ในที่สุดหลินมู่อวี่ก็เข้าใจเจตนาดีของราชาปีศาจเจ็ดประทีป
ในนรกโลกันตร์ชั้นที่สิบเจ็ดเมื่อสองร้อยปีก่อน ฉินอี้ผู้ก่อตั้งจักรวรรดิฉินได้สวรรคตระหว่างการต่อสู้ พลังยุทธ์ของเขาถูกฝังซ่อนในดาบหักที่ราชาปีศาจเจ็ดประทีปเก็บไว้กับตัวตลอดเวลา และในที่สุดราชาปีศาจก็ตัดสินใจมอบดาบที่มีพลังโซ่เทวะให้หลินมู่อวี่เป็นของขวัญเพื่อหลอม
…
หลินมู่อวี่คุกเข่าลงกับพื้น สัมผัสถึงพลังอันแข็งแกร่งของโซ่เทวะก่อนหลับตาและดื่มด่ำกับความสงบที่เกิดขึ้น นอกจากพลังป้องกันของวิญญาณยุทธ์น้ำเต้าแล้ว หลินมู่อวี่ยังได้รับพลังโจมตีอันแข็งแกร่งมาด้วย แม้วิญญาณยุทธ์โซ่เทวะจะยังอยู่เพียงระดับหนึ่ง ก็สามารถช่วยเพิ่มพลังให้หลินมู่อวี่ได้ถึงสิบเปอร์เซ็นต์
ขั้นต่อไปคือตามหาสัตว์วิญญาณที่เหมาะสมในป่าล่ามังกร เพื่อเพิ่มพลังให้โซ่เทวะจนถึงระดับแปด เพราะฐานพลังยุทธ์ของหลินมู่อวี่ในตอนนี้เพียงพอให้พัฒนาแล้ว
หลินมู่อวี่ค่อยๆ เรียกวิญญาณยุทธ์โซ่เทวะเข้าสู่ร่างกาย เขารู้ดีว่าไม่ควรเปิดเผยพลังนี้ให้ใครเห็นหากไม่จำเป็น ยิ่งไปกว่านั้นทุกคนต่างรู้ว่าวิญญาณยุทธ์โซ่เทวะอันโดดเด่นนี้เป็นของราชวงศ์ฉิน หลังฉินเหลยตายจึงเหลือผู้ครอบครองพลังนี้เพียงหนึ่งเดียวนี้เท่านั้นคือฉินอิน หากมีคนรู้ว่าหลินมู่อวี่ใช้ได้ ผลกระทบที่ตามมาคงยากจะคาดเดา
แม้จะยังไม่รู้ว่าเป็นผลดีหรือร้าย แต่หลินมู่อวี่ทราบดีว่าเมื่อใดก็ตามที่ความสามารถนี้ถูกเปิดเผยต่อถังหลานและซูมู่หยุน…ทั้งสองคนต้องสั่งฆ่าตนแน่ ตั้งแต่โบราณกาล บัลลังก์จักรพรรดิสืบทอดในผู้ชายไม่ใช่ผู้หญิง หากมีคนรู้ว่าหลินมู่อวี่ใช้โซ่เทวะได้ ต้องถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสายเลือดฉินจิ้นและอาจนำไปสู่การเปลี่ยนบัลลังก์
ซูมู่หยุนคงไม่ยอมให้คนนอกขึ้นครองบัลลังก์แทนหลานสาวของตน ส่วนถังหลานก็คงไม่ยอมให้ใครทำลายสิ่งที่เขาทำไว้อย่างแน่นอน
หลินมู่อวี่สูดหายใจลึกก่อนยิ้มอย่างสบายใจ ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้เขาก็มีวิญญาณยุทธ์สองดวงแล้ว เป็นสิ่งที่วิเศษอย่างมาก ถึงกระนั้นก็ต้องเก็บเป็นความลับ วิญญาณยุทธ์ระดับแปดทั้งสองนี้จะถูกนำออกมาใช้เมื่อตกอยู่ในวิกฤตเท่านั้น!
