คนใหม่ที่เรือนหอกันดีหรือไม่”

โจวเสาจิ่นส่ายศีรษะไม่หยุด

ถึงตอนนั้นนางก็จะถูกทิ้งเอาไว้ตามลำพัง จะไม่เป็นการปล่อยให้เฉิงสวี่ฉวยโอกาสมาเข้าใกล้หรอกหรือ

เฉิงเจียมิได้รู้สึกผิดหวังแต่อย่างใด กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าจะต้องตอบเช่นนี้ แต่ไรมาเจ้าเป็นคนที่เชื่อฟังผู้ใหญ่มากที่สุดคนนั้น เช่นนั้นประเดี๋ยวข้าจะไปดูความรื่นเริงเองก็แล้วกัน!”

โจวเสาจิ่นอดกำชับนางไม่ได้ว่า “เจ้าระวังตัวด้วย พาคนรับใช้เพิ่มไปอีกสักสองสามคน วันนี้มีแขกจากข้างนอก หากว่าพบกันโดยมิได้ตั้งใจเข้าคงไม่ดีสักเท่าใด”

เฉิงเจียยิ้มร่าพลางพยักหน้า กล่าวขึ้นว่า “หลี่จิ้งก็บอกเช่นนี้เหมือนกัน”

โจวเสาจิ่นอดเย้าแหย่นางไม่ได้ว่า “หลี่จิ้งยังบอกอะไรอีกบ้าง เจ้าบอกมาให้หมดในคราวเดียวไปเลยจะดีกว่า ประเดี๋ยวก็หลี่จิ้งบอกอย่างนั้นประเดี๋ยวก็หลี่จิ้งบอกอย่างนี้ คนที่ไม่รู้จะคิดว่าเจ้าแต่งงานกับหลี่จิ้งไปแล้วเอาได้!”

เฉิงเจียไม่เห็นด้วย โต้กลับไปว่า “เจ้าก็อย่ามาบอกว่าองุ่นเปรี้ยวเพราะตัวเองไม่ได้กินจะดีกว่า รอให้เจ้ามีคนที่ชมชอบอยู่ในใจ ก็จะเข้าใจเอง” กล่าวถึงตรงนี้ เฉิงเจียก็รู้สึกกังวลแทนโจวเสาจิ่นเล็กน้อย “ด้วยอุปนิสัยของเจ้า เรื่องแต่งงานคงจะทำตามความเห็นชอบของพวกผู้ใหญ่ จะได้แต่งงานกับผู้ที่รักเจ้าสักคนหรือไม่นั้นก็เหมือนกับการเดิมพันเสียจริงๆ เสาจิ่น ในภายหน้าถ้าหากเจ้าต้องคุยเรื่องแต่งงาน ห้ามตอบตกลงอย่างส่งเดชเป็นอันขาด ต้องเขียนจดหมายบอกข้า ข้าจะให้หลี่จิ้งช่วยไปตรวจสอบธรรมเนียมปฏิบัติของตระกูลอีกฝ่ายมาให้เจ้า หลี่จิ้งเป็นผู้ที่เดินทางอยู่ข้างนอก ดูคนเก่งกว่าสตรีในห้องหอมากนัก!”

นางพูดด้วยความจริงใจเป็นอย่างยิ่ง โจวเสาจิ่นเองก็รู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมากเช่นกัน ตอบไปว่า “ขอบคุณเจ้ามาก! หากมีวันนั้น ข้าจะต้องบอกเจ้าอย่างแน่นอน”

เฉิงเจียกล่าวอย่างไม่พอใจ “อะไรคือหากมีวันนั้นกันเล่า จะต้องมีวันนั้นอย่างแน่นอน เจ้าจะต้องบอกข้า…”

ขณะที่นางกล่าว ก็มีสาวใช้เด็กวิ่งเข้ามาอย่างกระหืดกระหอบ เอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้นว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า นายหญิงผู้เฒ่า เกี้ยวของเจ้าสาวผ่านศาลาว่าการเมืองจินหลิงมาแล้วเจ้าค่ะ”

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือห่างจากซอยจิ่วหรูไม่ไกลนักแล้ว

“ข้าไปดูสักหน่อย!” เฉิงเจียไม่รอให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ได้เอ่ยปากพูด ก็เลิกกระโปรงขึ้นวิ่งออกไปแล้ว

บรรดานายหญิงผู้เฒ่าต่างหัวเราะร่วนอย่างเอ็นดู

จวบจนเจ้าสาวเข้าเรือนหอแล้วเฉิงเจียก็ยังไม่กลับมา

คาดว่าคงไปดูเจ้าสาวคนใหม่แล้ว!

