Ep.360 ฝึกโซ่เทวะ

เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มเกินควบคุม เฟิงจี้สิงจึงรีบลุกขึ้นกล่าว “ข้าแต่ฝ่าพระบาท มณฑลหลิงตงและมณฑลทงเทียนยังคงตกอยู่ในกำมือของจักรวรรดิอี้เหอ กระหม่อมคิดว่าสิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือการทวงคืนอาณาเขตทางตอนเหนือของจักรวรรดิ ดังนั้นโปรดองค์จักรพรรดินีช่วยจัดตั้งกองกำลังให้กระหม่อมนำทัพพิชิตหลงตงด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

“ผู้บัญชาการเฟิงจี้สิงจะพิชิตมณฑลหลิงตงอย่างนั้นหรือ?”

ฉินอินชะงัก “ในมณฑลหลิงตงยังคงมีทหารจักรวรรดิอี้เหออยู่มาก ท่านมั่นใจแล้วหรือ?”

“พ่ะย่ะค่ะ”

เฟิงจี้สิงพยักหน้า “ถึงกระนั้น…กระหม่อมหวังว่าพระองค์จะทรงอนุญาตให้ผู้นำวิหารศักดิ์สิทธิ์หลินมู่อวี่ตามไปด้วย หากมีเขา…เรายังพอเอาชนะได้แม้มีกำลังคนน้อยกว่า”

“อืม”

ฉินอินพยักหน้า ซูมู่หยุนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะประสานหมัดกล่าว “ข้าแต่ฝ่าพระบาท การเดินทางครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย กระหม่อมจึงอยากขอเตือนให้ระวังพ่ะย่ะค่ะ”

“ท่านตามีสิ่งใดแนะนำใดหรือ?” ฉินอินถาม

ซูมู่หยุนตอบ “พวกอี้เหอในมณฑลหลิงตงมีกองกำลังอย่างน้อยห้าหมื่นนาย ด้วยมณฑลหลิงหนานนั้นอยู่ใกล้กว่าเมืองหลันเยี่ยนนัก พวกเขาเดินทางได้เร็วกว่าเรานักทั้งทหาร เสบียงและกำลังเสริม กระหม่อมคิดว่าศึกครั้งนี้ต้องการทหารอย่างน้อยหนึ่งแสนนายจึงจะชนะ กองทัพชีไห่และอวิ้นจงเองก็ได้ลิ้มรสความพ่ายแพ้มาแล้วเมื่อสองเดือนก่อน ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ฝ่าบาทโปรดส่งสาส์นไปยังชายแดนทางเหนือถึงแม่ทัพหมินยวี่หลินให้กลับมาก่อนพ่ะย่ะค่ะ”

“ท่านตากำลังพูดถึงเซินเว่ยโหวใช่หรือไม่?”

“พ่ะย่ะค่ะ”

ซู่มู่หยุนพยักหน้ากล่าว “หมินยวี่หลินพิทักษ์ชายแดนเหนือได้เกือบสิบปีแล้ว เขาไม่เคยพ่ายแพ้ผู้ใด บารมีของเขาแผ่ขยายไปทั่วอาณาเขตคนเถื่อนทางเหนือ เมืองง้าวไฟที่เขาป้องกันอยู่มีกองกำลังมากถึงเจ็ดหมื่น นับได้ว่าเป็นกองทัพที่มั่นคงที่สุดของจักรวรรดิ ฝ่าบาทสามารถสั่งการให้เขาส่งกองทัพห้าหมื่นนายกลับมาเมืองหลันเยี่ยน และรวมกำลังหนึ่งแสนนายเข้าพิชิตมณฑลหลิงตง”

ฉินอินลังเลก่อนกล่าวตอบ “ท่านตา…อันที่จริงเสี่ยวอินอยากให้พี่อาอวี่เข้าร่วมกองทัพมากกว่า”

“แน่นอนว่าหลินมู่อวี่นั้นเป็นแม่ทัพที่หลักแหลมและกล้าหาญ แต่เขายังเด็กและขาดวุฒิภาวะ กระหม่อมคิดว่าส่งเขาไปช่วยหมินยวี่หลินเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับการรบเพิ่มคงดีกว่า ฝ่าบาทคิดเห็นเป็นเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ?”

“เช่นนั้นค่อยหารือกันอีกคราเมื่อท่านเซินเว่ยโหวกลับถึงหลันเยี่ยน”

“พ่ะย่ะค่ะ…เตรียมกระดาษและน้ำหมึกมาให้ฝ่าบาททรงอักษรพระราชโองการ!”

