ตอนที่ 3.7 พิธีสวดภาวนา (7)

หนทางรอดของนักบุญหญิงตัวปลอม

ราธบันเดินไปตามโถงทางเดินอย่างเงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้

เมื่อถึงเวลากลางคืนจะไม่มีใครสามารถเข้ามาด้านในห้องของนักบุญหญิงได้ สิ่งนั้นทำให้เขาโล่งใจมาก เพราะสภาพที่เขากำลังอุ้มนักบุญหญิงอยู่เช่นนี้ไม่อาจให้ใครเห็นได้

‘เพิ่งเคยใช้ทางลับเป็นครั้งแรกเลย’

ราธบันเองก็รู้เช่นกันว่าในห้องของนักบุญหญิงมีทางเดินที่เชื่อมอยู่กับที่หลายแห่งในวิหารหลวง ผู้บัญชาการคนก่อนเป็นคนบอกกับเขาเมื่อตอนที่เขาถูกกำหนดว่าจะได้เป็นผู้บัญชาการอัศวินสมัยหน้า

“นี่เป็นความลับที่จะบอกให้แก่ผู้บัญชาการของอัศวินเท่านั้น ท่านนักบุญหญิงอาจคิดว่ามีแค่ท่านเพียงผู้เดียวที่รู้เรื่องนี้ เพราะฉะนั้นแล้วหากไม่ใช่เหตุฉุกเฉินจริงๆ เจ้าห้ามเปิดเผยเด็ดขาดว่าค้นพบการมีอยู่ของมัน”

ผู้บัญชาการคนก่อนกล่าวเช่นนั้น ก่อนจะพาราธบันไปยังกำแพงฝั่งหนึ่งของสวน และสอนเขาว่าเปิดใช้อย่างไร

‘เขาบอกว่าหากไม่ใช่เหตุฉุกเฉินห้ามใช้ รวมถึงห้ามแสดงท่าทีว่ารู้ถึงการมีอยู่ของมันด้วย’

แต่ตอนนี้เขากำลังใช้เส้นทางลับในการพานักบุญหญิงที่กำลังหลับกลับห้อง สายตาที่ชินกับความมืดพบเส้นทางโดยไม่ชนเข้ากับผนังแม้ไม่ได้คลำหา เขาเดินไปได้สักพักก็ถึงที่ที่ไม่มีลมหวน

เขายกมือขึ้นแตะกับผนังในสภาพที่อุ้มนักบุญหญิงไว้ในอ้อมแขน ผนังหายไปพร้อมกับประกายแสงสีฟ้าคราม เบื้องหน้าพลันปรากฏภาพของห้องขนาดเล็กที่อยู่ฝั่งตรงข้าม

‘นานมากแล้วที่ไม่ได้ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์’

หน่วยอัศวินแห่งวิหารเองก็สามารถใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ได้ระดับหนึ่งเช่นเดียวกับเหล่านักบวช ทว่านอกเหนือจากการต่อสู้กับปีศาจแล้ว พวกเขาก็ไม่ค่อยได้ใช้มัน

ราธบันสารภาพความผิดกับกับผู้บัญชาการผู้จากโลกใบนี้ไปนานแล้วอยู่ในใจให้ แล้วขยับฝีเท้าก้าวเดินต่อไป

ราธบันมองไปยังนักบุญหญิงที่ยังคงนอนหลับอยู่ในอ้อมแขนของเขา แม้ร่างจะสั่นไหวถึงเพียงนี้แต่นักบุญหญิงก็ยังไม่รู้สึกตัว หากไม่เพราะร่างกายที่ผ่อนคลายยังหายใจอยู่ เขาคงคิดว่าตายไปแล้ว อาจเป็นเพราะความเหนื่อยจากพิธีสุดท้ายในพิธีสวดภาวนาเลยทำให้นอนหลับลึกถึงเพียงนี้

ห้องนอนของนักบุญหญิงปรากฏขึ้นทันทีที่สิ้นสุดทางเดิน ราธบันวางตัวนักบุญหญิงลงบนเตียงนอนอย่างระมัดระวัง ตอนนั้นเองเขาถึงคิดได้

‘นี่ข้ากำลังทำอะไรอยู่?’

