ตอนที่ 3.4 พิธีสวดภาวนา (4)

หนทางรอดของนักบุญหญิงตัวปลอม

พิธีสุดท้ายของพิธีสวดภาวนาวันแรกก็จบลงทั้งอย่างนั้น

คนที่ตะโกนเรียกอีเบลลีน่าว่าโสเภณีจนทำให้เกิดความวุ่นวายถูกหน่วยอัศวินแห่งวิหารจับตัวไปขังไว้ที่คุกใต้ดินทั้งหมดแล้ว เหล่านักบวชกล่าวว่าสุดท้ายเรื่องที่กังวลก็เกิดขึ้นพร้อมกับถอนหายใจด้วยสีหน้าหม่นหมอง แม้ฉันไม่ตั้งใจฟังแต่เสียงของพวกเขาก็ยังคงเข้ามาในหูของฉันที่อยู่ใต้พุ่มไม้

“คิดไว้แล้วว่าเรื่องจะต้องกลายเป็นแบบนี้!”

“ตอนนี้ข่าวลือทุเรศพวกนั้นคงจะเป็นที่กล่าวถึงไปทั่วแผ่นดินภายในหนึ่งเดือนนี้แน่”

“ชาวบ้านจะคิดว่าวิหารหลวงของพวกเราเป็นตัวอะไร! เกิดเรื่องน่าอับอายนี้ได้อย่างไร น่าอับอายอะไรเช่นนี้!”

เสียงของเหล่านักบวชดังขึ้นเรื่อยๆ ตอนนั้นเองมีใครบางคนเอ่ยขึ้น

“จริงๆ เลย ทำไมพวกเราต้องมากังวลเรื่องพวกนี้ด้วย ทั้งหมดนี้มันก็เป็นเพราะท่านนักบุญหญิงมิใช่หรือ”

“ถูกต้อง หลังจากสร้างเรื่องแล้วสลบไปคราวนั้น ข้าอุตส่าห์คิดว่าพอฟื้นขึ้นมาแล้วจะคิดได้ แต่ที่ไหนได้”

สนทนากันอยู่สักพัก พวกเขาก็พึมพำเสียงเบาคล้ายว่าเบื่อที่จะซุบซิบเกี่ยวกับอีเบลลีน่าแล้ว

“ถูกเรียกว่าเป็นโสเภณีของวิหารหลวงอย่างนั้นหรือ…ตอนนี้ข้าเองก็ไม่รู้ด้วยแล้ว ขอตัวไปเตรียมพิธีสวดภาวนาที่เหลือในวันพรุ่งนี้ก่อน”

ไม่นานเหล่านักบวชที่นั่งแลกเปลี่ยนบทสนทนากันก็ลุกจากที่นั่งไป สวนจึงกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง

พอทุกคนจากไป หลังจากตรวจสอบแล้วว่าไม่มีใครมาอีก ฉันก็ยกตัวขึ้นแล้วนอนบนม้านั่ง เส้นผมที่เปียกชุ่มทิ้งตัวลงด้านล่าง เมื่อหยิบขึ้นมาใกล้จมูกก็ได้กลิ่นดอกไม้ที่หอมละมุน ถึงตอนนี้จะไม่ได้กลิ่นไข่เน่าอีกต่อไปแล้ว แต่กลิ่นที่ฉันได้กลิ่นในพิธีสุดท้ายคล้ายยังคงอบอวลอยู่ที่จมูกตอนนี้

“เหนื่อยจัง…”

ฉันบ่นพึมพำออกมาโดยไม่รู้ตัว ระหว่างวันมีเรื่องมากมายเกิดขึ้น คืนก่อนหน้าก็นอนไม่หลับแถมยังต้องตื่นตั้งแต่เช้ามืด และอยู่ร่วมพิธีสวดภาวนาตลอดทั้งวัน ทว่าเรื่องที่ทำให้ฉันรู้สึกเหนื่อยที่สุดคงไม่พ้นเรื่องที่เกิดขึ้นในพิธีสุดท้าย

