ตอนที่ 341 ทำความรู้จักกับญาติ

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

วันถัดมา โจวเสาจิ่นตื่นตั้งแต่ยามเหม่าชู[1] เหมือนที่เคยเป็นมาตามปรกติ

ชุนหว่านอดเกลี้ยกล่อมนางไม่ได้ว่า “เมื่อคืนท่านถักพู่จนถึงยามสามถึงเข้านอน ทางด้านฮูหยินผู้เฒ่าก็ให้ท่านไม่ต้องไปคารวะยามเช้า ท่านจะตื่นเช้าขนาดนี้ทำไมเจ้าคะ นอนต่ออีกสักหน่อยดีหรือไม่”

โจวเสาจิ่นนอนไม่หลับ ยิ้มพลางตอบไปว่า “เคยชินกับการตื่นแต่เช้าเช่นนี้ไปแล้ว เจ้าให้ข้านอนอีกก็นอนไม่หลับอยู่ดี ไม่สู้ตื่นขึ้นมาถักพู่สักหน่อยดีกว่า!”

ช่วงก่อนมักจะเลื่อนเวลาออกไปจนถึงยามเหม่าเจิ้ง[2] ถึงค่อยตื่นมิใช่หรือ

ชุนหว่านตะลึงงัน เอ่ยขึ้นว่า “ท่านยังจะถักพู่อีก! ระวังสายตาด้วยนะเจ้าคะ!”

“ไม่เป็นไรหรอก” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ “เรื่องของข้า ข้าย่อมรู้ดี”

เนื่องจากคุณหนูรองโตแล้ว บางเรื่องก็มิใช่เรื่องที่พวกนางผู้เป็นบ่าวไพร่เหล่านี้จะช่วยตัดสินใจให้ได้

ชุนหว่านจึงได้แต่โน้มน้าวไปว่า “เช่นนั้นหากท่านรู้สึกเหนื่อยล้าก็ต้องพักผ่อน อย่าได้ฝืนเป็นอันขาด หากว่าคุณหนูใหญ่ทราบ จะต้องโทษบ่าวว่าไม่ดูแลคุณหนูรองให้ดีเป็นแน่เจ้าค่ะ”

โจวเสาจิ่นมองนางแล้วระบายยิ้ม มิได้เอ่ยตอบคำใด

ชุนหว่านได้แต่ทอดถอนใจอยู่ในใจ แล้วไปบอกที่ครัวให้ช่วยตระเตรียมมื้อเช้าให้โจวเสาจิ่น

เฉิงเจียวิ่งเข้ามาอย่างตื่นเต้นดีใจ “เสาจิ่นๆ!”

คนของเรือนฝูชุ่ยได้ยินเสียงลิงโลดยินดีของนางมาตั้งแต่ไกลๆ แล้ว

โจวเสาจิ่นลุกขึ้นออกไปต้อนรับ พลางถามชุนหว่านยิ้มๆ ไปด้วยว่า “นี่เกิดอะไรขึ้น ไม่ได้เห็นนางร่าเริงเช่นนี้มาพักหนึ่งแล้ว”

ชุนหว่านหยอกเย้าเล่นๆ ว่า “สงสัยเมื่อวานจะได้รับซองแดงซองโตมาจากสะใภ้ใหญ่เก้าซองหนึ่งกระมัง”

โจวเสาจิ่นพยักหน้าพร้อมกับยิ้มน้อยๆ

เฉิงเจียวิ่งเข้ามาถึง เอ่ยถามขึ้นอย่างแง่งอนว่า “พวกเจ้าว่าร้ายอะไรข้าอีก”

นี่มิใช่เวลาที่นางควรจะพูด ชุนหว่านย่อมไม่เอื้อนเอ่ยคำใดนอกจากยิ้มให้เท่านั้น

ส่วนโจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “พวกข้ากำลังคุยกันว่านกกระจอกตัวใหญ่จากที่ใดไม่รู้บินเข้ามาตัวหนึ่ง ร้องเสียงดังจนหูของผู้คนจะหนวกกันหมดแล้ว!”