นี่ข้ากำลังโดนล่อลวงอะไรอยู่หรือไม่

นี่เขาถึงกับอุ้มนักบุญหญิงที่นอนหลับอยู่และใช้ทางลับเดินพานางมาวางลงบนที่นอนเลยอย่างนั้นหรือ ราธบันลูบหน้าตนเองเพราะไม่อยากเชื่อในเรื่องที่ตนทำ

‘กลับเถอะ’

ดูเหมือนเขาบ้าไปแล้ว เขาต้องรีบใช้ทางลับเมื่อครู่กลับไปได้แล้ว พอรู้สึกตัวว่าตอนนี้กำลังอยู่กับนางในห้องแบบนี้ก็พลันรู้สึกอึดอัดใจมาก

ทว่าตอนที่ขยับฝีเท้า เขาก็ต้องหันกลับไปมองด้านหลังอีกครั้ง

“เฮ้อออ”

นักบุญหญิงยังคงจับเสื้อคลุมของเขาไว้

ดึงออกมาเลยดีไหมนะ

ต่อให้จับเอาไว้แน่นแค่ไหนแต่ถ้าเขาดึงออกมาเลยก็ไม่มีทางที่จะไม่หลุดออก

“…”

ทว่าราธบันกลับปล่อยมือที่จับเสื้อคลุมของตนไป จากนั้นก็ยืนเฝ้าข้างเตียงนอนอย่างเงียบๆ หากเขากระชากอย่างไรก็หลุดแน่ แต่ไม่รู้เพราะอะไร เขากลับไม่อยากทำแบบนั้น

ตอนที่ราธบันเดินออกมาจากห้องของนักบุญและใช้ทางลับกลับไป ก็เป็นตอนที่ท้องฟ้ายามย่ำรุ่งเริ่มสว่างไสวแล้ว ด้านหนึ่งของเสื้อคลุมของเขาที่รีบเดินไปยังที่พักของอัศวินเต็มไปด้วยรอยยับยู่ยี่

***

นั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก่อน

ราธบันจงใจหันหน้าหนีจากนักบุญหญิง อย่างไรก็ดี ตอนนี้การมองหน้านางทำให้เขารู้สึกเก้อเขิน ต่อให้ไม่ได้คิดอะไรเกินเลยแต่เขาก็แตะตัวของนักบุญหญิงโดยมิได้รับอนุญาต แถมยังเข้าไปถึงห้องนอนของนางและยังยืนเฝ้าอยู่ข้างๆ ตอนหลับ

‘นี่ข้าทำอะไรลงไป’

แม้คิดทบทวนอีกครั้ง ราธบันก็ยังคงไม่เข้าใจว่าตนเองทำเช่นนั้นไปทำไม และเรื่องที่ทำให้เขาตระหนกที่สุดเหนือสิ่งใดคือความจริงที่ว่าในตอนนี้ความเกลียดชังที่เขาเคยมีต่อนักบุญหญิงเมื่อไม่นานมานี้กลับไม่หลงเหลืออยู่เลย

‘ทำไมกันแน่’

หลังจากสลบไปและฟื้นขึ้นมา นักบุญหญิงก็ทำตัวต่างจากเดิมราวกับเป็นคนละคน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเรื่องที่นักบุญหญิงเคยทำไว้จะหายไป ราธบันไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเหตุใดนักบุญหญิงตอนนี้จึงได้ดูไม่เหมือนกับนักบุญหญิงคนที่เขารู้จัก

‘มันจะเป็นไปได้หรือ’

เขาส่ายหัวไปมา พอดีกับที่นักบวชเดินเข้ามาหาเขาและสนทนาเกี่ยวกับกำหนดการที่เหลือของพิธีสวดภาวนา ระหว่างนั้นเองนักบุญหญิงก็รบกวนให้นักบวชนำชามาให้และดื่มมัน เขารู้สึกโล่งใจเมื่อหมดเรื่องที่ต้องคุยแล้วพลางสนทนากับนักบวชต่ออีกสักพัก จากนั้นราธบันก็หมุนตัวไป

พอได้พูดคุยกับเหล่านักบวช จิตใจที่กระสับกระส่ายก็เริ่มกลับมาสงบได้แล้ว

‘ตั้งสติหน่อย’

นักบุญหญิงก็คือนักบุญหญิง หากอยู่ดีๆ ตนทำเรื่องที่ไม่เคยทำนั่นหมายความต้องระวังให้มากขึ้น ดังนั้นจงตั้งสติและเว้นระยะห่างจากนางเหมือนกับเมื่อก่อน

ในตอนที่เขากำลังมุ่งมั่นนั่นเอง

“ท่านนักบุญหญิง!”