หลินมู่อวี่และเฟิงจี้สิงมองหน้ากัน

ซูมู่หยุนและถังหลานนั้นไร้ประโยชน์ ทว่าด้วยจำนวนคนที่มากกว่าทำให้ผู้นำวิหารศักดิ์สิทธิ์อย่างหลินมู่อวี่และผู้บัญชาการกองทัพเฟิงจี้สิงทำได้เพียงยืนอยู่เฉยๆ

เฟิงจี้สิงแตะบ่าหลินมู่อวี่เบาๆ พลางยิ้มอย่างขมขื่น “ข้าคิดว่าเราสองพี่น้องจะมีโอกาสได้สู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันเสียอีก”

หลินมู่อวี่หัวเราะ “อย่ากังวลไปขอรับ วันข้างหน้ายังมีโอกาส…จักรวรรดิอี้เหอปล้นอาณาเขตเราไปกว่าครึ่ง ด้วยกำลังทหารถึงห้าแสนนายครานี้คงกำจัดพวกมันได้ง่ายขึ้น ศึกของเรามาถึงแล้ว”

“อืม…”

เฟิงจี้สิงตอบรับก่อนจะถามต่อ “อาอวี่ การฝึกกองทัพศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างไรบ้าง?”

“ได้เฟิงสี่ ฉินเหยียน เว่ยโฉวช่วยฝึก ทำให้ผลสำเร็จออกมาดีทีเดียวขอรับ ทว่าก็ยังไม่เพียงพอต่อการออกรบจริง พวกเขายังขาดประสบการณ์”

“อืม ข้ารู้” เฟิงจี้สิงมองถังหลานก่อนจะกล่าว “ระวังไว้เถิด หลานกงและหยุนกงคงไม่ปล่อยให้กองทัพศักดิ์สิทธิ์แข็งแกร่งขึ้นแน่ เตรียมพร้อมรับมือกับปัญหาที่จะตามมาให้ดี”

“อย่าห่วงเลย ข้ามีวิธีจัดการกับมัน”

“อืม”

หลังจบการประชุม ฉินอินพาหลินมู่อวี่ไปหลังตำหนัก

“พี่อาอวี่ ขออภัยด้วยสำหรับเรื่องในวันนี้” ฉินอินกล่าวอย่างรู้สึกผิด “ข้าอยากจะช่วยพูดให้เจ้ามากกว่านี้ ทว่าพวกขุนนางไม่ให้โอกาสข้าเลย”

หลินมู่อวี่พยักหน้า “ช่วยไม่ได้…ขุนนางส่วนใหญ่เป็นพวกหลานกงกับหยุนกง ทว่าตอนนี้เจ้ามีข้า พี่เฟิง เว่ยโฉวและจางเหว่ยเข้าร่วมด้วย สถานการณ์ต่างๆ คงดีขึ้นกว่าเมื่อสองปีก่อน”

“อืม” ฉินอินกอดแขนหลินมู่อวี่และพยักหน้าอย่างจริงจัง “อย่าเอ่ยถึงเรื่องแย่ๆ อีกเลย ในเมื่อเจ้ากลับมาแล้ว ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น อีกอย่าง…พลังยุทธ์ข้าเพิ่งบรรลุเมื่อวานนี้…”

“จริงหรือ?”

“อืม ดูสิ…” ไม่ว่าเปล่า ฉินอินปลดปล่อยวิญญาณยุทธ์โซ่เทวะเจ็ดเส้นล้อมรอบตัว ปราณยุทธ์แผ่ขยายก่อนจะควบแน่นเป็นเกราะปราณคุ้มกันร่างกายอันน่าหลงใหลและสง่างามของนาง พลังยุทธ์ที่สัมผัสได้บ่งบอกว่านางก้าวสู่ขอบเขตนภาขั้นสองแล้ว

“ช่างแข็งแกร่งอะไรเยี่ยงนี้”

หลินมู่อวี่กล่าวอย่างชื่นชม “น่ายินดีนักที่เสี่ยวอินก้าวผ่านมันมาได้ หากเป็นเช่นนี้…เจ้าคงไปถึงขอบเขตได้ในไม่ช้า”

“ข้าจะตั้งใจฝึกฝนและบรรลุสู่ขอบเขตปราชญ์ให้ได้ก่อนอายุยี่สิบห้า” ดวงตาคู่สวยของฉินอินฉายแววมุ่งมั่น

