ภายในปากของฉันรู้สึกฝาดเฝื่อนคล้ายกำลังเคี้ยวทราย ตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา ราลูซได้รับความเสียหายอย่างมากเพราะถูกโจมตีจากปีศาจบ่อยครั้ง ดังนั้นปีนี้ถึงได้…
‘…เป็นของที่ส่งมาเพื่อขอให้ช่วยเหลือพวกเขา’
ฉันปิดกล่องลงด้วยความรู้สึกขมขื่นต่างจากเมื่อครู่ แล้วดันไปข้างๆ ควรจัดการของพวกนี้อย่างไรดี อย่างแรกเลยหลังจากจบพิธีสวดภาวนา ฉันจะไปพบคณะราชทูตที่มาจากราลูซแล้วให้คำสัญญาว่าจะส่งอัศวินกับพวกนักบวชไปให้
‘ต้องคืนเครื่องบรรณาการพวกนั้นกลับไปด้วย’
ราลูซไม่ได้เป็นประเทศที่ร่ำรวยขนาดนั้น พวกเขาจะลำบากขนาดไหนกันที่ต้องเตรียมของมาขนาดนี้ ฉันด่าอีเบลลีน่าในใจพร้อมกับขยับฝีเท้า
“แล้วนี่…”
จากนั้นฉันก็เห็นเครื่องบรรณาการกองพะเนินที่ทำให้เครื่องบรรณาการจากราลูซเมื่อครู่นี้ดูเหมือนเป็นการล้อเล่นของเด็กๆ
‘นี่ของที่ไหนอีกเนี่ย?’
มองหมุนดูของรอบข้างแล้ว ดูเหมือนประเทศนี้จะส่งของมาให้มากที่สุด ฉันหยิบกล่องที่วางอยู่ใกล้มือพลางนึกถึงชื่อประเทศมหาอำนาจบนทวีปนี้ แล้วมองอย่างกังขา
‘เป็นไปไม่ได้’
ในหนังสือมีเขียนไว้ชัดเจน ทุกประเทศส่งเครื่องบรรณาการมาให้ เว้นแต่จักรวรรดิเท่านั้นที่ไม่ได้ส่ง
ทว่ากล่องที่ฉันถืออยู่ในมือตอนนี้ กลับมีกระดาษที่เขียนว่า ‘จักรวรรดิอาเพเลียส’ ติดอยู่
‘นี่มันจะเป็นไปได้ยังไง?’
ในหนังสือจักรวรรดิไม่ได้ส่งอะไรมาให้นักบุญหญิงเลย พวกเขาเลือกที่จะส่งเครื่องบรรณาการที่ดีที่สุดและมากกว่าประเทศใดๆ มาให้ผู้คนที่มาเข้าร่วมพิธีสวดภาวนาแทน ด้วยเหตุนี้ผู้คนจึงยกย่องสรรเสริญจักรวรรดิจนปากเปียกปากแฉะ หรือพูดให้ชัดคือสรรเสริญองค์ชายรัชทายาทเลออนที่มาเยือนถึงวิหารหลวงด้วยตนเอง
‘แน่นอนว่าอีเบลลีน่าโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเลย’
ดังนั้นหลังจากจบพิธีสวดภาวนา นางจึงไม่แม้แต่ไปพบคณะราชทูตของจักรวรรดิ คณะราชทูตก็นำเรื่องที่พวกตนประสบไปทูลกับองค์ชายรัชทายาทเลออนตามจริง ทำให้องค์ชายรัชทายาทยิ่งเกลียดชังอีเบลลีน่ามากกว่าเดิม
แต่ต่อให้ไม่ใช่เพราะเหตุการณ์นี้ ความสัมพันธ์ระหว่างจักรวรรดิและวิหารหลวงก็คลุมเครือเป็นอย่างมาก
จักรวรรดิอาเพเลียส เป็นประเทศที่สั่งสมอำนาจได้อย่างรวดเร็วหลังจากพิธีขึ้นครองราชย์เมื่อหลายสิบปีก่อนของจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน ในตอนนั้นที่นั่นยังไม่ถูกเรียกว่าจักรวรรดิด้วยซ้ำ นั่นเป็นชื่อที่ได้รับมาจากการที่องค์จักรพรรดิทุกพระองค์พิชิตสงครามมาได้