ถ้วยชาตกลงพื้นพร้อมกับร่างของนักบุญหญิงที่ล้มลง

***

ฉันลืมตาขึ้น

‘มืดจัง’

เป็นความมืดมิดที่ไม่เห็นสีอื่นใดเลยราวกับกระดาษสีดำแผ่นหนึ่ง ตอนแรกคิดว่าเป็นห้องที่ไม่มีแสงไฟ แต่มือของฉันที่ยกขึ้นมาเพื่อยืนยันก็มองไม่ค่อยชัดเช่นกัน ทอดสายตามองมืออยู่นิ่งๆ ฉันก็พลันรู้สึกถึงความแปลกประหลาด มือคู่นี้…

‘นี่คือร่างเดิมของฉัน’

ร่างกายที่ตายไปแล้วบนเตียงในโรงพยาบาล ข้อมือที่แห้งแกร็นและแขนที่เต็มไปด้วยรอยเข็มฉีดยา รวมถึงผิวหนังที่กระดำกระด่างเพราะยาปฏิชีวนะ

อาจเป็นเพราะที่ผ่านมาเริ่มคุ้นชินกับร่างของอีเบลลีน่าแล้ว ฉันไม่คิดเลยว่าจะรู้สึกไม่คุ้นเคยกับร่างกายของฉันที่เห็นมาตลอดหลายสิบปี ฉันยกศีรษะขึ้น

‘ที่นี่คือที่ไหน’

ที่ที่เต็มไปด้วยความมืดคือที่ไหนกัน หลังจากมองไปรอบข้าง ฉันจึงรับรู้ได้ว่ามีใครบางคนยืนอยู่ด้านหลัง ฉันหมุนตัวกลับไปเพื่อดูว่าคนผู้นั้นคือใคร แล้วก็ต้องกะพริบตาพลางตะโกนออกมาอย่างไม่รู้ตัว

“อีเบลลีน่า!”

อีเบลลีน่า นางยืนอยู่ตรงนั้น คงเพราะได้เห็นคนที่คุ้นเคย ฉันจึงเดินเข้าหาอีเบลลีน่าด้วยความยินดี เป็นภาพที่ได้เห็นในทุกครั้งที่มองดูกระจกตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ผิวสุขภาพดีสีขาวนวลกับผมบลอนด์ยาว ลำคอยาวระหง แขนขาเรียวยาว ร่างกายที่มีส่วนโค้งเว้าอย่างชัดเจนของหญิงสาวโตเต็มวัย

พอได้เห็นแบบนี้ ฉันก็สัมผัสได้ถึงความงดงามของอีเบลลีน่าอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน

‘แน่ละ แม้แต่ในนิยายก็ไม่มีใครปฏิเสธความงามของอีเบลลีน่า’

ตอนนั้นเอง ก็พลันสบสายตาเข้ากับดวงตาสีฟ้า

อีเบลลีน่ากำลังจ้องฉันอยู่

“เอ่อ…”

ดวงตาสีฟ้าที่ชวนให้นึกถึงท้องฟ้าสดใสในฤดูใบไม้ร่วงกำลังกะพริบอย่างช้าๆ อีเบลลีน่ากำลังจ้องฉันอยู่จริงๆ

“…สวัสดีค่ะ?”

ฉันเผลอทักทายออกไปโดยไม่รู้ตัวเมื่อสบกับสายตานั้นเข้า ทันใดนั้น สีหน้าของอีเบลลีน่าก็เปลี่ยนไป ในตอนแรกนางทำสีหน้าพิจารณาราวกับถามว่านี่มันอะไรกัน สายตาที่เปี่ยมไปด้วยความเยือกเย็นที่เพียงมองก็ทำให้สะดุ้ง

จากนั้นนางก็เปิดปากพูด

“เจ้าทำอะไรอยู่”

“คะ? อ่า… ขอโทษค่ะ”

คิดอยู่ครู่หนึ่ง ฉันก็เอ่ยปากขอโทษไปก่อนหลังจากได้ยินคำถามที่ถามมาอย่างกะทันหัน สีหน้าของนางตอนนี้ไม่ว่าใครเห็นก็รู้ว่านางกำลังโมโห เรื่องที่ทำให้นางโมโหฉันได้มีเพียงเรื่องเดียว

‘เพราะฉันใช้ร่างของนางอยู่ตามใจชอบ’

นี่คงเป็นเรื่องเหลวไหลสำหรับอีเบลลีน่า มันจะน่ากลัวแค่ไหนกันที่จู่ๆ วิญญาณที่เข้ามาในร่างของตนก็ใช้ร่างของตนตามอำเภอใจ

“ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงได้เข้ามาในร่างของคุณแบบนี้ ฉันจะระมัดระวังไม่ทำให้บาดเจ็บจนกว่าจะถึงวันที่คุณกลั…”

“ข้าเป็นคนพาเจ้ามาน่ะสิ”

“…คะ?”

