ตอนที่ 3.6 พิธีสวดภาวนา (6)

หนทางรอดของนักบุญหญิงตัวปลอม

กว่าฉันจะออกมาจากห้องทำงาน เวลาก็ผ่านไปสักพักแล้ว เหล่านักบวชเคาะประตูเรียกเพราะกังวลที่ฉันไม่ออกมาสักที ฉันถึงได้สติกลับมาและออกมาจากห้อง ทันทีที่ฉันออกมาพวกเขาก็รีบสวมชุดพิธีการที่เตรียมไว้ให้

ระหว่างที่เตรียมตัวฉันก็ยังคงนึกถึงจดหมายที่หายไป ฉันยังไม่ลืมข้อความที่เขียนไว้ว่าอีกไม่นานจะมาพบ

‘ข้อแลกเปลี่ยนอะไรกัน แล้วจะมาเมื่อไหร่กันแน่’

เนื้อหาในจดหมายยังคงกวนใจอยู่ไม่เลิก

“ท่านนักบุญหญิง? ท่านเป็นอะไรหรือไม่”

อาจเป็นเพราะฉันดูเหม่อลอยเกินไป นักบวชที่กำลังยืนอธิบายอยู่ด้านหน้าจึงเอ่ยเรียกฉัน

“ขอโทษที เจ้าพูดว่าอะไรอย่างนั้นหรือ”

“ข้ากล่าวว่าละเว้นพิธีสุดท้ายของพิธีสวดภาวนาวันนี้ไปจะดีกว่า…”

“อ้อ”

ฉันพยักหน้าเมื่อได้ยินคำพูดของนักบวช เดิมทีพิธีที่เป็นส่วนที่สำคัญของพิธีสวดภาวนาก็คือพิธีประสาทพรที่เกิดความวุ่นวายขึ้นเมื่อวาน เป็นพิธีที่แม้ไม่ได้ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ แต่ชาวบ้านก็ยังมารวมตัวกัน

‘บอกว่าจะทำต่อก็คงไม่ได้แล้ว’

ใจจริงวันนี้ฉันก็อยากทำอีก ทว่าตอนนี้จะยังมีใครอยากให้ฉันอวยพรให้อยู่อีกหรือ เมื่อวานหลังจากแอบฟังที่พวกนักบวชคุยกันก็พอจะรู้แล้ว หลังจากจบพิธีที่วุ่นวายแบบนั้น ข่าวลือต่างๆ จึงยิ่งแพร่สะพัดไปรวดเร็วมากขึ้น อีกทั้งก่อนจะมีพิธีสวดภาวนาดูเหมือนอีเบลลีน่าจะยิ่งพาชายหนุ่มมามากกว่าเดิมเป็นพิเศษ

‘ก่อนถึงพิธีสวดภาวนา มันถูกแล้วเหรอที่ไม่ทำเรื่องที่สมควรทำ?’

จิตใจที่ฉุนเฉียวจากการถูกเรียกว่าโสเภณี ในวันนี้แปรเปลี่ยนไปความไม่พอใจในตัวอีเบลลีน่า เพราะฉันอยู่ในร่างของนางจึงพยายามทำความเข้าใจ แต่ตัวร้ายก็ยังคงเป็นตัวร้าย พอนึกถึงเครื่องบรรณาการที่อยู่ในห้องทำงานด้วยแล้วจึงยิ่งไม่มีความรู้สึกเห็นใจ

“เฮ้อ”

แล้วทำไมฉันต้องเข้ามาในร่างของอีเบลลีน่าแล้วเจอเรื่องแบบนี้ด้วย คิดได้แบบนั้นฉันก็ปิดปาก

‘พระเจ้าช่วย’

เมื่อไม่นานมานี้ฉันยังรู้สึกขอบคุณในความโชคดีที่ได้เข้ามาอยู่ในร่างกายอันแข็งแรงนี้อยู่เลย

‘นี่ฉันบ้าไปแล้ว’

อย่าว่าแต่ขอบคุณความโชคดีที่ได้รับมาเลย ตอนนี้ฉันกลับพยายามเลือกหาสิ่งที่ดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ ทำตัวราวกับว่าของสิ่งนั้นมันเป็นของฉันมาตั้งแต่แรก ขณะที่กำลังยืนต่อว่าตนเอง ประตูก็เปิดออกและใครบางคนที่คุ้นเคยก็เดินเข้ามา