โจวเสาจิ่นยิ้มน้อยๆ แล้วกลับเรือนหานปี้ซานเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัว

หยวนซื่อได้รับข่าวแล้ว รู้สึกโล่งใจไปเปลาะใหญ่

บุตรชายที่นางให้กำเนิดมาเองนางย่อมรู้จักเป็นอย่างดี ขอเพียงมีโอกาสเล็กน้อย เขาจะต้องไปหาโจวเสาจิ่นอย่างแน่นอน เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานถึงแม้ตอนที่นางทราบเรื่องโจวเสาจิ่นจะจากไปแล้ว แต่ก็ยังมิอาจปกปิดจากคนที่นางวางไว้ข้างกายเฉิงสวี่ได้

เพียงแต่ไม่รู้ว่าบุตรชายกับโจวเสาจิ่นคุยอะไรไปบ้างเท่านั้น

หากว่าโจวเสาจิ่นเองก็พึงใจเจียซ่านด้วยเช่นกัน เช่นนั้นคงยุ่งยากแล้ว!

เมื่อคืนนางให้ในครัวตุ๋นน้ำแกงโสมคนยกไปให้บุตรชาย หมายจะบอกเขาว่าตระกูลเฉิงกับตระกูลหมิ่นสองตระกูลได้แลกเปลี่ยนใบบันทึกวันตกฟากกันเป็นที่เรียบร้อย และได้เชิญโหรมาช่วยตรวจดูดวงชะตาแล้ว ไม่คิดว่าเฉิงเจียซ่านกลับไม่ตอบโต้ ไม่ว่านางจะดึงหัวข้อสนทนาขึ้นมาพูดอย่างไรเขาก็เบี่ยงเบนไปได้อย่างรวดเร็วทุกครั้ง

นี่ช่างแตกต่างจากท่าทีก่อนหน้าที่เขามีต่อเรื่องนี้นัก แต่ก่อนเพียงนางพูดแตะถึงเรื่องนี้ เขาก็จะกอดแขนนางอย่างออดอ้อน พยายามโน้มน้าวนางว่าโจวเสาจิ่นดีมากเพียงใด

นี่ทำให้หยวนซื่อรู้สึกเป็นกังวลอยู่ลึกๆ เล็กน้อย

นางรู้สึกเหมือนบุตรชายกำลังวางแผนอะไรบางอย่างอยู่ และครั้นแผนนี้ดำเนินขึ้นแล้ว จะต้องเกิดความโกลาหลใหญ่โต ทำให้เรื่องราววุ่นวายจนควบคุมไม่อยู่เป็นแน่…

หยวนซื่อจึงจับตามองโจวเสาจิ่นอยู่ตลอด

นางคิดว่าไม่ว่าเฉิงสวี่จะคิดแผนการอะไร หากไม่มีโจวเสาจิ่น ทั้งหมดก็สูญเปล่า!

ยังดีที่โจวเสาจิ่นอยู่เป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัวโดยตลอด ตลอดทั้งวันก็ไม่มีอะไรที่ผิดปรกติแต่อย่างใดเสมือนคลื่นน้ำสงบก็ไม่ปาน

หยวนซื่อสวด อมิตาพุทธ อยู่ในใจ จากนั้นก็เริ่มเป็นกังวลถึงเรื่องของวันพรุ่งนี้ขึ้นมาอีก

พรุ่งนี้เจ้าสาวจะมาแนะนำตัวกับญาติๆ บรรดาญาติน้อยใหญ่ของตระกูลเฉิงต่างจะมารวมตัวกันที่โถงรับรอง หากว่าเฉิงสวี่ก่อเรื่องขึ้นมา เช่นนั้นก็อาจจะกลายเป็นเรื่องร้ายแรงได้

หยวนซื่อขบคิดครู่หนึ่ง กระซิบบอกสาวใช้คนสนิทว่า “เจ้าไปดูว่าคุณชายใหญ่กำลังทำอะไรอยู่”

สาวใช้คนนั้นยิ้มพลางขานรับว่า “เจ้าค่ะ” ผ่านไปครึ่งก้านธูปก็กลับมารายงานว่า “คุณชายใหญ่กำลังร่ำสุราอยู่กับคุณชายใหญ่สือของจวนรองและคุณชายใหญ่เจิ้งของจวนสามเจ้าค่ะ!”