จักรวรรดิออกไปขยายอำนายอย่างเอิกเกริก จนในที่สุดก็นำหลายประเทศที่อยู่รอบวิหารหลวงมาอยู่ใต้อำนาจภายในเวลาเพียงไม่กี่สิบปี ด้วยเหตุนี้หลายประเทศที่มีพรมแดนติดกันจึงกลายเป็นอาณาเขตของจักรวรรดิทั้งหมด
ดังนั้นสำหรับจักรวรรดิแล้ว วิหารหลวงจึงเปรียบเสมือนศัตรู ใจจริงอยากจะนำกองทัพมากวาดล้างให้สิ้นซาก ทว่าวิหารหลวงเป็นสถานที่ที่ทุกประเทศและผู้คนบนทวีปนี้ให้ความเคารพและศรัทธา ดังนั้นจึงไม่อาจบุกโจมตีและทำให้จำนนเหมือนกับประเทศอื่นๆ ได้
ระหว่างนี้ จักรพรรดิองค์ปัจจุบันก็มอบอำนาจมากมายให้กับองค์ชายรัชทายาทเลออนผู้เป็นโอรสของเขา จักรพรรดิตรัสกับองค์ชายรัชทายาทเลออนอยู่บ่อยครั้ง
“ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องทำให้วิหารหลวงมาหมอบกราบแทบเท้าของจักรวรรดิเราให้ได้”
องค์ชายรัชทายาทผู้ยกย่องบิดาของตน เขาโค้งคำนับสุดตัวพร้อมกับลั่นคำสาบานว่าตนจะทำให้ได้ จากนั้นเขาก็เริ่มให้ความสนใจกับวิหารหลวงอย่างมาก
‘ระหว่างนั้นเองข่าวลือเกี่ยวกับอีริสก็แพร่สะพัดไปทั่ว…เขาจึงตั้งใจเข้าใกล้และใช้ประโยชน์จากอีริสเพื่อทำลายอีเบลลีน่า แต่กลับกลายเป็นว่าไปตกหลุมรักนางเข้าให้’
ในหนังสือ องค์ชายรัชทายาทถูกปีศาจทำร้ายและได้รับบาดเจ็บ ทั้งสองคนจึงได้พบกันเป็นครั้งแรกในตอนที่อีริสช่วยรักษาให้เขา เพราะไม่ทราบว่านั่นคือองค์ชายรัชทายาท อีริสจึงเข้าหาอย่างสนิทสนมและอยู่ดูแลจนกว่าเขาจะอาการดีขึ้น แต่หลังจากหายดีแล้ว องค์ชายรัชทายาทก็ไม่ยอมจากอีริสไป เป็นการพบกันตามแบบฉบับของนิยายโรแมนติกจริงๆ
นั่นเป็นตอนที่องค์ชายรัชทายาทเลออนเริ่มเคลื่อนไหวอย่างจริงจัง
‘หมายความว่าต้องผ่านไปก่อนหนึ่งปี เขาถึงจะออกจากจักรวรรดิและเริ่มเคลื่อนไหว’
ไม่ใช่คนที่บอกว่าจะพบก็พบได้ง่ายๆ เหมือนราธบัน
‘และก็ดูเหมือนการจะผูกสัมพันธ์กันก็เป็นเรื่องยากด้วย’
อย่าว่าแต่ผูกสัมพันธ์กันเลย ในสถานการณ์ที่วิหารหลวงและจักรวรรดิกำลังประจัญหน้ากันอยู่ตอนนี้ แค่ต่างฝ่ายไม่หยิบดาบขึ้นมาทันทีที่พบหน้าก็เป็นเรื่องน่ายินดีแล้ว
‘แต่ว่า…’
ฉันเบนสายตากลับไปมองทางเครื่องบรรณาการอีกครั้ง เมื่อพิจารณาของที่ส่งมาจากจักรวรรดิก็พบว่าไม่มีของชิ้นใดเลยที่ไม่หรูหรา อีกทั้งยังมีสิ่งของหลากหลายประเภท นอกจากของสำหรับนักบุญหญิงก็ยังมีรูปปั้นแกะสลักและรูปวาดที่สามารถวางไว้ในวิหารหลวงมากมายเช่นกัน
‘ของพวกนี้ไม่มีในนิยายนี่นา?’
ฉันมั่นใจว่าจักรวรรดิไม่ได้ส่งอะไรมาให้อีเบลลีน่าเลยจริงๆ มันควรจะเป็นแบบนั้น
จิตใจพลันหนักอึ้งเมื่อเห็นของที่วางกองอยู่ ทั้งพิธีสวดภาวนา ไหนจะยังเครื่องบรรณาการพวกนี้อีก
‘ทำไมถึงไม่เหมือนเนื้อหาในหนังสือล่ะ?’