‘ไม่คิดเลยว่าราธบันจะยังคุกเข่าให้ฉันอีก’

หลังจากกลับเข้าห้อง เขาตรงเข้ามาคุกเข่าหนึ่งข้างแล้วก้มหัวให้ฉัน

“ข้าทำตามหน้าที่ไม่สำเร็จ ขอท่านโปรดลงโทษด้วย”

แล้วฉันก็เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ เขาถึงคุกเข่าลงไป วันนี้ราธบันคือผู้ที่รับหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของฉัน แต่ว่าฉันกลับโดนปาไข่ต่อหน้าคนอื่น

“นั่นไม่ใช่ความรับผิดชอบของเจ้า เซอร์ราธบัน นั่นเป็นความผิดของข้าที่สั่งให้เจ้าไปทำงานอื่น”

หากฉันไม่สั่งให้ราธบันไปพาตัวชายชราผู้นั้นมา เขาจะต้องป้องกันไข่ไก่ได้อย่างไม่มีปัญหาแน่ ฉันคิดแบบนั้นพลางเอ่ยปากให้เขาลุกขึ้น แต่เขากลับไม่ขยับตัว

“ไม่ว่าเพราะด้วยเหตุใด การที่ท่านนักบุญหญิงได้รับบาดเจ็บก็คือความรับผิดชอบของข้า”

ท่าทีของเขามุ่งมั่น ต่อให้ไม่มีใครถามหาความรับผิดชอบจากเขา เขาก็จะไม่ยอมลุกขึ้น

“…เข้าใจแล้ว ข้าจะให้เจ้ารับผิดชอบต่อความผิดพลาดในการอารักขา ทว่าไม่ใช่ตอนนี้ พรุ่งนี้เจ้าก็รับหน้าที่เหมือนเดิมจนกว่าจะจบพิธีสวดภาวนาด้วย”

“แต่ว่า…!”

“นี่คือคำสั่ง เจ้าออกไปได้แล้ว”

เท่ากับความมุ่งมั่นของเขา ฉันก็ไม่ยอมถอยให้เช่นกัน ไม่ว่าเขาจะต้องรับผิดชอบหรือไม่ ฉันก็ยังไม่มีความตั้งใจจะพูดอะไรตอนนี้ ฉันยังไม่มีอารมณ์คิดอะไรทั้งนั้น

พอฉันบอกว่าคือคำสั่ง เขาก็ถอยหลังออกไปอย่างไม่เต็มใจ

“ทีนี้จะทำยังไงดี…”

ฉันมองดูท้องฟ้ายามค่ำคืนและบ่นพึมพำ แต่ก็ยังไม่มีความคิดที่ดีพอ ฉันพยายามค้นหาการลงโทษที่เบาที่สุดในความทรงจำของอีเบลลีน่าแล้วแต่สิ่งนึกออกมีแต่บทลงโทษที่เลวร้ายทั้งหมด

“ไม่รู้แล้ว”

เอาเป็นว่าบทลงโทษของราธบันต้องค่อยๆ คิดไปก่อน มีอีกคำถามที่วนเวียนอยู่ในหัวของฉันพอๆ กับปัญหานี้ ไม่สิ อาจจะมากกว่าก็ได้

‘ผู้ชายคนนั้นเป็นใครกัน?’

ชายคนที่ปลอมตัวเป็นคนแก่มาขอให้ฉันประสาทพร

‘ทำไปเพื่ออะไรกันแน่?’