หยวนซื่อยังรู้สึกไม่วางใจ เอ่ยถามอีกว่า “มีเพียงพวกเขาสามพี่น้องเท่านั้นหรือ ใครเป็นคนรับใช้อยู่ข้างกายคุณชายใหญ่”

สาวใช้ตอบยิ้มๆ ว่า “มีเพียงคุณชายใหญ่ คุณชายใหญ่สือและคุณชายใหญ่เจิ้งสามคนเท่านั้นเจ้าค่ะ บ่าวเด็กสองสามคนคอยปรนนิบัติอยู่ข้างๆ ฮวนสี่กับต้าซูผู้เป็นบ่าวคนสนิทของคุณชายใหญ่ก็ล้วนอยู่ด้วยเจ้าค่ะ”

หยวนซื่อสั่งสาวใช้ผู้นั้นว่า “เจ้าเฝ้าดูคุณชายใหญ่ให้มากขึ้นอีกสักหน่อย เมื่อก่อนเขารู้จักแต่การอ่านตำรา ไหนเลยจะรู้จักการร่ำสุราสังสรรค์ หากว่าถูกคุณชายใหญ่สือกับคุณชายใหญ่เจิ้งรินสุราให้ไม่หยุดโดยไม่รู้ตัว หลังจากเมามายแล้วสูญเสียสติไปจะทำอย่างไร ในจวนมีแขกเหรื่อมากมายเพียงนี้ คงจะกลายเป็นที่ขายหน้าครั้งใหญ่แล้ว!”

สาวใช้ผู้นั้นรีบเอ่ยขึ้นว่า “ฮูหยินวางใจเถิดเจ้าค่ะ บ่าวจะไปจับตาดูด้วยตนเอง”

หยวนซื่อพยักหน้าอย่างพึงพอใจ

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับถึงเรือนก็ไปพักผ่อนแต่หัวค่ำ บอกว่าสองสามวันนี้ไปร่ำสุราที่เรือนเจียซู่ทุกวันจนรู้สึกเหนื่อย ให้โจวเสาจิ่นกลับไปพักผ่อนเร็วขึ้นสักหน่อย และบอกสื่อมามาว่า “สองสามวันนี้ทุกคนต่างรู้สึกชื่นชมยินดีกันถ้วนหน้า ต่างก็เล่นไพ่และร่ำสุรากัน หากไม่เล่นจนถึงดึกดื่นยามสามก็ไม่ยอมเลิกรา เจ้าไปแจ้งเรือนอวิ้นเจินให้ที ช่วงนี้ก็ไม่ต้องให้ฮูหยินกับคุณชายใหญ่มาทำคารวะข้าที่เรือนหานปี้ซาน ข้าจะได้ไม่ต้องลำบากไปด้วย”

สื่อมามายิ้มพลางถอยออกไป

ทว่าโจวเสาจิ่นกลับรู้ดีว่านี่เป็นการทำเพื่อนาง

ตกกลางคืน นางก้มหน้าก้มตาทำพู่ลายดอกเหมยสำหรับประดับพัดอยู่ใต้แสงตะเกียง

ชุนหว่านคิดว่าวันพรุ่งนี้เจ้าสาวยังต้องมาแนะนำตัวกับบรรดาญาติในตระกูลอีก จึงเกลี้ยกล่อมนางให้เข้านอนเร็วๆ ว่า “…แม้แจ้งว่าอาจจะมาถึงตอนเที่ยงก็ตาม แต่สุดท้ายก็เป็นการมาแนะนำตัวด้วยสถานะสะใภ้ใหญ่เก้าเป็นครั้งแรก ท่านต้องทำตัวให้สดใสเพื่อต้อนรับสะใภ้ใหญ่เก้าดีๆ ถึงจะถูกนะเจ้าคะ”

“เรื่องนี้ก็ยังต้องให้เจ้าบอกอีกหรือ!” โจวเสาจิ่นยิ้มพลางชี้ไปที่ราวแขวนเสื้อ แล้วกล่าวว่า “เจ้าดู แม้แต่อาภรณ์ที่จะสวมใส่ในวันพรุ่งนี้ข้าก็ตระเตรียมเอาไว้เรียบร้อยหมดแล้ว”