ฉันนิ่วหน้าเมื่อมองไปยังเครื่องบรรณาการของจักรวรรดิ เหล่านักบวชกล่าวขึ้นว่า
“คณะราชทูตของจักรวรรดิกล่าวว่าต้องพบท่านนักบุญหญิงให้ได้หลังจากเสร็จสิ้นพิธีสวดภาวนา แม้ในอดีตพวกเขาจะปฏิเสธพิธีเข้าพบ แต่ถึงอย่างไรตอนนี้ก็ต้อง…”
“เข้าใจแล้ว”
“ขอรับ?”
“ข้าจะพบคณะราชทูตของจักรวรรดิก่อน เตรียมการให้พร้อมด้วย”
พูดจบ ฉันก็โบกมือ
“แล้วก็ห้ามให้ผู้ใดเข้ามาที่นี่จนกว่าข้าจะเรียกหา”
“ขอรับ”
พอเหล่านักบวชออกไปแล้ว ฉันถึงได้ค่อยๆ พิจารณาเครื่องบรรณาการพวกนั้น ของทั้งหมดล้วนเป็นเครื่องประดับและอัญมณีโออ่าสำหรับนักบุญหญิงเพียงคนเดียวเท่านั้น เห็นเช่นนี้แล้ว พวกเขาคงคิดว่าอีเบลลีน่าโลภมากจึงสั่งให้แต่ละประเทศนำของฟุ่มเฟือยมาถวาย แต่ฉันรู้ดี ความจริงแล้วอีเบลลีน่าไม่ได้สนใจของพวกนี้ขนาดนั้น
ลิ้นชักที่อยู่ในห้องของนาง มีอัญมณีมากมายเช่นนี้กองอยู่ไม่ต่างจากขยะไร้ค่า อีเบลลีน่าไม่ได้ลองสวมใส่ด้วยซ้ำ บางครั้งนางยังหยิบขึ้นมาส่งๆ แล้วบอกให้ชายหนุ่มที่นางนอนกอดด้วยยามค่ำคืนนำกลับไป
‘นางคงไม่สั่งให้พวกเขาถวายของพวกนี้เพราะเรื่องพวกนั้นหรอก’
เพราะหากเป็นเช่นนั้น ให้เหรียญกษาปณ์ทองยังง่ายกว่า แต่ฉันไม่รู้เลยว่าอีเบลลีน่าร้องขอของพวกนี้ไปเพื่ออะไร นั่นเป็นความทรงจำที่ฉันมองไม่เห็น
“ไม่ว่าอีเบลลีน่าคิดจะทำอะไรก็ตาม ฉันก็จะส่งของพวกนี้กลับไปให้หมด”
ทุกประเทศส่งของมามากเกินไป หากฉันรับของพวกนี้ไว้ก็มีแต่จะทำให้พวกเขาเกลียดชังวิหารหลวงมากขึ้น หรือให้ชัดคือเกลียดชังอีเบลลีน่า ไม่สิ ตอนนี้พวกเขาก็คงนินทากันสนุกปากอยู่แล้ว
หลังจากคัดแยกของที่ต้องส่งกลับไปสักพัก ฉันก็รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย จึงนั่งลงบนเก้าอี้
“มีจดหมายมาเยอะเหมือนกันนะเนี่ย”
มองไปบนโต๊ะหนังสือแล้วก็พบว่ามีจดหมายที่คณะราชทูตแต่ละประเทศส่งมาวางกองพะเนินอยู่เช่นกัน นี่เป็นจดหมายที่นางต้องอ่านและให้คำตอบแก่พวกเขาในตอนเข้าพบหลังพิธีสวดภาวนาจบ
‘ตำแหน่งนักบุญหญิงก็มีงานให้ทำเยอะกว่าที่คิดไว้อีกนะ’
ตอนเข้าร่างมาตอนแรก เคยคิดว่าแค่ต้องสวดภาวนานิดหน่อยก็คงพอแล้ว แต่ไม่รู้เพราะอะไรฉันกลับรู้สึกเหมือนทำงานทั้งวันทั้งคืน
ระหว่างที่กำลังอ่านจดหมายทีละฉบับฉันก็พบว่ามีอะไรแปลกๆ อยู่ด้านล่างสุด
“นี่คืออะไร”
จดหมายที่วางอยู่บนโต๊ะหนังสือล้วนเหมือนกันคือประดับด้วยของหรูหราและมีสัญลักษณ์ของราชอาณาจักรประทับตราไว้ ทว่าที่ด้านล่างสุด มีซองกระดาษสีขาวบางที่ไม่มีอะไรเขียนไว้วางอยู่
“ปนกันมาแล้วส่งมาผิดหรือเปล่า”
ไม่มีทางที่จะมีประเทศไหนกล้าส่งจดหมายลวกๆ เช่นนี้มาให้นักบุญหญิง หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ฉันก็ตัดสินใจเปิดดูเนื้อหาด้านใน มันเป็นซองจดหมายที่บางเมื่อมองจากด้านนอก พอเปิดดูด้านในก็พบว่าไม่มีอะไรเลยนอกจากกระดาษแผ่นเดียว ฉันพลิกดูซองจดหมายอีกครั้ง ซองจดหมายไม่ได้ระบุไว้เลยว่าใครส่งมาและส่งมาให้ใคร
‘อ่านดูก็คงรู้เอง’
คิดได้แบบนั้น ฉันก็เปิดอ่านกระดาษที่หยิบออกมา มีเพียงประโยคเดียวเขียนเอาไว้
การแลกเปลี่ยนสำเร็จแล้ว คงรู้นะว่าเอาคืนไม่ได้ อีกไม่นานข้าจะไปพบ
“…การแลกเปลี่ยน?”