“เจ้าต่างหากที่เป็นนกกระจอกตัวใหญ่!” เฉิงเจียวิ่งไปดึงหูของโจวเสาจิ่นอย่างไม่ยินยอม

โจวเสาจิ่นรีบถอยออกไปเพื่อนหลบเลี่ยงมือของนาง

เฉิงเจียวิ่งไล่ตาม

ทั้งสองคนวิ่งเข้าห้องโถงไปอย่างเริงร่า

เฉิงเจียเห็นว่าบนโต๊ะวางตะเกียบเอาไว้ จึงนั่งลงไปอย่างไม่เกรงใจ เอ่ยถามชุนหว่านว่า “มื้อเช้าของวันนี้คืออะไรหรือ ข้าเอาเต้าฮวยรวมมิตรถ้วยหนึ่ง!”

เนื่องจากโจวเสาจิ่นชื่นชอบรับประทานเต้าฮวยรวมมิตร เต้าฮวยรวมมิตรของเรือนหานปี้ซานนอกจากจะอร่อยแล้ว เครื่องที่ใส่โรยหน้าก็มีหลากหลายชนิดกว่าเต้าฮวยจากข้างนอกอีกด้วย เฉิงเจียกินครั้งหนึ่งแล้วก็ชื่นชอบยิ่งนัก ยังให้คนที่ครัวของจวนสามมาศึกษาวิธีทำเป็นการเฉพาะอีกด้วย

โจวเสาจิ่นนั่งลงตรงกันข้ามนาง ดวงหน้ายังมีรอยยิ้มประดับอยู่อย่างไม่เลือนหาย กล่าวยิ้มๆ ว่า “มาได้เร็วไม่สู้มาได้ถูกจังหวะ เจ้าช่างเลือกเวลาได้เหมาะเจาะยิ่ง!”

“แน่นอนอยู่แล้ว!” เฉิงเจียกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “เจ้าช่างไม่ดูเลยว่าข้าเป็นผู้ใด”

โจวเสาจิ่นหัวเราะคิก เอ่ยถามนางว่า “เห็นเจ้าดีอกดีใจเช่นนี้ หรือว่าท่านป้าใหญ่หลูยอมพูดกับเจ้าแล้ว”

พอพูดถึงเรื่องนี้ไหล่ของเฉิงเจียก็ห่อเหี่ยวลง ตอบอย่างเศร้าสร้อยว่า “เลิกพูดถึงเรื่องนี้เถอะ ข้าว่าคงได้แต่ต้องใช้วิธีการของหลี่จิ้งเสียแล้ว! เมื่อวานข้าเข้าไปหาท่านแม่ของข้า นางไม่แม้แต่จะชายตามองข้าสักนิดเลยด้วยซ้ำ”

โจวเสาจิ่นเองก็รู้สึกทอดถอนใจแทนนางไปด้วย

ในทางกลับกันเฉิงเจียเป็นผู้ที่ค่อนข้างจะมองโลกในแง่ดี กล่าวยิ้มๆ ว่า “พวกเราเลิกพูดถึงเรื่องหดหู่พวกนี้เถอะ เมื่อวานเจ้าน่าจะไปดูเจ้าสาวที่เรือนหอกับข้าด้วย พี่สะใภ้เก้างดงามยิ่งนัก! นอกจากจะวางตัวได้อย่างสุภาพอ่อนโยนมากแล้ว ยังมอบซองแดงซองโตให้ข้าซองหนึ่งอีกด้วย!”