“ข้า ราธบัน ผู้บัญชาการอัศวินแห่งวิหาร ทำความเคารพท่านนักบุญขอรับ”

“วันนี้ก็ฝากด้วยนะ ราธบัน”

ก่อนที่ราธบันจะพูดอะไรไปมากกว่านี้ ฉันจงใจย้ำคำว่าฝากให้เขาดูแล เพราะหากไม่ทำเช่นนั้นเขาจะต้องพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานและร้องขอบทลงโทษอีกแน่นอน สายตาของฉันที่ใช้มองราธบันหยุดลงที่เสื้อคลุมของเขา

“เปลี่ยนเสื้อคลุมหรือ”

“อ้อ”

เมื่อวานเขาสวมเสื้อคลุมของชุดพิธีที่มีซับในสีแดง ทว่าวันนี้แม้จะเป็นสีแดงที่คล้ายกันแต่ก็เป็นสีที่ต่างจากสีของเสื้อคลุมเมื่อวาน

‘เป็นสีประจำตัวของอัศวินทั่วไป’

พอลองสังเกตดูแล้ว ขนาดของเสื้อก็จะดูเล็กไปหน่อยด้วย ชัดเจนว่าเสื้อคลุมตัวนี้ไม่ใช่ของเขา พอฉันสงสัยว่าทำไมเขาถึงใส่เสื้อที่ไม่พอดีตัว ก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานเขาใช้เสื้อคลุมของเขาคลุมตัวฉันที่โดนรุมปาไข่เน่าใส่

‘เป็นเพราะฉันนี่เอง’

“ขอโทษด้วย เซอร์ราธบัน เป็นเพราะข้าเอง”

“…”

ดูเหมือนเป็นคำพูดที่ถูกต้อง ราธบันจึงเบนหน้าหนีไปโดยไม่แม้แต่เอ่ยคำปฏิเสธเป็นมารยาท จากนั้นเขาก็ตอบกลับมาด้วยเสียงที่เบากว่าเสียงที่ใช้เอ่ยคำทักทายก่อนหน้านี้เล็กน้อย

“ไม่จำเป็นต้องสนใจก็ได้ขอรับ”

จะไม่สนใจได้อย่างไร หากมองแบบผ่านๆ ก็คงดูไม่ออก แต่ถ้าตั้งใจมองดูก็จะเห็นได้ทันทีว่าเสื้อคลุมของเขาผิดปกติ

“วางใจเถิด วันนี้ไม่มีพิธีส่วนที่ต้องออกไปพบผู้คนโดยตรงเหมือนเมื่อวาน เพราะฉะนั้นจะไม่มีเหตุการณ์ที่ทำให้เสื้อคลุมของเจ้าต้องเลอะเทอะอีกแน่นอน”

“…”

ฉันพูดออกไปพร้อมรอยยิ้มเพื่อคลายบรรยากาศตึงเครียดแต่สีหน้าของราธบันกลับยิ่งตึงเครียดมากขึ้น

‘เลิกทำอะไรไร้ประโยชน์ดีกว่า’

ยิ่งฉันชวนคุยมากเท่าไรก็ยิ่งสัมผัสได้ว่าราธบันพยายามหลีกเลี่ยงฉัน ทำไมกันนะ ฉันคิด แต่พอหันไปเห็นสีหน้าของนักบวชที่ยืนอยู่ด้านข้างก็พลันได้สติขึ้นมา พวกเขากำลังทำสีหน้าตกตะลึงมาทางฉัน

‘ตายแล้ว’

ทำไมฉันถึงลืมเรื่องที่เคยเกิดขึ้นระหว่างอีเบลลีน่ากับเขาไปได้เนี่ย

‘ตอนนี้ที่เขามาอยู่ตรงนี้ก็เป็นเรื่องประหลาดมากแล้ว’

ด้วยเหตุการณ์ที่เขาปกป้องเมื่อวานทำให้ฉันรู้สึกสนิทสนมกับเขาประหนึ่งว่าเป็นเพื่อนที่รู้จักกันมานานไปเองคนเดียวตามอำเภอใจ แต่ไม่ใช่ว่าพอฉันบอกว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แล้วราธบันก็จะคิดเช่นนั้นด้วย