ชั่วขณะที่ฉันถามออกไปเพราะไม่เข้าใจคำพูดของอีเบลลีน่า นางก็มองมาที่ฉันพลางยิ้มเยาะ

“ข้าเป็นคนเอาเจ้ามาใส่ในร่างของข้าเอง”

“นั่นมันหมายความว่าอะไร…”

อีเบลลีน่าจับฉันมาใส่ร่างของนางเนี่ยนะ เมื่อได้ยินคำพูดที่ไม่คาดคิด ฉันก็ได้แต่ยืนนิ่งโดยไม่แม้แต่จะเถียงกลับ นางจึงเดินเข้ามาใกล้และสำรวจร่างของฉันพลางหันกลับไปมองร่างของตัวเอง ก่อนจะเปล่งเสียงออกมาคล้ายว่าไม่เข้าใจ

“หลังจากที่ตายแล้วได้ร่างที่สุขภาพดีมา เจ้าไม่คิดว่าเจ้าควรจะใช้ชีวิตอย่างมักง่ายและสนุกกับตัวเองมากกว่านี้หน่อยหรือ”

“สนุกกับตัวเอง?”

“ใช่ ที่ไม่ใช่การเดินไปเดินมาน่ะ”

ตอนนี้ฉันกำลังฝันอยู่เหรอ ทำไมถึงฟังคำพูดของอีเบลลีน่าเข้าหูแต่สมองกลับไม่เข้าใจอะไรเลย

ฉันเคยคิดว่าหากสักวันหนึ่งได้เจอกับวิญญาณของอีเบลลีน่า นางจะต้องโมโหใส่ฉันมากแน่ หรือบางทีนางอาจจะร้องไห้เพราะหวาดกลัวกับสถานการณ์ที่ไม่เข้าใจนี้ แต่พอได้มาเจอจริงๆ อีเบลลีน่ากลับแค่หงุดหงิดฉันเท่านั้นเอง

“อันที่จริง ข้าก็ค่อนข้างตั้งตารออยู่บ้าง ข้าอุตส่าห์เลือกวิญญาณที่ดูน่าสงสารที่สุดมา *‘อ่า ถ้าเด็กคนนี้ใช้ร่างของข้าล่ะก็ คงจะใช้มันได้เละเทะกว่าข้าได้สินะ อย่างไรก็เป็นชีวิตที่เคยตายมาแล้ว ชีวิตที่ได้มาเป็นของแถมนี้ก็คงใช้มันได้อย่างสุดเหวี่ยงไปเลย’*ข้าอุตส่าห์คิดเช่นนี้ แต่ว่า…”

อีเบลลีน่าจับคางของฉันขึ้น ร่างของอีเบลลีน่าสูงกว่าร่างเดิมของฉันมาก ดังนั้นฉันจึงต้องแหงนหน้าให้มากที่สุดเพื่อที่จะมองนาง

“ทำตัวขยันขันแข็งโดยใช่เรื่องเนี่ยนะ ล้อเล่นอยู่หรือเปล่า”

ตอนนี้ในสายตาของอีเบลลีน่าที่กำลังพูดมีความโกรธเกรี้ยวไหวไปมา

“ข้ามองจากในร่างอยู่ตลอดว่าเจ้าทำอะไรไปบ้าง แต่ว่า…”

“เดี๋ยวก่อนค่ะ”

ฉันยกมือขึ้นหยุดอีเบลลีน่าที่ตั้งใจจะพูดต่อ ใบหน้าของอีเบลลีน่าเต็มไปด้วยความหงุดหงิดราวกับถามว่านี่เจ้ากล้าขวางข้าหรือ แต่ก็ยอมปิดปากลง

“คุณบอกว่าคุณเป็นคนพาฉันมาอย่างนั้นเหรอ…?”

“ใช่แล้ว”

“ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ…แต่ตั้งใจเลือกมาด้วย?”