สาวใช้ที่ปรนนิบัติอยู่ในห้องต่างขำพรืดออกมา

เฉิงเจียเอ่ยถามอย่างฉงนว่า “ข้าพูดอะไรผิดไปอย่างนั้นหรือ”

“ไม่เลยๆ” โจวเสาจิ่นยิ้มพลางเปลี่ยนหัวข้อสนทนาว่า “ต้องมิใช่เพราะสาเหตุนี้ที่ทำให้เจ้าดีใจมากถึงเพียงนี้หรอกกระมัง”

เฉิงเจียยิ้มอย่างขัดเขิน

โจวเสาจิ่นเห็นว่านางดูเหมือนมีเรื่องอยากจะพูดกับตน จึงส่งสายตาให้ชุนหว่าน

ชุนหว่านและคนอื่นๆ วางมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต่างก็ถอยออกไปทั้งหมด

เฉิงเจียใช้ช้อนคนเต้าฮวยรวมมิตรไปด้วย พร้อมกับกระซิบถามนางด้วยใบหน้าแต้มรอยยิ้มไปด้วยว่า “มิใช่ว่าท่านแม่ของข้าไม่ยอมบอกอะไรกับข้าเลยหรอกหรือ ข้าเห็นทุกคนต่างชื่นชมพี่สะใภ้เก้าว่าประพฤติตัวได้อย่างเหมาะสม จึงตัดสินใจจะไปขอคำแนะนำจากนาง นางเพิ่งเป็นเจ้าสาวมาหมาดๆ มิใช่หรือ อีกทั้งตระกูลเหอก็เป็นตระกูลบัณฑิตที่สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่น หากข้าทำตามนาง จะต้องไม่มีอะไรผิดพลาดอย่างแน่นอน”

โจวเสาจิ่นคลี่ยิ้มน้อยๆ พลางกล่าวว่า “นั่นย่อมเป็นของแน่อยู่แล้ว!”

เฉิงเจียเห็นว่าโจวเสาจิ่นเห็นด้วยกับความคิดของนาง อารมณ์จึงยิ่งเบิกบานมากขึ้น ปรึกษาโจวเสาจิ่นเสียงค่อยว่า “เจ้าว่า ข้าควรพูดเรื่องนี้กับพี่สะใภ้เก้าอย่างไรดี นางจะหัวเราะเยาะข้าที่ไม่รู้จักอายหรือไม่ หากว่าข้ามีเวลาพบปะพูดคุยกับนางมากกว่านี้ก็คงจะดี ตอนนี้เหมือนเป็นการไล่เป็ดขึ้นคอน[3] ก็ไม่ปาน นางต้องคิดว่าข้าบ้าไปแล้วแน่ๆ!”

ท่าทางดูมีปัญหาเป็นอย่างมาก

“พี่สะใภ้เก้าเป็นสะใภ้ที่ท่านป้าใหญ่ของข้าเลือกมาด้วยตนเอง ต่อให้เจ้าไม่เชื่อสายตาตัวเอง ก็ควรจะเชื่อสายตาของท่านป้าใหญ่ของข้าถึงจะถูก” นี่เป็นคำพูดจากประสบการณ์ในชาติที่แล้วของโจวเสาจิ่น นางกล่าวเสริมอีกว่า “นอกจากนี้เรื่องบางเรื่องหากเจ้าไม่ลองดูแล้วจะรู้ได้อย่างไร”

เฉิงเจียได้ยินแล้วดวงตาเป็นประกาย รีบถามว่า “เจ้ามีความคิดอะไรดีๆ หรือ”

โจวเสาจิ่นตอบยิ้มๆ ว่า “ข้าจะไปมีความคิดอะไรดีๆ ได้ อย่างไรก็ตามหากเปลี่ยนเป็นข้า ข้าจะเล่าปัญหาความทุกข์ใจของตัวเองให้พี่สะใภ้เก้าฟังตามความเป็นจริง จากนั้นก็ขอคำแนะนำจากนางอย่างจริงใจ!”