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้หลินมู่อวี่ประหลาดใจคือวิญญาณยุทธ์น้ำเต้าทองไม่ปฏิเสธโซ่เทวะ ราวกับมันเข้ากันได้ แสดงให้เห็นว่าน้ำเต้าทองระดับแปดนั้นแข็งแกร่งพอๆ กับโซ่เทวะซึ่งเป็นวิญญาณยุทธ์ชั้นหนึ่ง บางทีระหว่างที่เขาฝึกอยู่น้ำเต้าทองคงพัฒนาจนสามารถเทียบชั้นกันได้
ในที่สุดเขาก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยล้า จึงเดินตรงเข้าไปในห้องทำงานพร้อมกับบอกกล่าวทหารด้านนอก “ ข้าจะนอนแล้ว อย่าให้ใครมารบกวน”
“ขอรับท่านผู้นำ แต่…ท่านต้องการพักผ่อนในห้องทำงานหรือขอรับ?”
“อืม”
“ขอรับ”
…
หลินมู่อวี่นอนหลับอยู่ในห้องทำงานนานกว่าสามวันสามคืน
หลังจากผ่านไปสามวัน เขาตื่นขึ้นมาพร้อมกับเปิดประตูห้องทำงานด้วยความหิวโหย “เตรียมสำรับเลิศรสให้ข้า…ข้าหิวจนกินโต๊ะได้ทั้งตัว”
ทว่ากลับเป็นฉู่เหยาที่สวมชุดสวยงามนั่งยิ้มอ่านข่าวสารเมืองหลันเยี่ยนอยู่ นางหันมามองหลินมู่อวี่ “ข้ารอเจ้ามาสองชั่วโมงแล้วอาอวี่”
“ข้าฝึกหนักเลยพักผ่อนนานไปหน่อย ในเมื่อพี่ฉู่เหยามาแล้ว เราไปหาอะไรกินด้วยกันเถิด”
“เออ…”
ห้องครัวของวิหารศักดิ์สิทธิ์กว้างขวางมาก ข้างในมีคนเจ็ดถึงแปดคนกำลังวุ่นอยู่กับการจัดสำรับอาหาร หลินมู่อวี่พาฉู่เหยามาร่วมโต๊ะอาหารค่ำด้วยกัน หลังจากกินไก่ย่างสองตัวกับขากวางหนึ่งขา หลินมู่อวี่ก็รู้สึกอิ่มพลางตบหน้าท้องตัวเองด้วยความพอใจ ก่อนจะหัวเราะและสะอึกไปพร้อมกัน “พี่ฉู่เหยามาถึงวิหารศักดิ์สิทธิ์ มีเหตุสำคัญใดหรือไม่?”
“อืม”
ฉู่เหยาหัวเราะ “สมาพันธ์โอสถได้รับสมัครนักปรุงโอสถใหม่จำนวนมาก เกินกว่างานที่ได้รับมอบหมายจากกระทรวงกลาโหม ทำให้มีโอสถล้ำค่ามากมาย ข้าได้ยินมาว่าเจ้าร่วมมือกับจินเสี่ยวถังเปิดร้านค้าจื่อยิน จึงคิดจะฝากเจ้าไปขาย หลังขายได้หมดเจ้าก็หักค่านายหน้าส่วนที่เหลือก็ส่งมอบเป็นรายได้แก่สมาพันธ์โอสถ ตกลงหรือไม่?”
“อ้อ พี่ฉู่เหยาอยากคุยเรื่องการปันส่วนอย่างนั้นรึ?” หลินมู่อวี่หัวเราะ
“ใช่ อาอวี่ของข้า มาทำข้อตกลงกันเถิด เพราะร้านค้าล่ามังกรและร้านค้าศาสตราวุธว่านเซื่งช่างใจดำ พวกเขาเก็บค่านายหน้าจากยอดขายตั้งสามสิบเปอร์เซ็นต์”
“เช่นนี้เอง…” หลินมู่อวี่พยักหน้า “ข้าจะคุยกับจินเสี่ยวถังให้ ร้านค้าจื่อยินจะเก็บจากยอดขายเพียงสิบเปอร์เซ็นต์ เพราะเราเป็นร้านค้าเปิดใหม่คงลดให้มากกว่านี้ไม่ได้ พี่ฉู่เหยาคิดว่าอย่างไรกับยอดที่เสนอ?”