ฉันจับผมมาดูอีกครั้ง มองดูส่วนที่ชายผู้นั้นจุมพิตลงไปสักพักและจมดิ่งกับความคิดแต่ก็นึกอะไรไม่ออกเลย

‘จะรอวันที่ได้พบกันอีกอย่างนั้นเหรอ…’

เสียงของชายผู้นั้นมีอำนาจแฝงอยู่ ฉันรับรู้ได้โดยสัญชาติญาณ ชายผู้นั้นตั้งใจจะพบฉันอีกครั้งแน่นอน

แม้ฉันจะสงสัยในตัวตนของเขาแต่ก็ไม่ได้รู้สึกกังวล เพราะสายตาที่ฝ่ายนั้นใช้มองฉันมีเพียงความสนุกสนาน ไม่รู้สึกถึงความเป็นศัตรูเลย

‘ถ้าจะบอกว่าอันตราย คนที่ยืนอยู่รอบกายเขายังอันตรายกว่าเสียอีก’

จู่ๆ ฉันก็นึกถึงคำที่คนพวกนั้นพูดขึ้นมาแล้วรู้สึกอยากร้องไห้

‘ทำไมอีเบลลีน่าถึงเป็นโสเภณีล่ะ?’

ถ้าเป็นโสเภณีก็ต้องได้เงินจากการขายเรือนร่างสิ แต่อีเบลลีน่าตรงกันข้ามเลยไม่ใช่หรือไง นางโอบกอดผู้ชายที่เข้ามาหาและมอบเงินมอบทรัพย์สมบัติให้พวกเขา แน่นอนว่านั่นไม่ใช่การกระทำที่ดีแต่ฉันก็อดรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมขึ้นมา

“ต้องเตรียมตัวสำหรับพิธีสวดภาวนาพรุ่งนี้แท้ๆ…”

พอได้มานอนใต้สายลมเย็นสบายยามค่ำคืนหลังจากอาบน้ำแบบนี้ เปลือกตาก็ปิดลงเอง ร่างกายของฉันไม่ยอมขยับง่ายๆ ทั้งที่ควรจะใช้ทางเดินลับเพื่อกลับห้องได้แล้ว

‘อยู่ต่ออีกหน่อยแล้วค่อยกลับแล้วกัน’

สิ้นความคิดนั้น ฉันก็เข้าสู่ห้วงนิทราไปอย่างรวดเร็ว

ตอนที่ลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็พบว่าฉันนอนอยู่บนที่นอนในห้องแล้ว

***

‘เดี๋ยวนะ? กลับมาได้ยังไง?’

ฉันกะพริบตาซ้ำๆ พลางปรับสายตามองรูปวาดที่อยู่บนเพดานห้อง ทำแบบนั้นอยู่หลายครั้งก็ยังเห็นภาพเดิม ดูเหมือนจะไม่ใช่ภาพหลอน

‘ไม่มีความทรงจำตอนกลับมาเลยนะ?’

จำได้ว่าความทรงจำสุดท้ายคือฉันนอนรับลมอยู่บนม้านั่งแล้วก็หลับไป แล้วฉันกลับมาที่ห้องตอนไหน เมื่อไหร่กัน ฉันค่อยๆ ลุกขึ้นจากที่นอนแล้วพิจารณาร่างกายของตัวเอง ฉันยังอยู่ในชุดตัวเดิมใต้ผ้าห่ม ฉันคลำผ้าห่มแล้วบ่นพึมพำออกมาอย่างไม่รู้ตัว

“ไม่เหมือนกันนะ?”

ฉันมีความทรงจำเหมือนคว้าอะไรบางอย่างไว้ตอนสะลึมสะลือ บางทีฉันคงคว้าไว้เพราะมันนุ่มและอุ่นมากจนทำให้ไม่อยากปล่อยมือ ตอนแรกฉันคิดว่ามันคือผ้าห่มแต่สัมผัสหยาบๆ นี้แตกต่างจากความรู้สึกในความทรงจำของฉันโดยสิ้นเชิง

‘คว้าอะไรไว้กันแน่’

ขณะคิดอยู่เช่นนั้น เสียงของนักบวชรับใช้ก็ดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงเคาะประตูด้านนอก

“ท่านนักบุญหญิง ข้าเข้าไปได้หรือไม่”

“เข้ามาได้”

ฉันตอบกลับไป ไม่นานประตูก็เปิดออกแล้วพวกเขาก็เดินเข้ามา

“ขอโทษขอรับ ข้าไม่รู้ว่าท่านเพิ่งตื่นนอน”

พวกเขาก้มหัวลงอย่างทำตัวไม่ถูกเมื่อเห็นสภาพที่ไม่น่ามองของฉัน

“ไม่เป็นไร ตอนนี้สาย…!”