“ใช่ ซาบซึ้งหรือไม่”

จนถึงตอนนี้ ฉันเคยคิดว่ามันคือเรื่องที่เกิดขึ้นมาโดยบังเอิญที่ไม่อาจรู้ ดังนั้นฉันจึงรู้สึกผิดต่ออีเบลลีน่าที่ถูกขโมยร่างกายไปอยู่เสมอ แต่กลายเป็นว่าทั้งหมดเป็นเรื่องที่นางต้องการอย่างนั้นเหรอ

“ทำ…ทำไปเพื่ออะไรเหรอคะ”

ฉันไม่เข้าใจเลย ฉันไม่อยากรู้ด้วยซ้ำว่าเรื่องนี้มันเป็นไปได้อย่างไรและไม่มีความจำเป็นต้องรู้ด้วย เพียงแต่สงสัยว่าอีเบลลีน่าทำเรื่องพวกนี้ไปทำไม อีเบลลีน่าไม่ตอบคำถาม นางเพียงแต่ยิ้มเท่านั้น พอเห็นท่าทางแบบนั้นของนาง ความโกรธก็พลันพลุ่งพล่านขึ้นมา

ในตอนแรกฉันรู้สึกเสียใจที่ทะลุมิติเข้ามาในหนังสือแถมยังเป็นร่างที่มีชะตากรรมให้ต้องตาย แต่โชคดีที่มีความทรงจำของอีเบลลีน่า ไม่อย่างนั้นฉันคงรู้สึกหวาดกลัวและไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น

‘แต่ถึงจะมีความทรงจำอยู่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะสุขสบายเสียหน่อย’

ฉันตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด ทุกคนเกลียดนักบุญหญิงและคนที่เข้าหานางล้วนแต่เป็นพวกหมกมุ่นในความโลภ ฉันเกือบจะถูกผู้ชายที่ไม่รู้จักข่มขืนด้วยซ้ำ ฉันต้องรู้สึกขอบคุณที่นางทำให้ฉันตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นเหรอ?

“ตอนที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่เคยได้ลองไปไหนมาไหนด้วยร่างกายแข็งแรงแบบนี้หรือ เพราะฉะนั้น…”

“ร่างกายแข็งแรงก็จริง”

สุดท้ายฉันก็เปล่งเสียงดุดันออกไปเพราะข่มความโกรธไม่ได้อีกต่อไป

“แต่ชีวิตไม่ได้ดีเลยสักนิด!”

อีเบลลีน่าค่อยๆ หัวเราะขึ้นมาเบาๆ ก่อนจะหัวเราะลั่นเมื่อได้ยินคำพูดที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจของฉัน

“ข้าคือนักบุญหญิง”

“…”

“ถึงทุกคนจะไม่พอใจแต่พวกเขาก็ทำได้แค่คิดเท่านั้น พวกเขาไม่อาจทำอันตรายอะไรนักบุญหญิงได้ ไม่ว่าจะทำเรื่องเหลวแหลกอย่างไรพวกเขาก็ทำได้แค่เพียงบ่นเท่านั้น นักบุญหญิงก็คือตำแหน่งแบบนั้นอย่างไรเล่า แค่ดำรงอยู่ก็ช่วยปกป้องทวีปจากปีศาจได้แล้ว”

ชั่วขณะ ความคิดที่ไม่เข้าท่าก็เข้ามาในหัว

ฉันอยากจะบอกกับอีเบลลีน่าเดี๋ยวนี้ทันที อยากบอกว่าไม่จำเป็นต้องโอ้อวด ที่นี่เป็นเพียงโลกในหนังสือ ตำแหน่งนักบุญหญิงที่เธอเชื่อนักเชื่อหนาว่าเป็นของเธอ เดี๋ยวอีริสก็จะมาขโมยมันไปแล้ว

แต่ฉันก็ไม่ได้พูดออกไป

ฉันนึกถึงภาพของอีเบลลีน่าในหนังสือตอนที่นางไม่ได้เป็นนักบุญหญิงอีกต่อไปเมื่อสูญเสียพลังศักดิ์สิทธิ์ ภาพที่นางตะโกนว่าตนเป็นนักบุญหญิงราวกับคนเสียสติและจบชีวิตลง ฉันคิดว่าการกระตุ้นอีเบลลีน่าในสถานการณ์นี้คงไม่ใช่เรื่องที่ดีสักเท่าไร

แต่ถ้าจะให้ยืนฟังเฉยๆ ฉันก็โมโห ฉันควรพูดอะไรดี ถึงจะตอบโต้คำพูดของอีกฝ่ายกลับไปได้บ้าง

“ฉันโดนปาไข่ใส่มาด้วยนะ”

ฉันโพล่งออกไปเพราะคิดไม่ออกว่าควรเถียงอะไรกลับไปดี อีเบลลีน่าพลันสีหน้าหงิกงอเมื่อได้ยิน

“มาคิดดูแล้ว นี่เจ้าไม่ได้ลงโทษราธบันใช่ไหม เป็นถึงผู้บัญชาการหน่วยอัศวินแห่งวิหารแต่กลับปกป้องนักบุญหญิงไม่ได้ และยังในพิธีสวดภาวนาที่ต้องอารักขาอย่างเข้มงวดด้วย เขาควรต้องชดใช้ด้วยชีวิตสิ”

แต่ละคำ แต่ละคำ ที่อีเบลลีน่ากล่าวออกมาล้วนพรั่งพรูไปด้วยความเคียดแค้น คำพูดที่ว่าให้บั่นคอของเขาไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ร่างกายของฉันสั่นสะท้านเมื่อสัมผัสได้ถึงความเสียดายของนางที่ราวกับจะถามว่าทำไมถึงได้พลาดโอกาสดีๆ แบบนั้นไปได้

“…ทำไมถึงได้เกลียดราธบันถึงขนาดนั้นกันคะ”

ฉันไม่เข้าใจความโกรธแค้นของอีเบลลีน่าที่มีต่อราธบันเลย หรือว่าเคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแต่ไม่ปรากฏในหนังสือ? แต่ดูจากลักษณะของราธบันแล้ว ดูไม่ใช่คนที่จะทำอันตรายหรือเจ็บแค้นใคร บางทีอีเบลลีน่าอาจจะเคยขอให้เขาทำอะไรแล้วไม่ได้ดั่งใจก็เลยเกลียดเขาก็ได้ แต่ถึงกับต้องแสดงความโกรธแค้นอย่างรุนแรงขนาดนี้เลยเหรอ?

“เขาทำอะไรผิดกันแน่ ถึงได้ต้องดูแคลนเขาด้วยวิธีแบบนั้น…แค่ก!”

จู่ๆ อีเบลลีน่าก็จับคอฉัน

“ถูกแล้ว เขาน่ะ ไม่มีความผิดหรอก”

“ปะ ปล่อย…นะ…”

“‘เขา’ ไม่มีความผิดเลย”

อีเบลลีน่าบ่นพึมพำออกมา ก่อนจะปล่อยมือในไม่ช้า แม้นางจะไม่ได้บีบคอฉันอย่างแรง ทว่าด้วยเพราะร่างกายเดิมของฉันอ่อนแอพอที่จะกระดูกหักได้ง่าย ๆ แค่เพียงโดนกระทบเล็กน้อย

“แค่กๆ!”

อีเบลลีน่าปล่อยคอที่ยึดเอาไว้ สายตาของฉันพร่ามัว หลังจากเห็นฉันประคองสติได้ไม่ง่ายนักและซวนเซ อีเบลลีน่าก็ทำสีหน้าเหนื่อยหน่ายพลางกล่าว

“ข้าคนเลือกคนมาผิดจริงๆ”

นางมองไกลออกไป

“ข้านึกว่าจะสนุกเลยตั้งใจเลือกคนแบบเจ้ามา ข้ามอบโอกาสให้วิญญาณน่าสงสารตัวอื่นที่ไม่ใช่เจ้าจะดีกว่า เอาไปให้วิญญาณที่ใช้ชีวิตตามใจตัวเองมากกว่านี้”

พอได้ยินดังนั้น หน้าอกฝั่งนึงของฉันพลันวูบโหวง เพราะฉันเข้าใจดีว่าอีเบลลีน่ากำลังหมายถึงอะไร ตอนนี้นางตั้งใจจะหาวิญญาณตนอื่นมาอยู่ในร่างของนางแทนแล้ว

ฉันคิดอยู่เสมอ

นี่คือร่างกายที่ฉันเข้ามาโดยไม่มีเหตุผล ดังนั้นสักวันหนึ่งก็อาจจะต้องจากไปโดยไม่มีเหตุผลเช่นกัน

หากฉันเตรียมใจเอาไว้ล่วงหน้า เมื่อถึงเวลาที่ต้องจากร่างของอีเบลลีน่าไปจริงๆ จะได้ไม่ต้องรู้สึกไม่ยุติธรรมหรือเศร้าใจ และฉันก็คิดว่าฉันเตรียมใจไว้แล้วในทุกวัน ทว่าวินาทีที่ได้ยินอีเบลลีน่ากล่าวว่าจะหาวิญญาณตนอื่น ความหวาดกลัวก็ยังถาโถมเข้ามา

ร่างกายเริ่มสั่นเทา ใครจะคิดว่าชีวิตที่เหลืออยู่ที่ได้มาเพราะความโชคดีจะต้องมาจบลงแบบนี้

‘ตอนนี้จะตายจริงๆ แล้วใช่ไหม?’

เมื่อคิดดังนั้น ฉันก็นั่งก้มหัวอย่างหมดแรง อีเบลลีน่าเดินเข้ามาใกล้และนั่งอมยิ้มตรงหน้าฉัน

“ว่าแล้วเชียว ดูท่าจะชอบใจร่างนี้ใช่หรือไม่ หน้าตาดูเสียดายจะแย่แล้ว”

คำพูดหยอกล้อของอีกฝ่าย ฉันไม่อาจโต้กลับได้เลย เพราะคำพูดทุกคำของอีเบลลีน่าล้วนเป็นความจริง ฉันเงยหน้าขึ้นและจ้องมองไปที่นาง ร่างกายแข็งแรงที่ฉันเพิ่งเพลิดเพลินไปเมื่อไม่นานนี้กำลังเปล่งประกายอยู่ตรงหน้า

ฉันนึกถึงชีวิตประจำที่สนุกสนานตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา

อยากไปที่ไหนก็ไปได้โดยไม่ต้องกังวลอะไร รู้สึกแปลกใหม่กับความเหนื่อยล้าที่สัมผัสได้จากการเดินมาตลอดทั้งวัน สายลมที่ชวนให้อารมณ์ดีซึ่งพัดผ่านใบหน้าตอนที่วิ่งบนทางเดินที่ไม่มีใคร ความสนุกสนานพวกนี้ทำให้ฉันอดทนต่อไปได้ขณะที่เผชิญหน้ากับเรื่องราวที่ไม่คุ้นเคยบนโลกที่ไม่คุ้นเคย

ตอนนี้ฉันไม่อาจเพลิดเพลิดกับมันได้อีกแล้ว

นี่เป็นเรื่องที่แน่นอนเพราะมันเป็นสิ่งที่มันไม่ใช่ของฉัน เจ้าของต้องการเอาคืนแล้วดังนั้นฉันก็ควรคืนกลับไป แต่ว่าทำไมฉันถึงได้รู้สึกไม่ยุติธรรมและเศร้าใจกัน

หยาดน้ำตาร่วงหล่นลงบนหลังมือ ฉันร้องไห้ออกมาโดยไม่รู้ตัว ฉันรู้สึกอับอายและหงุดหงิดมากที่ให้อีเบลลีน่าเห็นท่าทางแบบนี้ พอเงยหน้าขึ้นก็พบว่าอีเบลลีน่ากำลังยิ้ม นางจับผมของฉันเพื่อทำให้เงยหน้าขึ้น

“เจ้าอยากได้ร่างนี้ใช่หรือไม่?”

“…”

ฉันไม่ได้ตอบ เพราะอย่างไรนางก็ถามทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้ว

“ร่างนี้เจ้าจะเอาไปก็ได้”

ชั่วขณะนั้นหัวใจของฉันเต้นแรง ปากของอีเบลลีน่ากำลังพูดสิ่งที่ฉันคาดหวังมากที่สุด แม้สองปีหลังจากนี้จะมีชะตาให้ต้องตาย แต่ถึงอย่างไรฉันก็ยังคงต้องกายร่างของอีเบลลีน่า

“แต่ว่าข้ามีเงื่อนไขอย่างหนึ่ง”

“เงื่อนไขอะไรเหรอ”

กระทั่งการข่มความความรู้สึกกระวนกระวายใจก็ยังไม่อาจทำได้ ข้อมือผอมแห้งคว้าจับมือของอีเบลลีน่า ตอนที่ได้สัมผัสผิวหนังที่นุ่มและขาวนวลของนางซึ่งต่างจากผิวหนังที่แตกระแหงของฉัน ทำให้ฉันเกิดความโลภยิ่งกว่าเดิม