ทว่านางนอนไม่หลับ

เรื่องราวดำเนินมาถึงจุดนี้แล้ว นางจะอาศัยอยู่ที่จวนหลักอีกก็ไม่เหมาะสมเสียแล้ว

นางจะต้องทนมองท่านน้าฉือแต่งงานไปต่อหน้าต่อตาอย่างนั้นหรือ

โจวเสาจิ่นน้ำตารื้นขอบตา

รอให้ส่งเฉิงเจียออกเรือนแล้ว นางเองก็ควรจะไปได้แล้วเช่นกัน

เพียงแต่ก่อนจะจากไป นางอยากจะทำพู่ประดับพัดให้ท่านน้าฉือสักสองสามชิ้น ถือเป็นน้ำจิตน้ำใจส่วนหนึ่งของนาง

โจวเสาจิ่นเอ่ยถามชุนหว่านว่า “ต่อไปเจ้ามาเป็นมามาดูแลเรื่องต่างๆ ให้ข้าเป็นอย่างไร?”

ชุ่นหว่านดวงหน้าเผือดสี

เมื่อนางนึกถึงคำพูดที่บังเอิญได้ยินมาเมื่อช่วงเช้าที่ว่า คนที่คุณชายใหญ่สวี่ของจวนหลักชอบพอคือคุณหนูรองตระกูลโจวของจวนสี่ ขึ้นมา นางก็ใจเต้นตึกตักประหนึ่งตีกลอง ตอบยิ้มๆ ว่า “ข้าจะติดตามคุณหนู ท่านให้ข้าทำสิ่งใดข้าก็จะทำสิ่งนั้นเจ้าค่ะ!”

โจวเสาจิ่นคลี่ยิ้มออกมา

เพียงแต่รอยยิ้มนั้นกลับดูฝืดฝืนเป็นอย่างมาก

นางกระซิบเสียงเบาว่า “ชุนหว่าน ข้าวของอะไรที่ควรจัดเก็บก็ค่อยๆ เก็บไปทีละนิดเถิด! พวกเราจะไปที่เมืองเป่าติ้งกัน!”

เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน!

ถึงแม้ว่าซอยจิ่วหรูจะดีมากเพียงใด แต่สุดท้ายก็มิใช่บ้านของตัวเอง

หากว่าไปเกี่ยวพันกับคุณชายใหญ่สวี่ของจวนหลักขึ้นมา ไม่ว่าผลสุดท้ายจะออกมาเป็นเช่นไร ก็ล้วนไม่เป็นผลดีต่อคุณหนูทั้งนั้น

ชุนหว่านตอบอย่างหนักแน่นว่า “ข้าจะตระเตรียมเอาไว้ คุณหนูรองวางใจเถิดเจ้าค่ะ!”

โจวเสาจิ่นพยักหน้าอย่างช้าๆ ลุกขึ้นมาแล้วเดินไปที่ลานบ้าน

สายลมเดือนเก้าที่พัดโชยเรือนร่างนั้นเยียบเย็นเล็กน้อย ดอกซ่อนกลิ่นที่ปลูกไว้ในลานบ้านหลังจากที่นางเข้ามาอยู่อาศัยนั้นก็เหี่ยวแห้งลงแล้ว ใบของดอกพุทธรักษาก็เปลี่ยนเป็นสีเหลืองแล้วเหมือนกัน มีแต่ต้นทับทิมต้นนั้น ที่แม้ว่าฤดูดอกไม้ผลิบานจะผ่านพ้นไปแล้วแต่ก็ยังคงเขียวชอุ่มอยู่เหมือนเดิม ราวกับทิวทัศน์กลางฤดูร้อนก็ไม่ปาน

เห็นได้ชัดว่าสิ่งของบางอย่างหากเป็นของเจ้าก็จะเป็นของเจ้า แต่หากมิใช่ของเจ้าต่อให้เจ้าปรารถนาจะเก็บมันไว้ก็เก็บเอาไว้ไม่ได้อยู่ดี

โจวเสาจิ่นมองดูดวงดาวที่กระจายอยู่ทั่วท้องฟ้า กอดแขนทั้งสองข้างเอาไว้แน่น

………………………………………………………………….

[1] ยามโหย่วเจิ้ง คือเวลา 18.00 น.