เฉิงเจียเอ่ยถามอย่างลังเลว่า “นางจะหัวเราะเยาะข้าหรือไม่”

เฉิงเจียที่ลังเลใจเช่นนี้ โจวเสาจิ่นเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก นางอดกล่าวยิ้มๆ ไม่ได้ว่า “ต่อให้เจ้าไม่บอกนาง ท่านป้าใหญ่หลูกระทำอย่างโจ่งแจ้งถึงเพียงนั้น อีกไม่นานนางก็จะรู้เอง ไม่สู้เจ้าบอกนางไปเลยยังจะดีเสียกว่า! ข้าสัมผัสได้ว่าอุปนิสัยของพี่สะใภ้เก้านั้นไม่เลวเลยทีเดียว”

“เจ้ารู้ได้อย่างไร” เฉิงเจียถาม “เจ้าไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับนางมาก่อนเลยนี่นา!”

โจวเสาจิ่นพูดไม่ออก ชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วจึงตอบว่า “คราวก่อนตอนที่ไปร่วมงานหมั้นเล็ก ข้าก็ไปด้วยมิใช่หรือ ข้าเห็นกิริยาท่าทางและการจัดการเรื่องต่างๆ ของพี่สะใภ้เก้าแล้วก็รู้สึกว่านางเป็นคนที่ไม่เลวผู้หนึ่ง”

เฉิงเจียลังเลอีกครั้งอยู่นานครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ตัดสินใจได้ กล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นก็ดี ข้าจะไปเยี่ยมพี่สะใภ้เก้าตอนนี้เลยก็แล้วกัน”

โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าว่าเจ้ารออีกสักสองสามวันก่อนแล้วค่อยไปดีกว่า”

เฉิงเจียประหลาดใจ

โจวเสาจิ่นกล่าวว่า “วันนี้นางมาทำความรู้จักกับญาติๆ วันพรุ่งนี้ต้องกลับบ้านเดิม วันมะรืนถึงจะกลับมาจากผูโข่ว”

ทว่าเฉิงเจียกลับอดรนทนรอไม่ไหวเสียแล้ว กล่าวขึ้นว่า “ไอ้โหยว ข้าลองไปดูก่อนดีกว่า บางทีพี่สะใภ้เก้าอาจจะกำลังรู้สึกเบื่อๆ อยู่ก็เป็นได้!”

โจวเสาจิ่นจำต้องส่งนางออกจากเรือนไป จากนั้นไปคารวะยามเช้าฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่เรือนหานปี้ซาน

ณ วันแขวนผ้าแดงมงคลหน้าเรือนหอของคู่บ่าวสาว[4]ในวันถัดมา หยวนซื่อ เฉิงสวี่ กระทั่งเฉิงฉือต่างก็ไปทำความรู้จักเจ้าสาวคนใหม่ที่ห้องโถงใหญ่ ภายในเรือนจึงเงียบสงบ ไม่ต่างอะไรจากตอนก่อนหน้าที่เฉิงสวี่จะกลับมา

โจวเสาจิ่นกลับดูเหมือนอยากจะประทับตราภาพนี้เก็บเอาไว้ในใจก็ไม่ปาน ยืนพิศดูรอบๆ อยู่ในลานนานครู่หนึ่งก่อนถึงได้เดินเข้าห้องโถงไป

หลังจากคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากัวเสร็จแล้ว นางไปสวดมนต์เป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัวเหมือนเช่นเคย

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวดูเหมือนไม่ค่อยสบายใจเท่าใดนัก

โจวเสาจิ่นครุ่นคิดอย่างขมขื่นใจ เดิมทีตอนที่ฮูหยินผู้เฒ่ารับนางมาอยู่ด้วยก็เป็นเพราะประสงค์ดีส่วนหนึ่ง แต่ใครจะรู้ว่าเรื่องราวกลับเปลี่ยนไปเป็นเช่นนี้ ตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเองก็คงจะไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดีเหมือนกันกระมัง

นางควรจะเป็นคนเริ่มพูดเรื่องกลับไปเป่าติ้งก่อนดีหรือใหม่ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับท่านน้าฉือจะได้ไม่ต้องรู้สึกลำบากใจ…

ทั้งที่รู้ดีแก่ใจว่าควรจะทำเช่นนี้ แต่โจวเสาจิ่นก็ยากจะเอ่ยปากพูดออกมาได้

นางพูดกับตัวเองในใจว่า เรื่องใหญ่ขนาดนี้ นางคงไม่อาจตัดสินใจอย่างหุนหันพลันแล่นเช่นนี้หรอกกระมัง อย่างไรก็ต้องบอกท่านพ่อสักหน่อยก่อนถึงจะถูก หลีกเลี่ยงไม่ให้ท่านพ่อคิดว่าตนได้รับความทุกข์ใจ จนเป็นเหตุให้เกิดความหมางใจกับจวนหลักขึ้นมา

โจวเสาจิ่นตัดสินใจว่าเมื่อกลับเรือนฝูชุ่ยแล้วจะเขียนจดหมายไปให้บิดา

ปี้อวี้เดินเข้ามายิ้มๆ กล่าวขึ้นว่า “เจ้าสาวคนใหม่มาคารวะฮูหยินผู้เฒ่าแล้วเจ้าค่ะ!”

มาเร็วขนาดนี้เชียว!

โจวเสาจิ่นกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวต่างรู้สึกประหลาดใจยิ่ง ทั้งสองคนปัดป่ายร่างกายที่ไร้ซึ่งเศษฝุ่นเบาๆ แล้วไปที่ห้องโถง

เหอเฟิงผิงกับเฉิงเก้าต่างสวมอาภรณ์สีแดงสดทั้งตัว ยืนเคียงข้างกัน ดูเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก

โจวเสาจิ่นคลี่ยิ้มอย่างอ่อนหวาน

เหอเฟิงผิงดวงหน้าขึ้นสีแดงเรื่อ ทว่าเฉิงเก้ากลับดูสงวนท่าทีเล็กน้อย

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นทั้งสองคนดูเป็นคู่ที่เหมาะสมกันยิ่งนัก ก็รู้สึกยินดีอย่างเหลือล้น ยิ้มร่าพลางนั่งลงบนตั่งหลัวฮั่น รับการคำนับคารวะจากทั้งสองคน

จากนั้นเหอเฟิงผิงมอบถุงเท้ารองเท้าแก่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวและโจวเสาจิ่น จากนั้นฮูหยินผู้เฒ่ากัวและโจวเสาจิ่นก็ทยอยกันมอบของขวัญแรกพบแก่เหอเฟิงผิง

ปี้อวี้ยกน้ำชาและของว่างเข้ามา

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเชิญทั้งสองคนนั่งลง เอ่ยถามถึงปู่ของเหอเฟิงผิงว่า “…เมื่อนานมาแล้วก็เคยมาร่ำเรียนและศึกษาอยู่ที่ซอยสือโถว สนิทสนมกับพี่ชายใหญ่ของข้าเป็นอย่างยิ่ง เพียงแต่หลายปีมานี้ต่างฝ่ายต่างก็อายุมากกันแล้ว จึงไปมาหาสู่กันน้อยลง สุขภาพร่างกายของปู่เจ้ายังดีหรือไม่”

เหอเฟิงผิงลุกขึ้นมา ตอบอย่างนอบน้อมว่า “ลำบากท่านต้องเป็นห่วงแล้ว ท่านปู่สบายดีเจ้าค่ะ เพียงแต่สองปีมานี้ชอบกินเนื้อติดมันเป็นอย่างมาก ท่านพ่อเป็นห่วงเรื่องสุขภาพของท่าน คอยสั่งท่านแม่ของข้าให้ทำอาหารจานเนื้อให้ท่านปู่น้อยลงสักหน่อยอยู่ทุกวัน ท่านปู่จึงมักจะโกรธเกรี้ยวเจ้าค่ะ!”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะร่วน พลางกล่าวว่า “คนที่อายุยืนถึงเจ็ดสิบปีนั้นหายากยิ่งนัก ปู่ของเจ้าก็น่าจะอายุเจ็ดสิบปีแล้วกระมัง ยังกินได้อยู่ถือเป็นเรื่องดี!”