“เหตุใดจึงต้องก่อนอายุยี่สิบห้า?” หลินมู่อวี่ถามด้วยความประหลาดใจ

ฉินอินยิ้มก่อนจะกล่าว “พี่อาอวี่ช่างโง่เขลา รู้หรือไม่ว่าขอบเขตปราชญ์อันยิ่งใหญ่รักษาความงดงามได้? เมื่อจอมยุทธ์บรรลุสู่ขอบเขตปราชญ์ ร่างกายจะหยุดอยู่ที่เดิมจนกว่าจะก้าวสู่ขอบเขตเทวะ นั่นหมายความว่าเรามีชีวิตอมตะอย่างไรเล่า เสี่ยวอินจึงตั้งใจจะรีบพัฒนาความแข็งแกร่งให้สู่ขั้นนั้นโดยเร็ว เพื่อจะได้รักษาช่วงชีวิตที่งดงามที่สุดของตัวเองเอาไว้…”

“เป็นเช่นนี้เอง”

หลินมู่อวี่ชะงักก่อนจะกล่าวต่อ “ฉะนั้นเจ้าก็รีบบรรลุขอบเขตปราชญ์เถิด หากต้องการความช่วยเหลือใดจงบอกกล่าวแก่ข้า ข้าจะช่วยสุดความสามารถ”

“การฝึกยุทธ์เป็นภาระของข้า อาอวี่ไม่จำเป็นต้องช่วย…” ฉินอินยิ้มและกล่าวต่อ “ตอนนี้ข้ากำลังพยายามเกลี้ยกล่อมท่านตาให้จัดตั้งกองทัพอวี้หลินขึ้นใหม่ให้ได้ในเร็ววันอยู่”

“อืม ดีแล้วที่จัดตั้งกองทัพองครักษ์อวี้หลินใหม่” หลินมู่อวี่พยักหน้าเห็นด้วย “องครักษ์อวี้หลินคือกองทัพของจักรพรรดิ น่าเสียดายที่องครักษ์ชุดก่อนถูกสังหารจนหมด”

ฉินอินเอื้อมจับมือหลินมู่อวี่ “อย่าเศร้าไป ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย”

หลินมู่อวี่ทำได้เพียงหัวเราะกับคำปลอบของฉินอินก่อนจะลุกขึ้นกล่าว “ตอนนี้เสี่ยวซีกลับถึงเมืองหน้าด่านอสูรแล้ว ไม่มีสิ่งใดต้องกังวลจนกว่าหมินยวี่หลินจะมาถึงที่นี่ในอีกสามวัน ส่วนข้าคิดไว้ว่าจะเข้าป่าล่ามังกรเพื่อฝึกฝนราวสิบวัน ระหว่างที่ข้าไม่อยู่…เจ้าต้องดูแลตัวเองนะเสี่ยวอิน ข้าจะให้ทหารมังกรผงาดอารักขาตำหนักเจ๋อเทียนเป็นการชั่วคราวด้วย”

“ข้าไม่มีปัญหา แต่ไม่รู้ว่าท่านตาจะเห็นด้วยหรือไม่”

“อย่ากังวล เพียงเจ้าออกพระราชโองการ…ทหารมังกรผงาดจะมายังตำหนักเจ๋อเทียนทันทีโดยไม่สนว่าหยุนกงจะเห็นด้วยหรือไม่ เราจะอ่อนข้อให้เขาไม่ได้…เพราะหากยังเป็นเช่นนี้ต่อ เจ้าจะไม่มีวันได้ครองอำนาจตัวเองอีกเลย”

“อืม”

พลบค่ำ หลังจัดการทุกอย่างในวิหารศักดิ์สิทธิ์และค่ายมังกรผงาดเรียบร้อยแล้ว หลินมู่อวี่จึงสวมชุดเกราะทหารออกจากเมืองหลันเยี่ยน ตรงสู่ป่าล่ามังกรอย่างเงียบๆ”

หลินมู่อวี่ไม่ได้บอกฉินอินว่าการฝึกฝนในป่าล่ามังกรครั้งนี้คือการฝึกวิญญาณยุทธ์โซ่เทวะ…

ระหว่างทางควบม้าก็พบว่าภายในทะเลจิตของหลินมู่อวี่ วิญญาณยุทธ์ทั้งสองกำลังเข้ากันได้ดี น้ำเต้าสีทองหมุนไปมาพร้อมกับเปล่งแสงน่าหลงใหล เช่นเดียวกันโซ่เทวะที่สว่างเจิดจ้าราวกับแสงจันทร์กลางฟ้าราตรี วิญญาณยุทธ์ทั้งสองกำลังเพิ่มพลังยิ่งขึ้น

หลินมู่อวี่สัมผัสได้ว่าพลังยุทธ์ของตนขณะนี้ไม่ด้อยไปกว่าขอบเขตปราชญ์ขั้นหนึ่งเลย บางทีสิ่งเดียวที่ขัดขวางการบรรลุคือความสามารถที่ยังไม่เพียงพอ ทว่าด้วยพลังฌานเจ็ดประทีปอาจช่วยให้เขาก้าวข้ามได้ และยิ่งมั่นใจมากขึ้นด้วยวิชากลยุทธ์ดวงดาวที่เขามี ไม่แน่ว่าครานี้คงเข้าสู่ขอบเขตปราชญ์สำเร็จ

ทั้งเทือกเขาฉินทางตอนเหนือขณะนี้ ไม่มีผู้ใดเอาชนะหลินมู่อวี่ได้ เว้นเสียแต่เซี่ยงอวี้ซึ่งมีโอกาสชนะครึ่งต่อครึ่ง หลินมู่อวี่เร่งฝึกฝนกลยุทธ์ดวงดาวอย่างต่อเนื่องจนก้าวกระโดด ด้วยเกรงว่าอีกไม่นานต้องได้ปะทะกับเซี่ยงอวี้

เพราะความแข็งแกร่งที่สัมผัสได้ ทำให้หลินมู่อวี่มั่นใจและกล้าเข้าป่าล่ามังกรเพียงลำพัง ถังหลานและซูมู่หยุนอยากกำจัดหลินมู่อวี่ให้เร็วที่สุด ทว่าไม่มีทหารใต้บัญชาคนไหนสามารถเอาชนะเขาได้ต่อให้นำทหารมาพันคนก็ตาม ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงทำได้เพียงรอโอกาสอยู่ในเมืองหลันเยี่ยนคอยมองเสี้ยนหนามอย่างหลินมู่อวี่ต่อไป

กว่าจะถึงส่วนลึกของป่าล่ามังกรก็เกือบเที่ยงคืน ทักษะชีพจรวิญญาณสัมผัสได้เพียงพืชพันธุ์และต้นไม้เท่านั้นที่อยู่โดยรอบ ไม่นาน จู่ๆ กลับมีพลังงานอันแข็งแกร่งปรากฏขึ้น เป็นพลังของสัตว์วิญญาณธาตุเพลิงกำลังหลับอยู่ในถ้ำ จากขนาดของพลังคงเป็นสัตว์วิญญาณที่มีอายุมากทีเดียว

เมื่อนานมาแล้วชวีฉู่เคยสอนหลินมู่อวี่ไว้ว่าการฝึกพลังยุทธ์ไม่มีทางลัด ต้องค่อยเป็นค่อยไป ตอนนี้วิญญาณยุทธ์โซ่เทวะอยู่เพียงขั้นหนึ่งเท่านั้นด้วยความอ่อนแอของมัน หากใช้กับสัตว์วิญญาณที่แข็งแกร่งเกินไปอาจก่อให้เกิดอันตรายกับตัวผู้ใช้เสียเอง ในทางกลับกัน…หากใช้กับสัตว์วิญญาณที่เหมาะสมสองครั้งก็จะช่วยเพิ่มพลังโซ่เทวะขึ้นเท่าตัว

‘ชิ้ง!’

หลินมู่อวี่ลงจากหลังม้าพร้อมกับชักกระบี่วิญญาณมังกรออกก่อนจะเดินไปหยุดอยู่หน้าถ้ำ หลินมู่อวี่ยังไม่เข้าไป เร่งรีดพลังยุทธ์ให้ถึงขีดสุด ทั้งร่างห้อมล้อมไปด้วยปราณยุทธ์สีขาว แน่นอนว่าสัตว์วิญญาณสัมผัสถึงพลังของเขาได้ สิ้นเสียงคำราม หมีหลังโลหะก็กระโจนออกมา

‘โฮก!’

กรงเล็บคมฟาดเข้าใส่หลินมู่อวี่เต็มแรง!

‘เคร้ง!’ เสียงปะทะดังสนั่นไปทั่ว แขนของหลินมู่อวี่ชาทันใด! ความแข็งแกร่งของมันราวกับเป็นจ้าวแห่งป่านี้!

เพื่อไม่ให้หมีหลังโลหะต้องเจ็บปวดมาก ก่อนมันจะโจมตีครั้งที่สอง หลินมู่อวี่ควบแน่นพลังแห่งดวงดาวและชกเข้ากลางหน้าอกมัน!

กลยุทธ์ดวงดาวขั้นที่หนึ่ง ดาราปรากฏ!

‘ตูม!’

พลังดวงดาราทะลวงหนังหนาของหมีหลังโลหะทะลุไปถึงหัวใจของมัน! อสูรร้ายล้มลงกับพื้น มันกรีดร้องไม่นานก่อนจะตายตก

……………………………………..