ลืมตาตื่นขึ้นมาก็เห็นสถานที่คุ้นเคย เพดานของห้องนอนนักบุญหญิงที่ฉันเข้านอนอยู่เสมอเข้ามาในสายตา
“ท่านนักบุญหญิง!”
ทันทีที่ฉันลืมตาและขยับตัว นักบวชที่อยู่ด้านข้างก็ร้องเรียกฉันเสียงดัง พวกเขารีบเอาน้ำมาให้พลางตะโกนเรียกนักบวชคนอื่น ยุ่งวุ่นวายกันมาก
“…เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
“จำไม่ได้หรือขอรับ จู่ๆ ท่านก็เป็นลมไปตอนกำลังเตรียมตัวในพิธีสวดภาวนาวันที่สอง ทุกคนกังวลกันไปหมดเลยเพราะท่านไม่ได้สติถึงสามวัน แต่ว่าท่านก็ฟื้นกลับมาได้อย่างปลอดภัยเช่นนี้ ดูท่าพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่จะคอยดูแลท่านนักบุญหญิงอยู่เสมอ”
ไม่ใช่ ที่ฉันตื่นขึ้นมาเพราะอีเบลลีน่าส่งฉันกลับมาต่างหาก ยิ่งไปกว่านั้น มีคำพูดที่ทำให้ฉันต้องหนักใจ
“…สามวัน?”
“ใช่ขอรับ ท่านน่าจะรู้สึกหิวแล้ว ข้าจะสั่งให้คนไปเตรียมซุปอ่อนๆ มาให้ท่าน”
พูดจบ เหล่านักบวชก็เดินไปมากันจนวุ่นวายไปทั่ว ในตอนนั้นเองในหูพลันได้ยินเสียงบางอย่าง
เหลืออีกสี่วันหรือ สู้เข้านะ
“อีเบลลีน่า!”
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉันก็เผลอเรียกชื่อของอีกฝ่ายออกมา ทันใดนั้น เหล่านักบวชที่ยืนอยู่ด้านข้างก็หันมามองฉันด้วยสายตาราวกับจะถามว่าพูดอะไร
“อา…”
ใช่แล้ว ตอนนี้ฉันก็คืออีเบลลีน่า ฉันมองไปยังสองมือโดยไม่สนใจสายตาที่พุ่งมา ผิวหนังสีขาวเนียน ไม่มีรอยแผลใดๆ เข้ามาในสายตาของฉัน
‘นางบอกว่าหนึ่งสัปดาห์ไม่ใช่เหรอ’
เงื่อนไขรวมเวลาที่กำลังสลบอยู่ด้วยอย่างนั้นเหรอ ฉันย้อนนึกถึงเสียงของอีเบลลีน่าที่หัวเราะคิกคักและกระซิบอยู่ในหูฉันเมื่อครู่ สี่วัน ให้นอนกับใครภายในสี่วันเนี่ยนะ?
ฉันมองมือของตัวเองอีกครั้ง หากยังอยากให้มือคู่นี้เป็นของตัวเองในอีกสี่วันให้หลัง ฉันก็ต้องทำตามคำสั่งที่ไร้เหตุผลของอีเบลลีน่า
***
โชคดีที่ร่างกายไม่ได้มีปัญหาอะไร ขนาดที่ไม่อยากเชื่อว่านี่คือร่างกายของคนที่สลบไปถึงสามวัน แต่ถึงจะเป็นแบบนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ฉันได้ยินมาบ้างว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงที่ฉันสลบไปหลังจากตื่นมา หลังจากฉันสลบไปก็เกิดความวุ่นวายกับพวกเขาไม่ใช่เล่นๆ เพราะฉันสลบไปตอนที่ดื่มชา ดังนั้นนักบวชคนที่นำชามาให้ฉันคนแรกจึงถูกนำไปขังไว้ในคุก
“นี่เป็นชาที่ท่านนักบุญหญิงเป็นคนมอบให้เองกับมือ! ท่านสั่งไว้ว่าจากนี้ไปให้ยกชานี้ไปให้! ข้าไม่ได้ทำอะไรเลยทั้งนั้น!”
