ตอนที่ 342 โพรงหิน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

เฉิงเก้าแต่งงานแล้ว โจวเสาจิ่นก็ไม่มีข้ออ้างจะรั้งอยู่ที่จวนสี่นานๆ ได้อีกแล้ว

วันนี้เฉิงสวี่รับประทานมื้อเที่ยงที่ลานชั้นนอก นางจึงโชคดีที่หลีกเลี่ยงเขาได้ แต่วันพรุ่งนี้หรือวันมะรืนนี้เล่า?

เฉิงสวี่เป็นหลานชายสายตรงของฮูหยินผู้เฒ่ากัว เขามาเยี่ยมเยียนฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็เป็นการแสดงความกตัญญู นางยังจะขวางทางเขาได้หรือ

ทางด้านของฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั้น อายุอานามมากแล้ว เป็นช่วงวัยที่เฝ้ารอการได้ใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่กับบุตรหลาน หากอยู่นานเกินไป เกรงว่าจะบังเกิดความขุ่นแค้นอะไรขึ้นมาได้

ถึงเวลาที่ต้องไปแล้วจริงๆ

เมื่อส่งเฉิงเก้าสองสามีภรรยาออกไปแล้ว โจวเสาจิ่นเห็นว่าหยวนซื่อมีท่าทีเหมือนมีเรื่องต้องการคุยกับฮูหยินผู้เฒ่ากัว จึงลุกขึ้นมาแล้วกลับเรือนฝูชุ่ยไป

ชุนหว่านกล่าวยิ้มๆ ว่า “คุณหนูรองรีบนอนกลางวันสักงีบเถิดเจ้าค่ะ! ประเดี๋ยวตอนไปเรือนเจียซู่จะได้มีแรงและมีชีวิตชีวา”

เนื่องจากต้องการรั้งเฉิงเก้าและภรรยาให้อยู่รับมื้อเที่ยงที่เรือนหานปี้ซานด้วย ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงให้คนนำความไปแจ้งฮูหยินผู้เฒ่ากวน ฮูหยินผู้เฒ่ากวนก็เลยเชิญฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปรับประทานมื้อเย็นที่เรือนเจียซู่ในตอนเย็น บอกว่าแขกเหรื่อที่มาร่วมงานต่างแยกย้ายกันกลับออกไปในช่วงบ่ายนี้ จึงอยากจะเชิญคนของจวนหลักมาร่วมรับประทานอาหารมื้อแรกด้วยกันหลังจากที่เจ้าสาวแต่งเข้าเรือนมา

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวตอบรับด้วยความยินดี

ประเดี๋ยวโจวเสาจิ่นก็ต้องไปด้วยเหมือนกัน

โจวเสาจิ่นไหนเลยจะนอนหลับลงได้ นางนั่งบนเก้าอี้มีเท้าแขนข้างหน้าต่าง กล่าวเสียงเบาว่า “ข้าจะถักพู่ก่อนแล้วค่อยนอน”

ชุนหว่านอดถามไม่ได้ว่า “นี่ท่านถักพู่ให้ผู้ใดกันเจ้าคะ ต้องรีบใช้อย่างนั้นหรือ”

โจวเสาจิ่นตอบตามจริงครึ่งหนึ่งเท็จครึ่งหนึ่งว่า “เป็นพู่ประดับพัดสำหรับท่านน้าฉือ แม่นางหนานผิงไหว้วานให้ข้าทำ ข้าอยากจะทำให้เสร็จเร็วๆ จะได้เริ่มตัดเย็บเสื้อผ้าทารกให้หลานชาย”

ชุนหว่านรู้สึกโล่งใจ กล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นข้าไปชงชาให้ท่านเข้มขึ้นสักหน่อยดีหรือไม่เจ้าคะ”

โจวเสาจิ่นตอบรับยิ้มๆ

เสี่ยวถานวิ่งเข้ามาอย่างเบิกบาน กล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรองเจ้าคะ แม่นางชุ่ยหวนสาวใช้ข้างกายของเฉิงเจียมาหาเจ้าค่ะ”