ฉู่เหยายิ้มอย่างมีความสุข “ข้ารับข้อเสนอ ในฐานะผู้นำสมาพันธ์โอสถข้าตัดสินใจคนเดียว”
“เยี่ยมเลย”
หลินมู่อวี่หยิบไก่ย่างตัวที่สามมากิน “ช่วงนี้พี่ฉู่เหยาต้องระวังเป็นพิเศษนะขอรับ เสี่ยวอินเพิ่งออกคำสั่งให้เฟิงจี้สิงตรวจตราสถานการณ์ทุกแผนก อย่าถูกจับได้แล้วกัน…”
ฉู่เหยายิ้มเยาะ “เจ้าเด็กโง่ สาปแช่งข้าอย่างนั้นรึ? เรื่องอาหารลดบ้างก็ดี อย่ากินให้มากนัก…”
“ไม่เป็นไร ข้าตะกละอยู่แล้ว หากเอาวัวโรยยี่หร่ามาให้ ข้าก็กินมันได้ทั้งตัว”
ฉู่เหยาถึงกับพูดไม่ออก
…
ค่ำคืนแห่งการพักผ่อนมาเยือน พรุ่งนี้เช้าหลินมู่อวี่ต้องไปเข้าร่วมการประชุม ณ ตำหนักเจ๋อเทียนตามที่ถูกเรียกตัว
รุ่งสาง หลินมู่อวี่อาบน้ำแต่งตัวก่อนจะขึ้นควบม้ามุ่งสู่ตำหนักเจ๋อเทียนเพียงลำพังพร้อมกับกระบี่วิญญาณมังกร ครานี้เขาสวมชุดผู้นำศักดิ์สิทธิ์ใหม่ซึ่งไม่ต่างจากเดิมเท่าไรนัก เว้นเสียแต่เกราะที่รายล้อมด้วยศิลาทะยานนภา ช่วยลดน้ำหนักของเกราะลงอย่างมากและพลังป้องกันยังคงเดิม
ด้านหน้าตำหนักเจ๋อเทียน วางเหว่ยนำกองทหารอวี้หลินเฝ้าอารักขา เมื่อเห็นหลินมู่อวี่ก็ประสานหมัดยิ้มให้แต่ไกล “ท่านหลินมู่อวี่มาเร็วจังนะขอรับ”
“อืม…”
หลินมู่อวี่ถาม “ท่านพี่เฟิงมาถึงหรือยัง?”
“ขอรับ เชิญเข้าไปพบเขาเถิด เฒ่าจางผู้นี้จะตามเข้าไปหลังตรวจตราได้รอบหนึ่งแล้ว”
“อืม”
เมื่อก้าวเข้าสู่ตำหนักเจ๋อเทียน หลินมู่อวี่ไม่รู้ว่าตัวเองควรอยู่ที่ใดเพราะไม่มียศทางทหาร ทว่าเป็นผู้นำแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์…ตำแหน่งนี้ไม่รวมอยู่ในลำดับขั้นของจักรวรรดิ จึงทำให้เขารู้สึกประหม่าเล็กน้อย
“อาอวี่ ทางนี้!” โชคดีที่เฟิงจี้สิงมองทักทายมาแต่ไกลและให้ไปยืนอยู่ด้วยกัน ตำแหน่งผู้นำวิหารศักดิ์สิทธิ์นั้นแทบไม่ต่างจากผู้บัญชาการทหาร
เฟิงจี้สิงมองหลินมู่อวี่ด้วยความประหลาดใจ “ดูเหมือนรัศมีพลังเจ้าจะเปลี่ยนไปเล็กน้อยนะอาอวี่”
หลินมู่อวี่ชะงัก เป็นไปได้หรือไม่ที่เฟิงจี้สิงจะรู้ว่าเขาครอบครองวิญญาณยุทธ์โซ่เทวะและกลยุทธ์ดวงดาวขั้นที่สองได้?
“เปลี่ยนอย่างไรหรือ?”