“พิธีที่ท่านนักบุญหญิงต้องเข้าร่วมยังอีกสักพักขอรับ ค่อยๆ เตรียมตัวได้ไม่เป็นไร”

นึกออกแล้ว โชคดีที่พิธีที่ฉันต้องเข้าร่วมในวันที่สองของพิธีสวดภาวนาเป็นช่วงบ่าย

“สีหน้าดูดีกว่าเมื่อวานมากเลย ดูเหมือนเมื่อคืนท่านคงจะหลับสบาย”

จริงเหรอ?

พอได้ยินแบบนั้นก็ดูเหมือนจะสบายตัวขึ้นจริงๆ ตอนที่นอนอยู่บนม้านั่งยังรู้สึกปวดเนื้อปวดตัวอยู่บ้างแต่ตอนนี้พอลองบิดขี้เกียจดูแล้วกลับไม่พบว่ามีตรงไหนที่ปวดเป็นพิเศษ

‘ไม่มีทางที่ใครจะใช้พลังศักดิ์สิทธิ์กับฉันหรอก’

อันที่จริง ต่อให้นักบวชคนอื่นใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ของตนกับร่างนักบุญหญิงก็ไม่มีประโยชน์ อาจจะช่วยให้ดีขึ้นเล็กน้อยถ้าใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ปริมาณมากอยู่เป็นเวลานาน แต่ใครจะทำเรื่องที่ไร้ประโยชน์แบบนั้นกัน ระหว่างที่คิดแบบนั้น ฉันก็จำได้เลือนลางว่ากลับมาที่เตียงนอนอย่างไร

“เมื่อคืนมีใครพาข้ากลับมาที่ห้องหรือไม่”

“ขอรับ? เมื่อคืนหรือขอรับ?”

“ข้ามั่นใจว่าหลับอยู่ข้างนอก…”

“เป็นไปไม่ได้ เมื่อวานหลังจากท่านนักบุญเข้านอนแล้วก็ไม่ได้ออกไปไหน…”

เสียงของนักบวชเริ่มเบาลง สายตานั้นราวกับสงสัยว่าฉันออกไปพบใครด้านนอกมาอีกแล้ว ฉันส่ายหัวอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นสีหน้าของเขา

“ไม่ใช่ ข้าคงจะฝันไป อย่าใส่ใจเลย”

พอฉันพูดไปแบบนั้น สีหน้าของนักบวชก็เปลี่ยนเป็นไม่ไว้ใจ แต่ไม่นานเขาก็ปรับสีหน้าเป็นปกติเมื่อได้ยินนักบวชคนอื่นที่ตามเข้ามาบอกให้ไปเตรียมตัวสำหรับพิธีวันนี้ เขาจึงเดินตามคนพวกนั้นไปห้องด้านข้าง

“เฮ้อ…”

หลังจากถอนหายใจด้วยความโล่งใจแล้วฉันก็มองไปที่เตียง อย่างน้อยดูเหมือนว่าจะไม่มีใครพาฉันกลับเข้ามา เพราะไม่มีทางที่เหล่านักบวชที่เฝ้าอยู่หน้าห้องตลอดเวลาจะไม่เห็น ถ้าไม่มีใครรู้เรื่องที่ฉันออกไปด้านนอก แสดงว่าฉันกลับเข้ามาด้วยทางลับที่อยู่ด้านในห้องแน่นอน

‘คงเป็นฉันที่เดินกลับมาด้วยตัวเอง’

ฉันไม่คิดว่าจะมีใครคนอื่นที่รู้เรื่องทางลับของที่นี่อีก อีกทั้งประตูที่เชื่อมกับทางลับก็มีแค่ฉันคนเดียวที่สามารถเปิดมันออกได้

‘มีสมาธิกับงานวันนี้ก่อนดีกว่า’