“ท่านแม่ก็พูดเช่นนี้เหมือนกันเจ้าค่ะ” เหอเฟิงผิงนั่งบนเก้าอี้มีเท้าแขนเพียงครึ่งเดียวระหว่างที่สนทนากับฮูหยินผู้เฒ่ากัว

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ปี้อวี้กระซิบถามโจวเสาจิ่นว่าต้องการให้เตรียมมื้อเที่ยงหรือไม่ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหูดียิ่ง ยิ้มพลางกล่าวกับเหอเฟิงผิงว่า “ข้ารู้ว่าพวกเจ้ายังต้องไปคารวะนายหญิงผู้เฒ่าสองท่านที่จวนรองกับจวนสามอีก ข้าจะไม่รั้งพวกเจ้าแล้ว เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน พวกเจ้ารีบไปรีบกลับ ประเดี๋ยวมารับประทานมื้อเที่ยงกับข้าที่นี่”

เหอเฟิงผิงหันไปมองเฉิงเก้า

เฉิงเก้าครุ่นคิดแล้วตอบว่า “เช่นนั้นก็ขอบคุณฮูหยินผู้เฒ่าขอรับ!”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “ต่างมิใช่คนนอก มิต้องเกรงใจ” จากนั้นก็พยักพเยิดให้โจวเสาจิ่นไปส่งแขกแทนนาง

โจวเสาจิ่นยิ้มพร้อมกับออกไปส่งเหอเฟิงผิงที่ประตู

เหอเฟิงผิงยิ้มพร้อมกับแอบกระตุกแขนเสื้อนางเงียบๆ กระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “คุณหนูเจียของจวนสามบอกว่าต้องการไปพบข้าช่วงบ่าย บ่ายนี้เจ้าว่างหรือไม่ มาดื่มน้ำชาด้วยกันสักจอกหนึ่งเถอะ! พี่ชายของเจ้าบอกว่า เจ้าก็ไม่ต่างอะไรจากน้องสาวแท้ๆ ของเขา”

ความหมายของคำพูดดังกล่าวคือ พวกนางต่างหากที่ใกล้ชิดกันที่สุด

โจวเสาจิ่นตอบตกลงด้วยความยินดี

เฉิงเก้ายิ้มให้นาง แล้วพาเหอเฟิงผิงไปที่จวนรอง

โจวเสาจิ่นเห็นหยวนซื่อเดินเข้ามาโดยมีบ่าวหญิหลายคนรายล้อม

นางกัดริมฝีปาก หมุนกายเดินเข้าโถงหลักไป

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวให้นางตระเตรียมอาหารต้อนรับเฉิงเก้าและภรรยาในตอนเที่ยง

หยวนซื่อเดินเข้ามา กล่าวยิ้มๆ ว่า “เหตุใดต้องรบกวนเสาจิ่นด้วย ข้าจะจัดเตรียมรายการอาหารเองเจ้าค่ะ”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวว่า “ช่วงที่เจ้าไม่อยู่บ้าน ธุระต่างๆ รอบตัวข้าล้วนเป็นเสาจิ่นที่จัดการให้ เจ้าเพิ่งกลับมาได้ไม่นาน ธุระต่างๆ ก็มีมากมาย เรื่องของเรือนหานปี้ซาน ก็ให้โจวเสาจิ่นจัดการเหมือนเดิมก็แล้วกัน”

หยวนซื่อยิ้มพลางขานรับว่า “เจ้าค่ะ” แล้วยอบกายคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากัว

โจวเสาจิ่นกลับรู้สึกประดักประเดิดเล็กน้อย หันไปยอบกายทำความเคารพหยวนซื่อเงียบๆ แล้วถอยออกไป

บ่าวหญิงสองสามคนที่อยู่หน้าเตากำลังพูดคุยกันอยู่ “…งานแต่งงานของคุณชายใหญ่เก้าในครั้งนี้ครึกครื้นจริงๆ ผู้ที่มีชื่อเสียงของเมืองจินหลิงล้วนมากันหมดทุกคน อาหารที่งานเลี้ยงของวันนี้ก็จัดเตรียมโดยโรงครัวจากลานชั้นนอกอีกด้วย”

“นายหญิงผู้เฒ่าของจวนสี่เป็นผู้ที่มีจิตใจดีงาม หลายๆ จวนล้วนให้เกียรตินาง งานเลี้ยงย่อมต้องจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่เป็นธรรมดา…”

ป้ารับใช้ที่เข้ามาพร้อมกับโจวเสาจิ่นกระแอมเบาๆ ครั้งหนึ่ง

บ่าวหญิงสองสามคนนั้นต่างลุกพรวดขึ้นมาอย่างหวาดกลัว

โจวเสาจิ่นคลี่ยิ้มออกมาอย่างจริงใจ แล้วบอกให้พวกนางตระเตรียมอาหารสำหรับต้อนรับเฉิงเก้าและภรรยา

บ่าวหญิงสองสามคนนั้นขานรับอย่างนอบน้อม

โจวเสาจิ่นจึงเอ่ยถามขึ้นว่า “ตอนเที่ยงที่จวนสี่ยังมีงานเลี้ยงอยู่หรือไม่”

บ่าวหญิงสองสามคนนั้นรีบตอบอย่างกระตือรือร้นว่า “ยังมีอยู่เจ้าค่ะๆๆ! นายท่านสี่กับคุณชายใหญ่ต่างอยู่รับประทานมื้อเที่ยงที่นั่นเจ้าค่ะ”

โจวเสาจิ่นพยักหน้ายิ้มๆ แล้วออกจากห้องครัวไป

………………………………………………………………….

[1] ยามเหม่าชู คือ เวลา 6.00 น.

[2] ยามเหม่าเจิ้ง คือ เวลา 7.00 น.

[3] ไล่เป็ดขึ้นคอน (鸭子上架) การไล่เป็ดขึ้นคอนเป็นเรื่องที่เป็ดไม่ถนัดซึ่งต่างกับไก่ ใช้เปรียบเปรยถึงการบีบให้ผู้อื่นทำในเรื่องที่ความสามารถไม่ถึงหรืออยู่นอกเหนือความสามารถของคนผู้นั้น

[4] การแขวนผ้าแดงมงคลหน้าเรือนหอของคู่บ่าวสาวเป็นส่วนหนึ่งของธรรมเนียมปฏิบัติในวันแต่งงาน

ในคืนแรกที่คู่บ่าวสาวเข้าเรือนหอ ใต้ผ้าห่มจะวางผ้าไหมสีขาวทอลายมังกรกับหงส์เอาไว้ หลังจากทั้งคู่สมสู่กันเรียบร้อยแล้ว จะใช้ผ้าไหมนี้เช็ดเรือนร่างของเจ้าสาว หากว่าผ้ามีรอยเลือดสีแดง หมายความว่าเจ้าสาวเป็นหญิงพรหมจรรย์ วันถัดมา ผ้าไหมผืนนี้จะนำไปแขวนไว้ที่หน้าประตูเรือน หากครอบครัวของฝ่ายหญิงเห็นว่าผ้ามีรอยแดง จึงจะมาร่วมงานเลี้ยงฉลองในบ้านฝ่ายชายได้ แต่ถ้าหากไม่มีรอยแดงบนผ้าก็จะเข้าบ้านของฝ่ายชายไม่ได้