คงเป็นจดหมายที่ส่งมาผิด แต่ในวิหารหลวงก็ไม่น่ามีใครแอบส่งจดหมายหากันแบบนี้ นี่ดูเป็นจดหมายสำหรับการทำการค้าใต้ดินลับๆ มากกว่าใช้ในวิหารหลวง ฉันไล่สายตามองจดหมายที่อยู่ระหว่างนิ้วขึ้นลง ทันใดนั้นใบหน้าก็พลันบิดเบี้ยวเพราะความรู้สึกเจ็บแสบ
“…โดนบาดซะแล้ว”
ฉันเห็นปลายนิ้วโดนกระดาษบาด ไม่นานก็มีเลือดซึมออกมาจากปากแผล ไม่ใช่เล่นๆ เลย โดนกระดาษบาดนี่เจ็บสุดเลยนะ แต่จะเสียใจตอนนี้ก็สายไปแล้ว ฉันใส่กระดาษกลับลงซองจดหมายแล้ววางลงบนโต๊ะหนังสือ
‘ทำไมของแบบนี้ถึงมาอยู่ที่นี่ได้นะ’
ตอนนั้นเอง
“…!”
จดหมายที่ฉันเพิ่งวางลงไปกำลังลุกไหม้ราวกับถูกโยนลงไปในกองไฟ จดหมายที่ลุกไหม้ในชั่วพริบตาค่อยๆ หดเล็กลงอยู่บนโต๊ะหนังสือ…
“…หายไปแล้ว?”
ฉันตะโกนออกมาอย่างไม่รู้ตัวเมื่อได้เห็นเรื่องที่ยากจะเชื่อ การที่จดหมายถูกเผาอย่างกะทันหันก็แปลกประหลาดแล้ว แต่นี่บนโต๊ะยังไม่มีเศษขี้เถ้าที่ควรจะมีอยู่อีก เสมือนว่าจดหมายที่ฉันอ่านเมื่อครู่นี้ไม่เคยมีอยู่จริงบนโลก
“เป็นไปได้อย่างไร…”
นี่ไม่ใช่ภาพลวงตา เห็นได้ชัดว่ามีอยู่จริงๆ
นี่ฉันบ้าไปแล้วหรือตอนที่คิดเช่นนี้ ปลายนิ้วของฉันก็พลันรู้สึกเจ็บแปลบ
“โอ๊ย”
ยังมีหลักฐานอยู่ คือแผลบนนิ้วของฉันที่ถูกจดหมายในซองบาดตอนที่ถือไว้ แสดงว่าจดหมายฉบับนั้นไม่ใช่ฉันที่จินตนาการไปเอง
‘แล้วมันกลายเป็นแบบนั้นไปได้ยังไงกัน?’