“แค่รู้สึกไม่เหมือนเดิมอย่างบอกไม่ถูก ฮ่าๆๆ” เฟิงจี้สิงหัวเราะพลางโบกมือปัด “ลืมที่พูดไปเถิด ข้ามีเรื่องต้องบอกเจ้า”
“เรื่องใดหรือท่านพี่เฟิง?”
“ข้าอยากยืมใครบางจากเจ้า”
“ผู้ใด?”
เฟิงจี้สิงเกาหัวด้วยความเคอะเขิน “ดูเถิด นอกจากข้า…กองทัพองครักษ์เต็มไปด้วยพวกป่าเถื่อนอย่างจางเหว่ยและเซี่ยโหวซาง พวกนั้นหยาบคายและโง่เขลาอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ จากกองทัพทั้งสองหมื่นคน ต้องมีใครสักคนที่เป็นที่พึ่งได้ ดังนั้นพี่เฟิงผู้นี้จึงอยากของยืมแม่ทัพจากกองทัพมังกรผงาดได้หรือไม่?”
หลินมู่อวี่รู้โดยทันทีว่าต้องเป็นเรื่องไม่ชอบมาพากลแน่ “ท่านพี่อยากได้หลัวอวี่อย่างนั้นรึ?”
“ฮ่าๆๆ ใช่ ข้าต้องการหลัวอวี่”
เฟิงจี้สิงโอบแขนหลินมู่อวี่อย่างหวังผล “เราสองพี่น้องจะแบ่งทหารให้กันไม่ได้เชียวหรือ? เจ้าก็เห็นว่าทัพมังกรผงาดมีทหารเพียงหนึ่งพันนาย และยังไม่มีทีท่าว่าจะขยายกองกำลังได้ในเร็ววันนี้ อีกทั้งยังไม่เฟิงสี่กับฉินเหยียนซึ่งเป็นปรมาจารย์ยุทธ์อยู่แล้ว เจ้าไม่สงสารพี่เฟิงผู้นี้หน่อยหรือ? คนใต้บัญชาการข้าต่างใช้งานยากกันทั้งนั้น หากเจ้าให้ข้ายืมหลัวอวี่…ข้าจะแบ่งไวน์ชั้นดีจากบ้านข้าให้เหยือกหนึ่ง ตกลงหรือไม่?”
หลัวอวี่ที่ยืนฟังอยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้น “ท่านหลินมู่อวี่ อย่าได้…”
หลินมู่อวี่รู้อยู่แล้วว่าเฟิงจี้สิงกำลังขาดกำลังคนและหลัวอวี่สามารถทำหน้าที่ในกองทัพองครักษ์ได้อย่างดี ถึงกระนั้นหลินมู่อวี่ก็ยังลังเล “คิดจะซื้อข้าด้วยไวน์เหยือกเดียวหรือ?”
“สองเหยือก” เฟิงจี้สิงตอบอย่างไม่ลังเล “มากกว่านี้ไม่ได้ เพราะข้ามีไวน์ดอกไม้เพียงสองเหยือกเท่านั้น…”
“ตกลง…” หลินมู่อวี่พยักหน้ายิ้ม “หลัวอวี่ จากนี้เจ้าไปเป็นรองผู้บัญชาการกองทัพองครักษ์เสีย คอยสั่งการทัพหมื่นกว่าคนคงดีกว่ามังกรผงาดในตอนนี้”
หลัวอวี่น้ำตาริน “ท่านหลินมู่อวี่แลกข้ากับไวน์สองเหยือกหรือ?”
“เจ้าจะกังวลสิ่งใด พี่เฟิงเพียงแค่ยืมตัวเท่านั้น หากกลุ่มมังกรผงาดต้องการเจ้า ข้าจะเรียกกลับมาเอง”
“เช่นนั้นก็ได้ขอรับ…” หลัวอวี่กล่าวอย่างหดหู่
…
ขณะเดียวกัน ฉินอินเดินเข้าไปในโถงพร้อมข้าราชบริพารรายล้อมพลางกล่าวเสียงดัง “หากไม่มีสิ่งใดก็หลีกไป!”