นางมาทำไม

โจวเสาจิ่นครุ่นคิดพลางให้เสี่ยวถานพานางเข้ามา

นางยอบกายทำความเคารพโจวเสาจิ่น แล้วกล่าวว่า “คุณหนูรอง คุณหนูเจียของพวกข้าบอกให้เชิญท่านไปที่ศาลาหม่านฟางเจ้าค่ะ”

โจวเสาจิ่นประหลาดใจ “ให้ไปที่ศาลาหม่านฟางทำไม”

นั่นเป็นศาลาหลังหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากเรือนหานปี้ซาน ตั้งอยู่ริมทะเลสาบ หากยืนอยู่ที่นั่นกลางฤดูร้อนจะได้ชมต้นไม้แผ่กิ่งก้านเขียวขจีสูงถึงฟ้าและดอกบัวเบ่งบานเต็มสระ แต่เวลานี้เป็นฤดูใบไม้ร่วง ทั่วทั้งทะเลสาบเต็มไปด้วยดอกไม้ที่ร่วงโรยหมดแล้ว ลมที่พัดโชยมาก็หอบพาไอเย็นมาด้วยแล้ว

ชุ่ยหวนยิ้มพลางตอบว่า “คุณหนูของพวกข้าบอกว่า นางรอท่านอยู่ที่นั่น จากนั้นค่อยไปที่เรือนซิ่งหลิวพร้อมกันเจ้าค่ะ”

เรือนซิ่งหลิวคือเรือนหลังใหม่ของเฉิงเก้า

โจวเสาจิ่นระบายยิ้ม แล้วเก็บข้าวของไปด้วยเอ่ยถามไปด้วยว่า “สะใภ้ใหญ่เก้าทราบหรือไม่ว่าคุณหนูของพวกเจ้าจะไปหา”

“ทราบแล้วเจ้าค่ะ!” ชุ่ยหวนก้าวมาช่วยเก็บเข็มกับด้ายให้นางอย่างรู้หน้าที่ แล้วกล่าวอีกว่า “สะใภ้ใหญ่เก้าเป็นคนนัดเวลามาเอง บอกว่ากลัวว่าหากช้าเกินไปจะถึงเวลารับประทานมื้อเย็นเสียก่อนเจ้าค่ะ”

โจวเสาจิ่นพยักหน้ายิ้มๆ ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ ครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วบอกให้ชุนหว่านช่วยห่อขนมสักสองสามกล่องมาให้นาง จากนั้นถึงได้มุ่งหน้าไปที่ศาลาหม่านฟางกับชุ่ยหวน

พวกนางเดินทะลุผ่านป่าไผ่ผืนหนึ่งที่ลดเลี้ยวเคี้ยวคดไปทางตะวันตก เดินไปได้ประมาณครึ่งจอกชา โจวเสาจิ่นก็สังเกตว่ามีหินรูปทรงต่างๆ จากทะเลสาบไท่หูหลายก้อนมาให้เห็นเป็นพักๆ อยู่ตามข้างทาง

นางอดชะงักฝีเท้าไม่ได้

ในสวนป่าแถบเจียงหนาน ถ้าพบเห็นหินจากทะเลสาบไท่หูเช่นนี้ตามทางเดินในป่าไผ่ หากเดินต่อไปอีก ก็มักจะพบกับสวนหินหรือไม่ก็ภูเขาจำลองที่ใช้หินจากทะเลสาบไท่หูนำมาตั้งซ้อนกันขึ้นมาลูกหนึ่ง

ชุ่ยหวนมองโจวเสาจิ่นอย่างงงงัน

โจวเสาจิ่นเอ่ยถามว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเดินไปจากตรงนี้ได้?”

ชุ่ยหวนตอบว่า “คุณชายใหญ่เจิ้งบอกว่าเดินจากตรงนี้ใกล้กว่าเจ้าค่ะ”

โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าตนหยุดหายใจไปชั่วขณะหนึ่ง

ผ่านไปครู่หนึ่งนางถึงได้ถามเสียงค่อยว่า “ในเมื่อพี่สาวเจียเป็นคนนัดข้า แต่เหตุใดถึงไปข้องเกี่ยวกับคุณชายใหญ่เจิ้งได้?”

ชุ่ยหวนตอบยิ้มๆ ว่า “ตอนที่ข้าออกมาได้พบกับคุณชายใหญ่เจิ้งพอดี คุณชายใหญ่เจิ้งเพิ่งจะกลับมาจากข้างนอก บอกว่าลืมกระดาษเฉิงซินหลายแผ่นไว้ที่ห้องหนังสือของลานชั้นนอก ให้ข้าไปถามเอามันมาจากพวกบ่าวเด็กที่ห้องหนังสือของลานชั้นนอก แต่คุณหนูเจียยังรอข้าอยู่! ตอนนั้นข้าลังเลไปชั่วครู่หนึ่ง คุณชายใหญ่เจิ้งจึงถามข้าว่าเป็นอะไรไป ข้าคิดว่านี่ก็มิใช่เรื่องไม่ดีอะไร บวกกับไม่กล้าโกหกต่อหน้าคุณชายใหญ่เจิ้ง จึงเล่าให้เขาฟัง เขาจึงแนะนำเส้นทางนี้ให้ข้า ให้ข้ารีบไปรีบกลับ และช่วยเอากระดาษเฉิงซินไปมอบให้เขาที่เรือนหลิงหลงด้วยเจ้าค่ะ” ขณะที่นางเล่า ดวงหน้าก็ฉายแววฉงน เอ่ยถามขึ้นว่า “คุณหนูรอง มีอะไรไม่ถูกต้องหรือเจ้าคะ”

จริงด้วย!

มีอะไรไม่ถูกต้องกันนะ

เรื่องที่เฉิงเจียจะไปเรือนซิ่งหลิวเป็นเรื่องที่เพิ่งตัดสินใจกับนางขึ้นมาอย่างกะทันหัน เฉิงเจียหวาดกลัวฮูหยินผู้เฒ่ากัวมาตลอด จึงให้ชุ่ยหวนมาเชิญนางไปพบที่ศาลาหม่านฟาง ชุ่ยหวนได้พบกับเฉิงเจิ้งโดยบังเอิญ เฉิงเจิ้งจึงแนะนำทางเส้นนี้ให้นาง…ทุกอย่างล้วนดูสมเหตุสมผลไปหมด…หากมิใช่เพราะเห็นก้อนหินจากทะเลสาบไท่หูตามข้างทางเหล่านั้น หากมิใช่เพราะเห็นป่าไผ่ผืนนี้ และหากมิใช่เพราะนางได้มีความทรงจำจากชาติที่แล้ว…

โจวเสาจิ่นยืนกลางป่าไผ่ที่ไหวเอนไปมา สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วกล่าวเสียงเข้มว่า “เจ้านำทางอยู่ข้างหน้าเถอะ!”

ชุ่ยหวนขานรับว่า “เจ้าค่ะ” ทว่าบนดวงหน้ากลับเต็มไปด้วยความฉงนสงสัย

โจวเสาจิ่นไม่อยากพูดมากแม้ประโยคเดียว

เรื่องบางเรื่อง หากจะเกิดก็ต้องเกิด

นางอยากจะหลบก็หลบไม่พ้นอยู่ดี!

เพียงแต่นางมิใช่โจวเสาจิ่นคนที่ขลาดกลัวเหมือนชาติก่อนผู้นั้นอีกแล้ว และมิใช่โจวเสาจิ่นคนที่พอเกิดเรื่องขึ้นก็มักจะใคร่ครวญหาความผิดของตนก่อนผู้นั้นอีกแล้วเช่นกัน!

นางกระซิบบอกชุนหว่านสองสามประโยค

ชุนหว่านตกตะลึงจนใบหน้าเผือดสี

โจวเสาจิ่นมองหน้าโดยไม่เอ่ยคำใด นัยน์ตาดำตัดขาวดุจดวงดาวคู่นั้นดูเยือกเย็น

ชุนหว่านกัดฟัน แล้วพยักหน้าแรงๆ กล่าวว่า “คุณหนู ท่านวางใจเถิด ข้าจะไปเอามาให้เองเจ้าค่ะ”

โจวเสาจิ่นพยักหน้า มองดูชุนหว่านเดินออกจากป่าไผ่ไป

ชุ่ยหวนที่เดินไปหลายก้าวแล้วค้นพบว่าโจวเสาจิ่นไม่ได้ตามมาด้วยก็รีบหันกลับมา มองเงาร่างของชุนหว่านที่หายลับไป นางอดถามไม่ได้ว่า “คุณหนูรอง ท่าน…”

“ข้านึกได้ว่าเสื้อแขนกุดที่จะมอบให้นายหญิงผู้เฒ่านั้นเย็บเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงให้ชุนหว่านกลับไปเอามาด้วย” โจวเสาจิ่นอธิบายยิ้มๆ มือที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อกำหมัดเอาไว้แน่น

แต่หวังว่านางจะเข้าใจผิดไปเอง!