เมื่อได้ฟังเช่นนั้น เหล่านักบวชจึงนำใบชาที่ยังเหลืออยู่ในห้องครัวมาพิจารณา พวกเขาลองนำชาไปละลายและดื่มดูหลายครั้ง ลองเคี้ยวดูอีกหลายหน ทั้งยังไปสืบอีกว่านักบวชผู้นั้นเอาชามาจากใครหรือเปล่า และพวกเขาก็มีชื่อหนึ่งที่นึกออกขึ้นมา เป็นคาลูซ
ไม่นานมานี้ นักบวชที่ปิดปากเงียบมาตลอดมาสารภาพบาปเรื่องที่คาลูซเข้าไปในห้องของนักบุญหญิงแล้วตะเบ็งเสียงดังจนทุกคนที่อยู่ด้านนอกได้ยินกันทั่ว ด้วยเหตุนี้นักบวชคาลูซจึงถูกลากไปยังคุกใต้ดินทันที และปัญหาก็เกิดขึ้นที่นั่น
“ปล่อยข้า! นี่ตอนนี้เจ้าถึงกับกล้าพาตัวนักบวชระดับสูงไปขังในคุกใต้ดินเลยอย่างนั้นหรือ!”
คาลูซขัดขืนหน่วยอัศวินแห่งวิหารอย่างรุนแรงขณะถูกลากลงไปใต้ดิน ทันใดนั้น คนที่ถูกขังอยู่ด้านในก็ตกใจที่ได้ยินเสียงเขาจึงวิ่งมาจับลูกกรง และตะโกนเรียกเขา
“เอ๋? ท่านนักบวชคาลูซ!”
“นี่ นี่มันอะไรกัน ทำไมท่านนักบวชคาลูซถึงมาอยู่ที่นี่…”
ราธบันไม่พลาดที่จะสนทนากับพวกเขา
“รู้จักกันนี่เอง”
ครั้นได้ยินคำพูดของเขา คาลูซและชายพวกนั้นก็รีบปิดปากลง แต่ก็สายไปเสียแล้ว
“แสดงว่า…ที่สร้างความวุ่นวายและปาไข่ในพิธีสวดภาวนาเป็นการบงการของนักบวชคาลูซอย่างนั้นหรือ”
“ใช่ขอรับ”
ราธบันก้มหัวลง แม้ฉันจะเคยคิดไว้บ้างว่าเขาจะสร้างเรื่องอะไรแต่เขากลับทำเรื่องนี้ ปัญหาก็คือเขาไม่ได้อะไรเลย แถมดูเหมือนเขายังข่มขู่อีกว่าจะเผยแพร่เรื่องเกี่ยวกับพวกผู้ชายคนอื่นอีก
‘โง่เง่า อีเบลลีน่าคงไม่สนใจเรื่องแบบนั้นเลยสักนิด’
ฉันย้อนนึกถึงบทสนทนาที่คุยกับนางในห้วงจิต แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ฉันก็พอจะรู้ได้ว่าอีเบลลีน่าเป็นคนอย่างไร ถ้าเป็นนางจะต้องสั่งให้คาลูซทำมากกว่านี้แน่นอนเพราะนั่นทำให้นางสนุก
ฉันถอนหายใจออกมาพลางนึกย้อนถึงสถานการณ์ในตอนนี้
‘สุดท้ายก็ไม่ได้เข้าร่วมพิธีสวดภาวนาในวันที่สองจนได้’
เพราะสลบไปจึงทำให้เข้าร่วมไม่ได้อย่างนั้นหรือ แต่ดูท่าว่าด้านนอกคงจะลือไปอีกแบบเป็นแน่ คงลือกันว่านักบุญหญิงรู้สึกถึงอันตรายจากการถูกจู่โจมในวันก่อนเลยอ้างว่าเป็นลมแล้วก็มาเข้าร่วมไม่ได้ ฉันรู้สึกไม่ยุติธรรมขึ้นมา บทสวดภาวนาที่ฉันตั้งใจจำมาตลอดนั้นมีตั้งกี่บทกัน ฉันตั้งใจเตรียมพิธีเดินไปนู่นไปนี่จนเจ็บเท้า แต่สุดท้ายแล้วความพยายามกลับไม่เห็นผล
ฉันนึกย้อนถึงเนื้อหาในนิยายขึ้นมากะทันหัน
ในหนังสืออีเบลลีน่าอ้างว่าป่วยจึงไม่อาจมาเข้าร่วมพิธีสวดภาวนาได้ แน่นอนว่าไม่มีใครเชื่อ
‘เอ๋…?’