คิดได้แบบนั้นแล้วฉันก็ตบแก้มตัวเองเบาๆ แต่ไม่รู้เพราะอะไรความรู้สึกที่หลงเหลืออยู่ในมือถึงยังไม่หายไปง่ายๆ

มีกำหนดการให้ฉันเข้าร่วมพิธีในตอนบ่ายแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะได้นั่งรอเฉยๆ หลังจากแต่งหน้าทำผมให้พร้อมที่จะออกไปทุกเมื่อ เหลือเพียงสวมชุดพิธีการเท่านั้น ฉันก็มุ่งหน้าไปที่ห้องทำงานพร้อมกับเหล่านักบวช ที่นั่นเป็นสถานที่ที่ฉันเคยมาสองถึงสามครั้งหลังจากเข้ามาในร่างนี้ ฉันเปิดประตูก้าวเข้าไปด้านใน ภาพที่เห็นแตกต่างจากในความทรงจำของฉันมากจนฉันต้องหยุดฝีเท้าลงและกล่าว

“…ของพวกนี้คืออะไรกัน”

ที่นี่คือห้องทำงานหรือห้องเก็บของกันแน่ คราวก่อนที่มาจำได้ว่าเป็นห้องที่กว้างและใหญ่ซึ่งได้รับการจัดระเบียบอย่างดี แต่ตอนนี้กลับมีสิ่งของวางกองพะเนินกันจนเกือบถึงเพดานแล้ว แม้บอกว่าเป็นสิ่งของแต่นั่นก็ไม่ใช่ของที่คล้ายสัมภาระ ของที่วางกองอยู่บนโต๊ะและพื้น แค่ดูจากภายนอกก็เห็นว่าเป็นกล่องที่ประดับไปด้วยของตกแต่งหรูหราราวกับบอกว่าพวกมันเป็นของมีค่า

ทันทีที่ฉันยืนหยุดนิ่งตกตะลึงกับของที่อยู่ทั่วทั้งห้อง เหล่านักบวชที่เดินตามมาก็เริ่มอธิบายให้ฟัง

“หลายประเทศส่งเครื่องบรรณาการมาให้พิธีสวดภาวนายิ่งใหญ่อลังการกว่าปีที่แล้วมากเลยขอรับ หลังจากจบพิธีสวดภาวนาจะมีเวลาที่ให้คณะราชทูตของแต่ละประเทศมาพบ ท่านลองเดินดูสักรอบเถิด”

พอฟังคำของนักบวชฉันจึงเข้าใจว่าของพวกนี้คืออะไร เนื้อหาในนิยายก็มีพูดถึงเรื่องนี้อยู่บ้าง พูดถึงเครื่องบรรณาการของพิธีสวดภาวนา

นี่เป็นธรรมเนียมที่มีมานานมากแล้ว

เพราะการดำรงอยู่ของนักบุญหญิง ทวีปนี้จึงแคล้วคลาดปลอดภัยจากปีศาจ ทว่าก็ไม่ใช่ทุกที่ที่ปลอดภัย ยิ่งอยู่ห่างไกลจากวิหารหลวงมากเท่าไร ที่แห่งนั้นก็จะยิ่งเปราะบางเนื่องจากการคุกคามของปีศาจ ดังนั้นทางวิหารหลวงจึงส่งอัศวินหรือนักบวชระดับสูงไปที่นั่นและดูแลผู้คนให้ปลอดภัยจากปีศาจ มีอยู่บ้างครั้งคราวที่นักบุญหญิงจะเดินทางไปด้วยตนเอง

ประเทศเหล่านั้นส่งของขวัญมาให้วิหารหลวงตอนที่พิธีสวดภาวนาเริ่มขึ้นก็เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา สิ่งเหล่านั้นก็คือเครื่องบรรณาการของพิธีสวดภาวนานั่นเอง

เมื่อเวลาผ่านไป การส่งของมาให้จึงกลายมาเป็นธรรมเนียมปฏิบัติไปทั่วแผ่นดิน ดังนั้นเมื่อถึงพิธีสวดภาวนา ไม่ว่าประเทศใดก็ต้องส่งเครื่องบรรณาการมาให้วิหารหลวง