และหวังว่านี่จะเป็นเพียงสิ่งที่นางทึกทักไปเองเท่านั้น!

ชุ่ยหวนด้านหนึ่งก็รอชุนหว่านอยู่กับโจวเสาจิ่น อีกด้านหนึ่งก็ชวนโจวเสาจิ่นคุยว่า “คุณหนูรอง ท่านทำงานเย็บปักอีกแล้วหรือเจ้าคะ คราวก่อนฉากกั้นเตียงเตา[1] ที่ท่านปักให้คุณหนูของพวกข้าชุดนั้นทุกคนล้วนบอกว่างดงามยิ่ง คุณหนูรอง ท่านคิดได้อย่างไรว่าควรจะปักฉากกั้นเตียงเตาให้คุณหนูของพวกข้าหรือเจ้าคะ ที่หลั่วหยางผู้คนมักจะนอนบนเตียงเตา ไม่ได้นอนบนตั่งใช่หรือไม่เจ้าคะ”

นางจะติดตามเฉิงเจียออกเรือนไปด้วย ตระกูลหลี่มีธรรมเนียมปฏิบัติเช่นไรบ้างนั้น นางรู้สึกเป็นกังวลมากกว่าเฉิงเจียเสียอีก

โจวเสาจิ่นกล่าวกับนางว่า “ข้าไม่เคยไปลั่วหยางมาก่อน จึงไม่รู้ว่าทางด้านนั้นมีธรรมเนียมปฏิบัติเช่นไรบ้าง อย่างไรก็ตามได้ยินมาว่าผู้คนแถบแม่น้ำเหลืองล้วนนอนบนเตียงเตา ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ หลังจากที่เจ้าตามพี่สาวเจียไปถึงที่โน่นแล้ว หากมีเวลาว่างก็เขียนจดหมายกลับมาเล่าให้ฟังสักหน่อย ให้บ่าวหญิงในเรือนได้เปิดหูเปิดตาไปด้วย…”

ขณะที่ชุ่ยหวนฟังอยู่นั้น ก็อดสงสัยอยู่ในใจไม่ได้

อากาศเย็นสบายถึงเพียงนี้ เหตุใดบนหน้าผากของคุณหนูรองกลับมีเหงื่อเม็ดเล็กผุดขึ้นมาเต็มไปหมดเล่า

ขณะที่นางกำลังคิดจะถาม ชุนหว่านก็วิ่งกลับมาอย่างกระหืดกระหอบก่อน “คะ…คุณหนูรอง ได้เสื้อแขนกุดมาแล้วเจ้าค่ะ!” พูดเสร็จ ก็เหมือนกลัวว่าโจวเสาจิ่นจะไม่เชื่อ จึงชูเสื้อแขนกุดในมือให้โจวเสาจิ่นดู

โจวเสาจิ่นยิ้มน้อยๆ

ชุ่ยหวนยิ่งงุนงงเข้าไปใหญ่

เหตุใดรอยยิ้มของคุณหนูรองถึงได้ดูฝืดฝืนถึงเพียงนั้น

หรือว่าจะรู้สึกไม่สบายกันนะ

ชุ่ยหวนคิดว่าตนควรจะใส่ใจสักหน่อย แต่ใครจะรู้ว่าโจวเสาจิ่นกลับเดินนำไปข้างหน้าก่อนเสียแล้ว “อย่าปล่อยให้พี่สาวเจียต้องรอจนร้อนใจ”

จริงด้วย!