บนโลกใบนี้ พลังที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้มีเพียงอย่างเดียว นั่นคือเวทมนตร์
ตรงกันข้ามกับการยกย่องและความรักที่นักบวชผู้ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ได้รับจากผู้คนจากทั่วทุกที่ จอมเวทที่ใช้พลังเวทจะโดนดูถูกเหยียดหยามจากทั่วทั้งทวีป นี่ไม่ใช่เรื่องที่เกินจริง เพราะพลังเวทที่พวกเขาใช้เป็นพลังที่เป็นต้นกำเนิดของปีศาจ ดังนั้นถึงผู้คนจึงหลีกเลี่ยงจอมเวทแม้พวกเขาจะมีพลังที่แข็งแกร่งและใช้งานได้หลากหลายเพียงใด
“หากใช้เวทมนตร์ไปเรื่อยๆ จะกลายเป็นปีศาจ”
หากเป็นคนของทวีปนี้ย่อมไม่มีใครที่ไม่เคยได้ยินคำนี้ ดังนั้นแล้วจอมเวทจะยังได้รับการต้อนรับที่ดีจากผู้คนอยู่อีกอย่างนั้นหรือ สำหรับชาวบ้านแล้ว จอมเวทก็ไม่ต่างจากปีศาจที่แสร้งทำตัวเป็นมนุษย์
แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีคนอีกมากที่ต้องการพลังเวทที่แข็งแกร่งของพวกเขา ดังนั้นจึงยังมีผู้คนอีกมากมายที่ตามหาจอมเวทแม้รู้อยู่แก่ใจว่านี่คือพลังที่เป็นปฏิปักษ์กับวิหารหลวง โดยเฉพาะในกรณีของประเทศที่ทำสงครามกัน เรียกได้ว่าชนะหรือแพ้ก็ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของจอมเวทที่พาไป
จอมเวทจึงเป็นคนที่ดำรงอยู่บนโลก แต่ทุกคนแสร้งทำเป็นไม่เห็น
‘แล้วเขายังกล้าเอาของสิ่งนี้มาไว้ในวิหารหลวงด้วยการใช้เวทมนตร์เนี่ยนะ?’
แถมยังเอามาให้อีเบลลีน่าผู้เป็นนักบุญหญิงด้วย?
‘ใครกันแน่’
จอมเวททั่วไปไม่น่าจะเข้าใกล้วิหารหลวงได้ด้วยซ้ำ คนที่ไม่ได้มาด้วยตนเองแต่ใช้พลังเวทได้อย่างอิสระจนถึงขั้นส่งจดหมายเข้ามาในวิหารหลวงแบบนี้ได้
“หรือว่า…”
ฉันนึกถึงตัวเอกชายคนที่สามซึ่งปรากฏตัวในหนังสือ
จักรพรรดิเวทมนตร์ แอสรัน
เขาอาศัยอยู่ที่เกาะจอมเวทที่อยู่เหนือสุดของทวีปซึ่งต้องล่องเรือถึงหนึ่งเดือนจึงจะไปถึง พอโดนรังเกียจอย่างหนักจากคนบนทวีป จอมเวทส่วนใหญ่ที่ไม่ได้เคลื่อนไหวเพื่อจุดประสงค์พิเศษจะไปรวมตัวกันที่นั่นเพื่อวิจัยและพัฒนาพลัง ในหนังสือบรรยายไว้ว่าที่นั่นเป็นดินแดนที่จอมเวทอาศัยกันอยู่อย่างเนืองแน่น ดังนั้นคนจากแผ่นดินใหญ่จึงไม่มีแม้แต่ความกล้าจะไป
ในหนังสือเล่าว่า เหตุผลที่ทำให้เขาออกจากเกาะจอมเวทเป็นครั้งแรกคืออีริส ทันทีที่อีริสปรากฏตัวและพลังศักดิ์สิทธิ์ของอีเบลลีน่าถ่ายโอนไปทางนั้น เขาเกิดความสนใจในการไหลของพลังมหาศาล จึงออกจากเกาะและไปพบอีริส
‘หลังจากนั้นแอสรันก็เลยช่วยเหลืออีริสด้วยอีกคน’
ส่วนที่ฉันอ่านถึงเขายังปรากฏตัวออกมาไม่มาก แต่ทุกครั้งที่ออกมาจะต้องพูดถึงเรื่องอันตรายทุกครั้ง เขาผู้ที่แทบจะไม่ต่างจากปีศาจเพราะการใช้พลังเวทที่แข็งแกร่งแต่เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เหนือกว่าของอีริส เขาก็ไม่ต่างจากแกะตัวน้อย ถึงแม้จะยังพูดจาหยาบคายก็ตาม
‘แต่กว่าจะถึงตอนที่แอสรันปรากฏตัวออกมาก็ยังอีกพักเลย’
ไม่มีเหตุผลที่คนที่จะออกจากเกาะจอมเวทในอีกหนึ่งปีข้างหน้าจะส่งจดหมายมาให้ฉันในตอนนี้ ไม่สิ ให้กับอีเบลลีน่า
‘ยิ่งไปกว่านั้น…’
จดหมายกล่าวว่าจะยอมรับข้อตกลง อีเบลลีน่ามีข้อตกลงอะไรกับเขากันแน่