ทันใดนั้นถังลู่ก็ยืนขึ้นกลางฝูงชน “ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องอยากรายงานพ่ะย่ะค่ะ”
“พูดมาเถิดท่านหลิงเป่ยโหว” ฉินอินพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม
ถังลู่คำนับอีกครั้งก่อนจะกล่าว “นับตั้งแต่เสด็จขึ้นครองราชย์ อำนาจทางทหารและตำแหน่งทางทหารทั้งหมดในประเทศได้รับการปรับโครงสร้างใหม่ ตราแม่ทัพพิทักษ์เมืองสมควรถูกเรียกกลับคืนสู่กระทรวงกลาโหม ไม่ว่าผู้ใดแม้แต่ท่านหลินมู่อวี่ก็มิควรฝ่าฝืนกฎ ฉะนั้นโปรดเรียกคืนตราแม่ทัพโดยเร็วเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
เฟิงจี้สิงเลิกคิ้วกล่าว “ท่านหลิงเป่ยโหวไม่คำนึงถึงทหารจักรวรรดิอี้เหอกว่าหมื่นคนที่ยังอยู่ในมณฑลหลิงตง ทว่ากลับสนใจตราแม่ทัพในมือหลินมู่อวี่ ข้าชักเริ่มสงสัยแล้วว่าท่านหลิงเป่ยโหวสนใจความเป็นอยู่ของประชาชนจริงหรือไม่?”
ถังลู่หน้าเสียและรู้สึกประหม่าเล็กน้อยจากการถูกหักหน้า ทว่าไม่ได้ตอบโต้อันใด
ฉินอินเม้มริมฝีปากอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น “ตราแม่ทัพพิทักษ์เมืองถูกส่งมอบให้พี่อาอวี่โดยจักรพรรดิ ข้าคิดว่า…”
“ฝ่าบาท”
ซูมู่หยุนเอ่ยแทรก “โปรดทำตามกฎเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
หลินมู่อวี่ไม่สบอารมณ์ ซูมู่หยุนช่างหยิ่งผยองนักที่กล้าขัดฉินอิน
หลินมู่อวี่ก้าวออกมาพลางล้วงตราแม่ทัพพิทักษ์เมืองจากถุงสรรพสิ่งก่อนจะส่งมันให้ซือหลิงผู้เป็นเจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหม หลินมู่อวี่หันมองซูมู่หยุนด้วยสายตาอาฆาตและกล่าว “ท่านกงหยุนเป็นถึงทหารผ่านศึกที่น่านับถือและจงรักภักดี การที่ท่านกล้าขัดคำขององค์จักรพรรดินีนั้น หากไม่ทราบมาก่อนว่าท่านเป็นข้าราชบริพาร ข้าคงคิดว่าท่านเป็นผู้ปกครองดินแดนนี้”
ซูมู่หยุนกล่าวด้วยสีหน้าไม่พอใจ “เจ้าล้อเลียนข้าอย่างนั้นหรือ?”
“มิบังอาจขอรับ”
หลินมู่อวี่ประสานหมัดกล่าว “ท่านหยุนกงเป็นขุนนางของจักรวรรดิมาถึงสามสมัย ข้าคงมิบังอาจหมายความเช่นนั้นขอรับ”
ซูมู่หยุนโกรธจัด ทันใดนั้นถังหลานที่อยู่ไม่ไกลก็ประสานหมัดกล่าว “ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าจำนวนผู้เข้าร่วมประชุมศาลสมควรถูกลดจำนวน ใครก็ตามที่ไม่มีหน้าที่ทางการเมืองหรือทหารไม่ควรได้เข้าร่วมพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านหลานกงคิดจะบีบข้าออกจากการประชุมศาลหรือ?”
หลินมู่อวี่คลี่ยิ้ม “ข้าเป็นผู้นำวิหารศักดิ์สิทธิ์และบุตรชายของจักรพรรดิองค์ก่อน นอกจากเขาและจักรพรรดินีแล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิ์ไล่ข้า!”
ถังหลานจ้องหน้าหลินมู่อวี่โดยไม่กล่าวคำใด
…………………………………