พอฉันตั้งสติได้ก็รู้สึกเก้อเขินขึ้นมา ตอนที่กำลังพัดใบหน้าเพื่อบรรเทาอาการหน้าร้อนผ่าว นักบวชที่เห็นเหตุการณ์เมื่อวานก็ถามขึ้น

“ท่านดื่มอะไรหน่อยไหม”

ฉันรีบพยักหน้าให้ทันทีเมื่อได้ยินคำถาม เพราะรู้สึกว่าตอนนี้ต้องแสร้งทำอย่างอื่น คงเป็นเพราะเตรียมไว้ล่วงหน้าอยู่แล้ว นักบวชถึงได้นำชามาให้อย่างรวดเร็ว ใบหน้าที่ร้อนผ่าวตอนนี้ดูเหมือนการดื่มช้าร้อนๆ จะไม่ใช่เรื่องที่ดีสักเท่าไร แต่อย่างน้อยก็ต้องดื่มเจ้าสิ่งนี้เข้าไปก่อนแล้วกลับมาระวังตัว

“ขอบใจมาก”

“มิได้ขอรับ สมกับเป็นชาที่ท่านเลือกเอง รสชาติดูน่าจะถูกปาก”

“…?”

พอได้ยินคำ ฉันจึงปรายตามองถ้วยชา ตอนแรกคิดว่าคือชาที่เหล่านักบวชจัดเตรียมมาให้แต่ที่จริงแล้วเป็นชาที่อีเบลลีน่าเลือกมาเองอย่างนั้นหรือ? ทั้งกลิ่นและรสชาติล้วนไม่มีอะไรพิเศษแต่บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าชอบตรงไหน

คิดแบบนั้นพลางค่อยๆ ลิ้มรสชา โชคดีที่พอฉันอยู่ในสภาพที่พูดไม่ได้เพราะมีข้ออ้างว่ากำลังดื่มชาอยู่ เหล่านักบวชจึงหันไปคุยกับราธบันเรื่องการจัดการพิธีแทน เขาหันมามองฉันก่อนจะหันกายไป

เวลาผ่านเลยไปเช่นนั้นสักพัก ในจังหวะที่ฉันวางถ้วยชาลง

“เอ๋?”

ไม่รู้เพราะอะไรถึงเกิดความรู้สึกเหมือนโลกหมุนขึ้น

“ท่านนักบุญหญิง?”

นักบวชที่นำชามาให้ร้องเรียกฉันราวกับถามว่าเกิดอะไรขึ้น พอฉันจะตอบกลับไปว่าไม่เป็นอะไรก็รู้สึกหน้ามืดขึ้นมาอีก จังหวะที่ฉันคิดว่าเพดานกำลังหมุน โลกก็พลันมืดลงพร้อมกับเสียงเพล้ง!

***

“ท่านนักบุญหญิงอยู่ด้านในหรือไม่”

พอราธบันถามออกไป นักบวชก็รีบหันมาโค้งตัวตอบ

“ขอรับ คงเตรียมตัวอยู่ใกล้เสร็จแล้ว”

“เข้าใจแล้ว”

ราธบันพยักหน้าเมื่อได้ยินคำตอบของนักบวช ตอนนี้เขาควรจะเดินเข้าไปด้านในแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดฝีเท้าจึงไม่ยอมขยับง่ายๆ เขายืนลังเลอยู่หน้าประตูแล้วหันไปมองเสื้อคลุมที่ตนพาดไว้อยู่ที่ไหล่

“เป็นเกียรติมากเลยที่หัวหน้าเอาไปใส่!”