เฉิงเจียอารมณ์ร้อน อดรนทนรอผู้อื่นไม่ได้เป็นที่สุด

ชุ่ยหวนได้แต่เก็บซ่อนถ้อยคำเอาไว้ในใจ แล้วรีบเดินไปข้างหน้าพร้อมกับโจวเสาจิ่น

ชั่วพริบตาพวกนางก็เห็นภูเขาจำลองที่สร้างจากหินทะเลสาบไท่หู

บนแผ่นหินครามมีตะไคร่น้ำจับตัวขึ้นอย่างสวยงาม ดอกไม้ป่าสีขาวไหวเอนตามแรงลมอยู่ข้างๆ ช่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายของธรรมชาติ

ดวงหน้าของโจวเสาจิ่นซีดเซียว

นางยังจดจำได้ดี ชาติก่อนตอนที่เดินไปกับเฉิงเจีย นางเกือบจะลื่นล้มเพราะตะไคร่น้ำ

จะเดินไปจนถึงโพรงหินนั้นอีกหรือไม่นะ

โจวเสาจิ่นไม่กล้านึกถึงรายละเอียดเหล่านั้นเลยสักครั้ง

รู้สึกเพียงว่าแขนขาและกระดูกทั่วสรรพางค์กายเริ่มปวดขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว

นางเดินไปข้างหน้าทีละก้าว แต่ละก้าวที่ก้าวออกไปนั้น ล้วนรู้สึกประหนึ่งกำลังเหยียบอยู่บนปลายดาบ รู้สึกเจ็บปวดทรมานเสมือนถูกแล่เนื้อเถือหนังก็ไม่ปาน

โพรงหินนั้นมืดสลัว อากาศอับชื้นโชยมาปะทะใบหน้า

มีคนนั่งอยู่บนแผ่นหินครามที่ปากโพรงหิน มือกุมหน้าอกพลางร้องโอดครวญ

แสงแดดฤดูใบไม้ร่วงในช่วงบ่ายถูกต้นไม้ที่สูงชะลูดบดบังเอาไว้ จึงแยกได้แค่ว่าเป็นโครงร่างของบุรุษผู้หนึ่งเท่านั้น

ชุนหว่านมิได้เอื้อนเอ่ยคำได กำผ้าเช็ดหน้าในมือเอาไว้แน่น

ชุ่ยหวนกลับตกใจเป็นอย่างยิ่ง รีบสาวเท้าไปข้างหน้า ตะโกนถามว่า “เป็นผู้ใดที่อยู่ตรงนั้น”

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมา พอจะเห็นได้อย่างเลือนรางว่ามีรูปลักษณ์หล่อเหลา

“คะ…คุณชายใหญ่สวี่นี่เอง!” ชุ่ยหวนรู้สึกโล่งใจราวกับได้ปลดหินหนักอึ้งในใจออกไป ก้าวไปยอบกายทำความเคารพ

ทั้งร่างของเฉิงสวี่อวลไปด้วยกลิ่นเหล้า นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างมึนงง ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบใดๆ แม้แต่น้อย เสมือนเป็นรูปปั้นคนรูปหนึ่งก็ไม่ปาน

ชุ่ยหวนก้าวเข้าไปอีกสองสามก้าว แล้วเอ่ยถามเสียงอบอุ่นว่า “คุณชายใหญ่สวี่ เหตุใดท่านถึงมานั่งอยู่ที่นี่ตามลำพังเจ้าคะ บ่าวข้างกายของท่านเล่า?”

เฉิงสวี่มองนางด้วยสีหน้างงงวย

ชุ่ยหวนถอนหายใจ หมุนกายกล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “คุณหนูรอง คุณชายใหญ่สวี่ดื่มสุรามากเกินไปเสียแล้วเจ้าค่ะ อาจเป็นเพราะกลัวจะเสียกิริยาต่อหน้าผู้ใหญ่ ก็เลยมาซ่อนตัวอยู่ที่นี่คนเดียว ท่านช่วยเฝ้าดูคุณชายใหญ่สวี่อยู่ตรงนี้ได้หรือไม่ ข้าจะไปเรียกฮวนสี่มาเจ้าค่ะ”

ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี โจวเสาจิ่นอยากจะหัวเราะออกมายิ่งนัก

ชาติที่แล้ว นางก็เป็นเช่นนี้ ดังนั้นจึงเดินเข้าไปอย่างโง่งม ยังเอ่ยถามเขาว่าต้องการให้นางช่วยเรียกบ่าวข้างกายมาให้เขาหรือไม่อีกด้วย…ทว่าเฉิงสวี่กลับกอดรัดนางเอาไว้…ไม่ว่านางจะร้องไห้ อ้อนวอน หรือก่นด่าอย่างไรก็ตาม…

จากนั้นเฉิงเจียก็กลับมา กรีดร้องเสียงดัง…แล้วผู้คนมากมายก็กรูกันเข้ามา!

เพียงแต่ในชีวิตนี้ ผู้ที่พานางมากลับเปลี่ยนเป็นชุ่ยหวนก็เท่านั้น

โจวเสาจิ่นรู้สึกเพียงว่าช่างน่าขันยิ่งนัก

นางเดินเข้าไปหาเฉิงสวี่อย่างช้าๆ

หัวใจของนางราวกับจุ่มอยู่ในน้ำที่เย็นเฉียบ เย็นยะเยือกจากขั้วหัวใจจนถึงปลายนิ้ว

เฉิงสวี่คว้ามือของนางเอาไว้

กลิ่นเหล้าโชยมา

โจวเสาจิ่นตกใจ ร้อง “ว้าย” ออกมาครั้งหนึ่ง

“คุณหนูรอง!” ชุ่ยหวนที่ยังเดินไปได้ไม่ไกลวิ่งกลับมาอย่างเป็นกังวล

เพียงแต่ไม่ทันรอให้นางเข้ามาใกล้ เฉิงสวี่ก็ดึงโจวเสาจิ่นเข้าสู่อ้อมอก ปากยังพึมพำกล่าวด้วยว่า “เจ้าคือเสาจิ่น ข้ารู้ ว่าเจ้าคือเสาจิ่น…”

โจวเสาจิ่นไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวเท่ากับในชาติที่แล้ว นอกจากนั้นยังใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ผลักเขาออกไปอย่างรังเกียจเป็นที่สุด

ถึงกระนั้น แขนของนางก็ยังถูกเฉิงสวี่จับเอาไว้แน่น อย่างไรก็สลัดไม่หลุด

ชุนหว่านพุ่งเข้าไป ยืนขวางระหว่างเฉิงสวี่กับโจวเสาจิ่นเอาไว้

โจวเสาจิ่นถึงได้รู้สึกเจ็บแปลบที่แขนเสมือนถูกบิดจนหักไปแล้วก็ไม่ปาน

ไม่นานดวงตาของนางก็ขึ้นสีแดงก่ำ พูดเสียงแหบแห้งว่า “เฉิงสวี่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่”

เกิดมาเป็นคนสองชาติภพ ประโยคนี้คอยว่ายวนเวียนอยู่ในใจของนางมาเนิ่นนาน และนางก็ยังไม่ได้คำตอบแต่อย่างใด

เฉิงสวี่ชะงักงัน

มีคนพุ่งตัวเข้ามา ชกหน้าเฉิงสวี่ไปหนึ่งหมัด พร้อมกับตะโกนลั่นว่า “ไอ้สารเลว!”

เฉิงสวี่ถอยหลังไปอย่างซวนเซ แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือของโจวเสาจิ่น พาให้โจวเสาจิ่นเกือบล้มลงในอ้อมกอดของเขา

ผู้ที่โผล่มาโอบกอดโจวเสาจิ่นไว้ในอ้อมแขนอย่างว่องไว แล้วถีบเฉิงสวี่ครั้งหนึ่ง

เฉิงสวี่ร้อง “โอ๊ย” เสียงหนึ่ง ใช้มือป้องกันหน้าอก ถึงได้จึงปล่อยโจวเสาจิ่นไป

โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าร่ายกายของตนชาไปครึ่งร่างแล้ว จึงหลบเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของคนที่เข้ามาช่วยอย่างห้ามไม่อยู่ ร้องขึ้นเสียงหนึ่งว่า “จี๋อิ๋ง”

………………………………………………………………….

[1] เตียงเตา คือ เตียงที่ก่อด้วยอิฐ มีเตาไฟอยู่ใต้เตียงเพื่อให้ความอบอุ่นในฤดูหนาว เป็นที่นิยมใช้กันทางตอนเหนือของจีน