และเครื่องบรรณาการแบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ๆ

เครื่องบรรณาการสำหรับผู้คนที่มารวมตัวดุจก้อนเมฆกันอยู่ภายนอก เครื่องบรรณาธิการประเภทนี้ส่วนใหญ่จะเป็นของที่ใช้เป็นอาหารเพื่อแจกจ่ายให้กับผู้ที่พักอยู่ที่นี่ตลอดสองวัน หรือหากไม่ใช่ของจำพวกอาหาร ก็จะเป็นสมุนไพรหรือไม่ก็ผลไม้จำนวนมาก

ส่วนเครื่องบรรณาการอีกประเภท เป็นเครื่องบรรณาการที่ส่งมาให้นักบุญหญิงผู้เป็นเจ้านายของวิหารหลวง

‘ส่งมากันเยอะเลย’

ในหมู่ของพวกเขามีประเทศที่ส่งของมาให้มากเป็นพิเศษด้วย ยิ่งเป็นประเทศเขตทุรกันดารที่รอคอยความช่วยเหลือจากวิหารมากเท่าไร ก็ยิ่งส่งเครื่องบรรณาการมามากเท่านั้น เพื่อสื่อว่าให้ช่วยส่งอัศวินหรือนักบวชระดับสูงไปยังประเทศของพวกตนให้บ่อยขึ้น

‘เห็นว่าปกติก็ไม่ได้ส่งมามากมายถึงขนาดนี้…’

ในหนังสือกล่าวไว้ว่าหลังจากที่อีเบลลีน่ากลายเป็นนักบุญหญิง จำนวนของเครื่องบรรณาการที่ส่งมาก็เพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว สาเหตุเพราะอีเบลลีน่าส่งอัศวินและนักบวชระดับสูงไปให้กับประเทศที่ส่งเครื่องบรรณาการมาให้เป็นจำนวนมากและมีราคาแพงมากกว่าอย่างไม่ละอายใจ

แม้เริ่มแรกจะยังไม่แน่ใจว่านักบุญหญิงเลือกปฏิบัติกับแต่ละประเทศตามจำนวนของเครื่องบรรณาการที่ส่งไปให้ แต่เมื่อผ่านไปปีแล้วปีเล่าสิ่งนั้นก็ได้รับการยืนยัน การส่งเครื่องบรรณาการจึงกลายเป็นสงคราม

‘ผลลัพธ์ก็กลายเป็นแบบนี้แล’

หลังจากถอนหายใจออกมาสั้นๆ ฉันก็หยิบกล่องไม้ขนาดเล็กที่อยู่ไม่ไกลขึ้นมา บนกล่องใบนั้นมีกระดาษที่เขียนคำว่า ‘ราลูซ’ ติดไว้ ฉันทบทวนในความทรงจำแล้วพบว่าเป็นประเทศขนาดเล็กที่อยู่ห่างไกลจากวิหารหลวงมาก พวกเขาส่งอะไรมาให้กันนะ

“นี่คือ…”

ด้วยเพราะกล่องมีขนาดเล็กฉันจึงเปิดออกอย่างไม่คิดอะไร ทว่าในนั้นกลับมีอัญมณีสีแดงขนาดเท่ากำปั้นกำลังส่องประกายแพรวพราวอยู่ แม้ฉันจะไม่มีความรู้ด้านนี้เลยแต่ก็ยังรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณ

‘แพงโคตร!’