ชีเดลพูดเช่นนั้นพลางถอดเสื้อคลุมของตนออกให้ราธบัน ท่าทางคล้ายหากราธบันต้องการ เขาก็จะถอดชุดด้านในให้ด้วย

ราธบันฉุกคิดว่าเสื้อคลุมของตนอยู่ที่ใด มันคงแขวนอยู่อย่างสงบเสงี่ยมบนไม้แขวนเสื้อในห้องทำงานที่อ้างว้างของเขา

ที่จริงแล้ว เสื้อคลุมของเขาไม่ได้สกปรกถึงขนาดว่าไม่อาจใส่ได้ ตอนที่ใช้คลุมนักบุญหญิง แม้จะมีคราบไข่เน่าที่ตกลงมาจากผมของนางเปื้อนอยู่บ้างแต่นั่นก็ยังอยู่ในระดับที่สามารถเช็ดออกได้ สิ่งที่ทำให้ราธบันแขวนเสื้อคลุมทิ้งไว้คือสาเหตุอื่น

เขามองไปยังเสื้อคลุมที่ตนใส่อยู่ พูดให้ชัดคือมองลงไปทางขวาล่าง เสื้อคลุมของชีเดลสะอ้านสะอ้านจนไม่มีแม้แต่รอยยับย่น ทว่าเสื้อคลุมของเขาที่แขวนอยู่ในไม้แขวนเสื้อตอนนี้เต็มไปด้วยรอยยับยู่ยี่ ล้วนแต่เป็นร่องรอยที่นักบุญหญิงทำไว้เมื่อคืน

พิธีสวดภาวนาวันแรกผ่านพ้นไปอย่างวุ่นวาย ราธบันมุ่งหน้าไปยังสวนทันทีเมื่อถึงกลางดึก

ที่ที่พอจะเงียบสงบในช่วงที่วิหารหลวงมีพิธีสวดภาวนามีเพียงที่นั่น แม้จะมีนักบวชมาที่สวนบ้างเป็นครั้งคราว แต่พวกเขาก็จะจากไปในไม่ช้าหลังจากพูดคุยกัน อาจเป็นเพราะว่าพวกเขาไม่ค่อยรู้สึกยินดีกับป่าลึกที่มีมาอย่างยาวนาน

ตามคาด เมื่อเขามาถึง สวนก็ปกคลุมไปด้วยความเงียบสงบ

ราธบันตั้งใจเดินช้าๆ เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อตอนกลางวันยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของเขา

‘แปลก’

นักบุญหญิงทำตัวแปลก

ความคิดที่ต้องรับผิดชอบหน้าที่และความรู้สึกไม่ชอบในตัวนักบุญหญิงขัดแย้งกันอย่างรุนแรง ในตอนแรกเพราะเขามิอาจทนกับการโดนเหยียดหยามได้จึงปฏิเสธการอารักขาไป ทว่าสุดท้ายเช้าวันนั้นเขากลับเปลี่ยนใจและไปหานางเพื่อรับผิดชอบหน้าที่ของตน

เพราะเขารับหน้าที่อารักขานักบุญหญิงมาตลอดจนถึงปีที่แล้ว ดังนั้นแม้จะมีการจัดวางตำแหน่งใหม่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรนัก กลายเป็นว่าอัศวินระดับสูงที่มารับหน้าที่อารักขานักบุญหญิงแทนราธบันมิอาจปกปิดสีหน้าโล่งใจได้เสียด้วยซ้ำ

เขาและอัศวินต่างก็เกลียดนักบุญหญิง เช่นเดียวกับที่นักบุญหญิงเกลียดพวกเขา

แน่นอนว่ามันมิได้เป็นเช่นนั้นมาตั้งแต่แรก สมัยที่อีเบลลีน่ายังเด็ก พวกเขาค่อนข้างมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก เด็กน้อยน่ารักที่แม้จะไม่ได้พบกันบ่อยครั้ง แต่ทุกครั้งที่มีเวลาว่างก็มักจะนึกถึงและมาเล่นกับพวกเขา ราธบันผู้ซึ่งเป็นอัศวินฝึกหัดในตอนนั้นจำได้ว่าเขาได้มองภาพเหล่านั้นจากที่ไกลๆ อยู่หลายครั้ง ทว่าไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดที่อีเบลลีน่าเริ่มไม่มา และตัดขาดกันไปในที่สุด

‘ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ?’

เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมจู่ๆ อีเบลลีน่าจึงเริ่มมีสายตาดูถูกเหยียดหยามให้พวกเขา อันที่จริงแล้วเหตุผลนั้นไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคือความจริงที่ว่านักบุญหญิงผู้นั้นมองพวกอัศวินแห่งวิหารเป็นศัตรู

“เฮ้อออ”

คิดถึงเรื่องในอดีตอยู่สักพัก ราธบันก็ถอนหายใจออกมาด้วยความอึดอัดใจ นี่ไม่ใช่เวลาจะมาย้อนคิดถึงเรื่องในอดีต คนที่ก่อความไม่สงบในพิธีสวดภาวนาที่จับมาได้พวกนั้น แม้จะถูกจับไปขังคุกก็ไม่มีสีหน้าร้อนใจใดๆ ถึงกับพูดคุยกันเองว่า *‘เดี๋ยวก็ได้ออกไปแล้วน่า’*พร้อมกับหัวเราะคิกคัก แต่เขารู้ว่าทำไมคนพวกนั้นถึงได้พูดเช่นนั้น

ดูเหมือนพวกเขาจะถูกเรียกว่า ‘กลุ่มคนที่วิจารณ์นักบุญหญิงอย่างกล้าหาญ’ และด้านนอกวิหารหลวง ก็มีเสียงเรียกร้องให้ปล่อยตัวพวกเขารุนแรงมากขึ้นด้วย

แต่กระนั้นแม้ใครจะพูดอย่างไร ราธบันก็ไม่มีความคิดที่จะปล่อยพวกเขาง่ายๆ เพราะพวกเขาคือคนที่ทำอันตรายแก่นักบุญหญิง

‘อีกทั้ง…’

ท่าทางของพวกเขาที่ลุ่มหลงมัวเมาในความถูกต้องที่ตนเปิดเผยเรื่องสกปรกโสสมของนักบุญก็แปลกประหลาด

‘บอกท่านนักบุญหญิงว่าให้ตรวจสอบ…!’

ขณะคิดถึงเรื่องที่เขาต้องการจะพูดกับนักบุญหญิง ราธบันเดินอ้อมมุมหนึ่งของสวนและหยุดฝีเท้าลง บนม้านั่งตรงมุมสวนมีวัตถุสีขาวนอนอยู่ ไม่จำเป็นต้องดูอย่างใกล้ชิดก็รู้ว่านั่นคือนักบุญหญิง

‘ทำไมมาอยู่ตรงนี้อีกแล้ว’

อุตส่าห์คิดว่ากำหนดการวันแรกของพิธีสวดภาวนาจบลงแล้วนางคงจะพักอยู่ในห้องเงียบๆ

‘คืนนี้ก็ออกมาพบพวกผู้ชายอย่างนั้นหรือ?’

ราธบันคิดเช่นนั้นโดยอัตโนมัติ แต่เมื่อรับรู้ว่านางอยู่คนเดียวก็พลันหน้าแดง เพราะละอายที่คาดเดาอะไรไปตามใจ

เขาตั้งใจเดินเสียงดังแต่นักบุญหญิงก็ยังไม่ขยับตัว ยืนนิ่งอยู่สักพักก็ได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอ ฟังอย่างไรก็ดูจะเป็นเสียงลมหายใจของคนกำลังหลับลึก

‘นี่มัน’

ถึงจะอยู่ในวิหารหลวงแต่ถึงกับมานอนหลับในที่แบบนี้อย่างนั้นหรือ ราธบันเดินเข้าไปใกล้พลางคิดว่าต้องปลุกนางให้ตื่น

“…”

แต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้ราธบันกลับไม่อาจเปล่งเสียงออกไปได้ง่ายๆ อย่างที่คิด นักบุญหญิงที่นอนหลับอยู่บนม้านั่งกำลังมีสีหน้าที่ดูสบายเป็นอย่างมาก

‘หรือจะปล่อยไว้อย่างนี้ดี’

ในขณะที่ราธบันคิดได้เช่นนั้นและกำลังหมุนตัวกลับ

“…!”

มีมือยื่นมาจับเสื้อคลุมของเขา

ราธบันกลั้นหายใจมองไปยังคนที่กำลังจับเสื้อคลุมของเขา เจ้าของมือคู่นั้นก็คือนักบุญหญิงที่กำลังนอนอยู่บนม้านั่งตัวนั้น

‘ตื่นอยู่อย่างนั้นหรือ?’

เช่นนั้นไม่มีทางที่จะไม่รู้ เขามองดูนักบุญหญิง นางยังคงหลับตาอยู่เหมือนเดิม ลมหายใจที่เงียบและสม่ำเสมอก็ยังคงเหมือนเดิม

“อือ…”

ดูจากลักษณะแล้วตอนที่เขาเข้ามาใกล้ นางคงเผลอจับโดยไม่รู้ตัว ราธบันถอนหายใจและดึงส่วนบนของเสื้อคลุมของตนออกอย่างระมัดระวัง

“…”

แต่เสื้อคลุมที่โดนนักบุญหญิงจับเอาไว้กลับดึงออกมาไม่ง่ายอย่างที่เขาคิด ไม่สิ กลายเป็นว่ายิ่งเขากระชากนางกลับยิ่งจับไว้แน่นขึ้น นางถูกใจสัมผัสนี้รึ สุดท้ายนักบุญหญิงก็ดึงเอาเสื้อคลุมของเขาที่จับไว้ในมือไปคลุมหน้าตนเองราวกับผ้าห่ม

“อือ…”

นางอมยิ้มออกมาคล้ายว่าพึงพอใจแล้วดึงไปกอดในอ้อมอก ราธบันแทบจะหัวเราะออกมาเมื่อเห็นการกระทำของนักบุญหญิง

‘คิดอะไรอยู่กันแน่?’

เมื่อไม่นานมานี้ สวนแห่งนี้คือสถานที่ที่นางทำเรื่องน่าขายหน้าและถูกเขาเข้ามาพบ แต่นางกลับออกมายังสถานที่นี้อีกครั้งแล้วยังนอนหลับลึกอย่างไม่ระวังตัวอีก ราธบันไม่เข้าใจนางเลย

สายลมยามค่ำคืนโชยมาอีกครั้ง นักบุญหญิงขดตัวสั่นเพราะอากาศหนาวเย็น

แม้พลังศักดิ์สิทธิ์จะช่วยป้องกันการโจมตีจากปีศาจได้แต่กลับมิอาจป้องกันสายลมที่แทรกผ่านเข้าไปในร่างกายยามค่ำคืน ยิ่งไปกว่านั้นนางยังมิอาจใช้พลังการรักษาให้กับตนเองได้ หากยังปล่อยให้นอนอยู่ในที่แบบนี้ พรุ่งนี้เช้าร่างกายของนักบุญหญิงจะต้องปวดเมื่อยแน่

‘ควรปลุกหรือไม่’

หลังจากคิดได้เช่นนั้น ราธบันก็รู้สึกตกใจกับความคิดของตนเอง

นี่เขากำลังเป็นห่วงนักบุญหญิงอยู่หรือ?

“…”

เมื่อไม่นานมานี้ เขายังเกลียดกระทั่งการเอ่ยถึงคำว่านักบุญหญิง หากมิใช่เพราะเขาสาบานตนเอาไว้ตอนเข้ามาในวิหารหลวง เขาคงเลิกเป็นอัศวินแห่งวิหารไปแน่แล้ว แต่ทว่าเขาได้ปฏิญานตนเอาไว้ ปฏิญานเอาไว้ว่าจะต้องนับถือและปกป้องนักบุญหญิงผู้เป็นตัวแทนแห่งพระเจ้าจนกว่าชีวิตจะหาไม่

อีกทั้งตำแหน่งผู้บัญชาการอัศวินแห่งวิหารยังเป็นตำแหน่งที่ต้องดำรงไปชั่วชีวิต หากต้องการออกจากตำแหน่งนี้ทันที มีเพียงวิธีเดียวคือไปยังเมืองปีศาจและตาย

ขณะที่กำลังคิดถึงเรื่องที่ผ่านมา ราธบันก็สัมผัสได้ว่าทางเข้าของสวนมีคนกำลังมา เขานึกว่าจะไม่มีใครมาที่นี่ แต่เพราะยังอยู่ในช่วงพิธีสวดภาวนากระมัง จึงมีนักบวชมาที่นี่เพื่อสนทนาเกี่ยวกับเรื่องนั้น

‘ทำอย่างไรดี’

หากปล่อยไว้เช่นนี้ กลุ่มคนที่กำลังเดินมาก็จะเห็นนักบุญหญิงนอนอยู่ ถ้าเป็นเช่นนั้น…

‘ข่าวลือไม่ดีก็คงถูกพูดถึงอีก’

ภายในวิหารหลวงมีข่าวลือเกี่ยวกับนักบุญหญิงมากมายอยู่แล้ว หากมีคนมาเห็นนางอยู่กับเขาแบบนี้ข่าวลือจะถูกพูดถึงไปทางไหนกัน ราธบันคาดเดาถึงเรื่องนั้นได้ไม่ยาก หากมีคนสองคนอยู่ด้วยกันยามค่ำคืน ในสถานที่แห่งนี้ที่รับรู้กันทั่วว่านักบุญหญิงมักมานัดพบกับเหล่าบุรุษ

“…”

เขารู้สึกปวดหัวขึ้นมาแล้ว จะต้องลือกันว่าเพราะนักบุญหญิงมิอาจพาชายหนุ่มจากด้านนอกเข้ามาได้อีกจึงเลือกคนในวิหารหลวง แถมยังเป็นถึงผู้บัญชาการของเหล่าอัศวินด้วย

มันเป็นความคิดที่น่าสะอิดสะเอียนจนเขาไม่อยากเก็บไว้ในหัว แต่เขาก็จินตนาการถึงมันไปเองเพราะข่าวลือที่ได้ยินมาจากพวกที่เพิ่งจับมาก่อนหน้านี้

‘ต้องปลุกนาง’

แล้วก็ต้องรีบส่งนางกลับห้องไปเพราะพิธีสวดภาวนาในวันพรุ่งนี้หรืออะไรก็ตามแต่

อาจเป็นเพราะใจร้อนไป เขาที่กังวลว่าควรจะทำอย่างไรดีจึงเผลอจับมือของนักบุญหญิงเข้าเพราะมัวแต่คิดว่าจะต้องดึงเอาชายเสื้อคลุมที่ถูกจับไว้ออกให้เร็วที่สุด

“…!”

สัมผัสของมือที่โดนมือของตน ทำให้ราธบันมองไปยังมือของนักบุญหญิงอย่างเหม่อลอย

นี่คือมือที่สั่งให้เขาคลานเข่าเมื่อไม่นานมานี้ ตอนนั้นเขาเคยคิดอยากจะวิ่งเข้าไปตัดนิ้วเหล่านี้ทิ้งทันทีโดยไม่สนใจว่านางจะเป็นนักบุญหญิงหรืออะไรก็ตาม แต่ไม่รู้ทำไมตอนนี้มันถึงได้ดูเล็กและบอบบางมาก

ยิ่งไปกว่านั้น มือของนักบุญหญิงที่เขาจับไว้ในมือที่ทั้งเย็นและแข็งกระด้างของเขาให้ความรู้สึกที่ต่างอย่างสิ้นเชิง มันทั้งอุ่นและนิ่ม ราธบันตัวเกร็งเพราะสัมผัสที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน ระหว่างที่สติของเขากำลังหลุดลอยอยู่นั้น เสียงคนเริ่มเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที

ราธบันรีบตั้งสติและกล่าวออกมาเสียงเบา

“ท่านนักบุญหญิง”

“…”

ไม่มีคำตอบใดกลับมา

“ท่านนักบุญหญิง ตื่นเถิด”

“…”

แม้เปล่งเสียงเรียกออกไปดังกว่าเดิม แต่ก็ดูเหมือนนางจะยังไม่ได้ยิน

ถ้าลองเขย่าตัวจะตื่นไหม? แต่ว่าเขามิอาจแตะตัวนักบุญหญิงได้หากไม่ได้รับอนุญาตจากนาง ราธบันก็หันมองมือตนเองหลังจากคิดถึงกฎนั้นได้ มองดูมือบางสีขาวนวลที่เขากำลังจับอยู่

อันที่จริงเขาฝ่าฝืนกฎข้อนั้นมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว

ไม่นาน เหล่านักบวชที่เดินเข้ามาในสวนลึกเพื่อจะได้สนทนากันเงียบๆ ก็เข้ามานั่งบนม้านั่งที่ไม่มีใครและพูดคุยกันอยู่นาน