ในช่วงพิธีสวดภาวนาอีเบลลีน่าทำอะไรบ้างในนิยายไม่มีกล่าวถึงไว้เลย หากเขียนถึงสิ่งที่นางทำช่วงเวลานั้น ผู้ติดตามก็อาจจะเกลียดการกระทำที่เลวร้ายของนางมากขึ้นก็ได้ไม่ใช่เหรอ
ความคิดแบบนั้นเข้ามาในหัวกะทันหัน คงไม่ใช่ว่าอีเบลลีน่าป่วยจริงๆ หรอกนะ เหมือนกับฉันในตอนนี้?
“ท่านนักบุญหญิง?”
“อ่า ขอโทษที”
เสียงเรียกของราธบันทำให้ฉันหลุดออกจากภวังค์ ฉันหันไปโค้งหัวให้เขาเล็กน้อยแล้วเอ่ย
“ขอบใจมากที่มารายงานอย่างละเอียด ตอนนี้เจ้ากลับไปได้แล้วล่ะ”
หลังจากที่ฉันรู้สึกตัวและลืมตาขึ้นมา ฉันก็พบเจอราธบันได้อย่างง่ายดายในทุกที่ที่ฉันมองเห็น ได้ยินมาจากพวกนักบวชว่าหลังจากที่ฉันสลบไปเขาก็ตรวจสอบความจริงไปทั่วจนแทบไม่ได้นอนเลย
‘สุดท้ายก็ไม่รู้เหตุผล’
ณ จุดนี้ฉันคิดจริงๆ ว่าชาไม่ใช่ปัญหา แต่เป็นอีเบลลีน่าที่เรียกฉันกลับไปในตอนที่นางอยากเรียก บางทีตอนได้สติก็อาจเป็นอีเบลลีน่าที่ผลักฉันออกมาจากพื้นที่มืดด้วย ขณะที่ฉันคิดเช่นนั้นและตั้งใจจะส่งราธบันออกไป
“ทำแบบนั้นไม่ได้ขอรับ”
ฉันคิดว่าเขาจะกล่าวลาแล้วจากไปเหมือนอย่างปกติ แต่เขากลับไม่ขยับตัว
“วันนี้ตอนเย็นได้ยินมาว่าท่านมีนัดพบกับคณะราชทูตจากจักรวรรดิ”
“ก็ใช่แต่…”
ระหว่างที่ฉันสลบไป พิธีสวดภาวนาก็จบลงและคณะราชทูตของแต่ละประเทศที่รอพบส่วนใหญ่ก็กลับไปหมดแล้ว
อาจสงสัยว่าแค่สามวันก็รอไม่ได้เลยหรือ แต่ก็เพราะไม่รู้ว่าฉันจะรู้สึกตัวขึ้นมาตอนไหน รวมถึงคณะราชทูตส่วนใหญ่ก็ไม่เชื่อความจริงที่ว่าอีเบลลีน่าสลบไป พวกเขาคิดว่าเป็นข้ออ้างที่กุขึ้นมาเพราะนักบุญหญิงไม่อยากพบเจอพวกเขา
‘ยิ่งไปกว่านั้น หากฉันตั้งใจหลบหน้าแบบนี้แล้วยังมีใครอยู่รออีกก็คงไม่มีเรื่องดีๆ แน่นอน’
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้คณะราชทูตส่วนใหญ่ล้มเลิกการเข้าพบและออกจากวิหารหลวงไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่ได้จากไปทั้งหมด คณะราชทูตของจักรวรรดิอาเพเลียสที่คิดว่าจะจากไปเป็นกลุ่มแรกกลับยังคงรอเข้าพบนักบุญหญิงอยู่
ตอนแรกฉันไม่คิดจะพบพวกเขาและให้พวกเขากลับไป แต่ฉันก็เปลี่ยนความคิด พูดให้ชัดเจนคือเพราะต้องการทำหน้าที่ของนักบุญหญิงให้สมบูรณ์
เหตุผลที่ฉันทำเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องทำมีอย่างเดียว นั่นคือจิตใจที่ต่อต้านอีเบลลีน่า