ฉันค่อยๆ วางมันลงด้วยมือสั่นเทาอย่างระมัดระวังที่สุด จากนั้นก็หันไปมองอีกกล่องที่มีขนาดใหญ่กว่าเดิมเล็กน้อย เป็นกล่องไม้สีดำแข็งแรงซึ่งถูกแกะสลักอย่างประณีตมากและมีกลิ่นหอม ฉันรู้สึกได้ตั้งแต่ก่อนจะเปิดมันออก ของที่อยู่ด้านในนี้จะต้องเป็นของที่อลังการยิ่งกว่าอัญมณีที่ได้เห็นในกล่องเมื่อครู่แน่นอน

ตอนที่คิดเช่นนั้นและเปิดฝากล่องไม้ออก ฉันกะพริบตาซ้ำๆ และหลงลืมคำพูดไปทันที

“ว้าว…”

ทำได้เพียงเปล่งอุทานออกมาอย่างจริงใจ เพชรอย่างนั้นหรือ? ในนั้นมีสร้อยคอและต่างหูที่ฝังอัญมณีสีใสหลายร้อยเม็ดถูกจัดเป็นเซตวางอยู่ เป็นของที่ทำให้ฉันนึกถึงพิพิธภัณฑ์ในประเทศห่างไกลที่ฉันเคยเห็นในหนังสือ

หลังจากปิดกล่องลงฉันก็รีบเปิดกล่องอื่นๆ ดูทันที ทุกกล่องที่เปิดออกล้วนมีอัญมณีและเครื่องประดับตกแต่ง บางกล่องก็มีทองคำแท่งและเหรียญกษาปณ์ทองด้วย

“ที่นี่ไม่ใช่ร้านค้าอัญมณีเสียหน่อย…”

ยังพอเข้าใจได้หากพวกเขาส่งแผ่นทองที่สลักบทคำสอนจากพระคัมภีร์หรือรูปวาดผลงานเลี่ยมกรอบทองของนักบุญหญิงในอดีตมาให้ แต่ว่าเครื่องบรรณาการทั้งหมดที่มอบให้ล้วนเหมือนกันคือ…

‘มอบให้คนเพียงคนเดียว’

มีแต่สิ่งของที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับความศรัทธาในพระเจ้าเลย มีแต่สิ่งของที่ใครเห็นก็รู้ว่าทำขึ้นมาเพื่อนักบุญหญิงเพียงผู้เดียวเท่านั้น

นักบวชผู้หนึ่งยืนเฝ้ามองฉันเปิดกล่องคล้ายจิตวิญญาณหลุดลอย เขาก้มหัวพลางกล่าว

“ปีนี้ข้าจะจัดการของพวกนี้แล้วส่งไปให้เรียบร้อยตามที่ท่านได้เคยกล่าวไว้”

“…ตามที่ข้าได้เคยพูดไว้?”

พอได้ยินคำ ฉันก็รีบทบทวนความทรงจำของอีเบลลีน่า

‘พระเจ้าช่วย’

ความทรงจำของพิธีสวดภาวนาเมื่อปีที่แล้วพลันแล่นเข้ามา ในความทรงจำนั้น อีเบลลีน่ากำลังโยนเครื่องบรรณาการที่เปี่ยมไปด้วยจิตศรัทธาทิ้งไปนอกหน้าต่าง สิ่งที่นางโยนคือพรมแขวนผนังที่เต็มไปด้วยบทคำสอนจากพระคัมภีร์ซึ่งสลักขึ้นตามแบบวิธีของคนที่อาศัยอยู่ในป่าลึก

พวกเขาอาศัยอยู่ในสถานที่อันตราย ต้องหวาดกลัวจากการโจมตีของปีศาจ การจะกินอาหารให้ตรงเวลาในแต่ละวันยังเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก แต่กลับอุทิศตนทำของสิ่งนี้ขึ้นด้วยจิตศรัทธาในพระเจ้า

“ใครมันกล้าส่งขยะพวกนี้มาเป็นเครื่องบรรณาการกัน”

อีเบลลีน่ากล่าวเช่นนั้นพลางโยนเครื่องบรรณาการทิ้งลงในสระบัว ทั้งยังไม่ส่งอัศวินรวมถึงนักบวชใดๆ ไปให้ประเทศที่ส่งของพวกนั้นมาด้วย

ประเทศนั้นก็คือ ราลูซ

ประเทศที่ฉันเปิดกล่องที่ส่งมาให้เป็นกล่องแรก