ฉันอยากได้ร่างกายนี้กลับมาอีกครั้ง ถึงจะเป็นร่างกายที่มีจุดจบ แต่ฉันก็ต้องการร่างของอีเบลลีน่าไม่ใช่ใครอื่น

“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าจะทำได้หรือไม่…”

“ไม่ว่าอะไรก็จะทำทั้งนั้น”

ทันทีที่ตอบกลับไปเช่นนั้น บนหน้าของอีเบลลีน่าพลันปรากฏรอยยิ้มชั่วร้าย นางกำลังยิ้มเย้ยและคิดจะแกล้งฉัน จะต้องเป็นเงื่อนไขที่ไม่เข้าท่าเป็นแน่ แต่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ไม่สำคัญ อีเบลลีน่ามองฉันและเอาแต่หัวเราะโดยไม่กล่าวอะไรทั้งสิ้น ฉันถามออกไปด้วยความร้อนใจ

“คงไม่ใช่ว่า…จะให้ไปฆ่าใครหรอกนะ?”

ความผิดที่รุนแรงและยากที่สุดเท่าที่ฉันจะคิดได้คือการฆ่าคน ทว่าอีเบลลีน่ากลับส่ายหน้า

“นั่นทำไม่ได้ นักบุญหญิงไม่อาจฆ่าใครได้ ฆ่าตัวตายก็ทำไม่ได้เช่นกัน”

“…”

น้ำเสียงของอีเบลลีน่าเด็ดขาดราวกับว่านางเคยลองมาแล้ว

“แล้วนั่นก็ไม่สนุกด้วย ไหนๆ แล้วก็ทำเรื่องสนุกๆ ดีกว่า ดังนั้น…ใช่ ทำเรื่องที่เจ้าลำบากใจดีกว่า”

“…เรื่องที่ฉันลำบากใจ?”

อีเบลลีน่ายิ้มออกมาอย่างสว่างไสวกว่าครั้งไหนๆ

“ไปมีอะไรกับผู้ชายเสีย ภายในหนึ่งอาทิตย์”

“…อะไรนะคะ?”

ฉันอ้าปากค้างพลางมองไปที่นางหลังจากได้ยินเงื่อนไขเหลวไหลของอีเบลลีน่า ให้ไปนอนกับผู้ชาย? แถมยังต้องทำภายในหนึ่งอาทิตย์? ราวกับได้เห็นการตอบสนองที่ต้องการ สีหน้าอีเบลลีน่าจึงยิ่งดูสนุกมากขึ้น

“ถ้าเจ้าทำไม่ได้ภายในหนึ่งอาทิตย์ ข้าจะไล่เจ้าออกไปทันที”

“ทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรกันแน่”

คงไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษ นางเพียงแค่อยากเห็นท่าทางเป็นทุกข์ของฉัน ไม่สิ ต่อให้ไม่ใช่ฉัน อีเบลลีน่าก็คงจะยื่นเงื่อนไขแบบเดียวกันให้ ถึงจะแปลก แต่ดูเหมือนนางอยากจะให้ใครสักคนนำร่างกายของนางไปใช้ให้เละเทะที่สุด แม้ฉันพยายามคิดอย่างไรก็ไม่อาจคาดเดาเหตุผลได้เลย

“เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้”

อีเบลลีน่าพูดจบก็จุมพิตลงลงบนหน้าผากของฉันอย่างรักใคร่ ราวกับอวยพรให้กับเรื่องที่ฉันต้องทำต่อจากนี้

“เป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก แค่เจ้ายกปลายเสื้อขึ้น ผู้ชายพวกนั้นก็เข้ามาเอาเจ้าแล้ว ข้าพูดไปก็ออกจะดูหลงตัวเองไปหน่อย แต่ร่างกายนี้กระตุ้นความอยากของพวกเขามากเลยล่ะ”

สีหน้าของอีเบลลีน่าบิดเบี้ยวขึ้นมาแวบหนึ่งเมื่อพูดเช่นนั้น เป็นเพียงชั่วขณะเดียวที่หากไม่ตั้งใจสังเกตให้ดีก็คงไม่เห็น

“ตอนนี้เจ้ากลับไปได้แล้วล่ะ”

อีเบลลีน่าพูดเช่นนั้นก่อนจะผลักร่างของฉัน ความรู้สึกคล้ายกำลังจากไปยังที่ห่างไกลพร้อมกับสติที่เริ่มเลือนลาง เสียงหัวเราะของอีเบลลีน่ายังคงดังมาให้ได้ยินจากที่ไกลๆ