นึกถึงภาพนางหัวเราะเยาะฉันคนที่อยากได้ร่างกายนี้ น้ำเสียงที่ราวกับกำลังเล่นสนุกกับขอทานที่หิวโหยโดยการแกว่งของกินต่อหน้าและบอกให้ลองจับ น้ำเสียงเช่นนั้นยังคงชัดเจนอยู่ในหู ถึงฉันจะได้รับการต้อนรับแบบนั้นแต่ก็ไม่อาจขัดขืนอะไรได้เลย เพราะเรื่องที่ฉันอยากได้ร่างกายนี้มันคือความจริง หากอยากอาศัยอยู่ในร่างนี้ต่อไป ฉันก็ต้องทำตามที่นางสั่ง
‘แต่ถึงอย่างไรฉันก็ไม่อยากทำตามที่อีเบลลีน่าสั่งอย่างว่านอนสอนง่าย’
จะว่าอย่างไรดี ฉันอยากประท้วงอีเบลลีน่า แล้วฉันก็คิดออก อีเบลลีน่าไม่พอใจที่ฉันทำงานของนักบุญหญิง
‘นางบอกว่าฉันทำตัวขยันขันแข็งโดยใช่เรื่อง’
ตอนที่นึกถึงคำพูดนั้นได้ ฉันก็หันไปกล่าวกับเหล่านักบวช ว่าฉันอยากพบกับคณะราชทูตของจักรวรรดิอาเพเลียสเดี๋ยวนี้ ทันที
ฉันไม่อยากเดินตัวสั่นออกไปหาผู้ชาย เพราะนั่นจะต้องเป็นภาพที่อีเบลลีน่าอยากเห็นที่สุดแน่นอน
***
เมื่อถึงเวลา ฉันก็ไปสถานที่จัดงานเลี้ยงกับนักบวชอีกสองสามคน รอบกายมีหน่วยอัศวินแห่งวิหารนอกจากราธบันอยู่อีกจำนวนหนึ่งยืนอารักขาอย่างชิดใกล้ ทันทีที่ประตูเปิดและฉันก้าวเข้าไปด้านใน คณะราชทูตของจักรวรรดิอาเพเลียสที่มาถึงก่อนก็ลุกขึ้นและโค้งคำนับมาทางฉัน
คณะราชทูตมีด้วยกันสามคน อาจเพราะพวกเขาบอกว่าอยากเข้าพบเงียบๆ ดังนั้นจึงมาพบด้วยจำนวนคนที่น้อยที่สุด ชายผู้เป็นตัวแทนจากทั้งสามเดินมาตรงหน้าฉันแล้วคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ฉันยื่นมือออกไปให้เขา ทันใดนั้น ชายผู้นั้นก็นำมือของฉันไปใกล้ริมฝีปาก
ฉันเกิดความรู้สึกคุ้นเคยกับอีกฝ่ายขึ้นมา คุ้นเคยกับเส้นผมสีทองที่ดูนุ่มนวล
ไม่มีทาง คนที่ฉันเคยพบบนโลกใบนี้จะมีสักกี่คนกัน ตอนนั้นเอง ชายผู้นั้นก็จุมพิตลงบนหลังมือของฉัน
ปกติการทักทายเช่นนี้จะทำเพียงแค่จุมพิตสั้นๆ แล้วถอยออกไป แต่ชายผู้นี้กลับไม่ถอนริมฝีปากเป็นเวลานาน ตอนที่ฉันกำลังทำตัวไม่ถูกกับการกระทำเช่นนี้ของเขา ที่หลังมือก็พลันเกิดรู้สึกแปลกประหลาด
“…!”
เป็นความรู้สึกเหมือนลิ้นเลียอยู่บนหลังมือ จังหวะที่ฉันสะดุ้งเพราะเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง ชายผู้นั้นก็เงยหน้าขึ้นมา
นัยน์ตาสีฟ้าเข้มมองมาที่ฉัน ฉันมั่นใจว่านี่เป็นดวงตาที่อยู่ในความทรงจำ เคยเห็นที่ไหนกันนะ ที่ไหน…
ตอนนั้น ชายผู้นั้นเปิดปากกล่าว
“ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งนะขอรับ ท่านนักบุญหญิง”
“…เจ้าคือ”
ชายชราผู้เคยที่ได้รับการประสาทพรจากฉันในพิธีสวดภาวนา เขาอยู่ตรงหน้าฉันด้วยภาพลักษณ์ที่ต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง