บทที่ 384

บทที่ 384

ถังหยินออกเดินทางจากเมืองหยาน แต่ก่อนที่จะทันได้ออกไปไกล เขาก็ได้ยินเสียงม้าจากด้านหลัง เมื่อหันไปเขาก็เห็นเงาคนขี่ม้าอยู่ราง ๆ และมั่นใจได้ว่าพวกเขาคือทหารในชุดเกราะ

ภาพตรงหน้าทำเอาชายหนุ่มขมวดคิ้วสงสัย เพราะเขาไม่ได้สั่งให้มีการเกณฑ์แม่ทัพมาช่วยรบเลย แล้วพวกเขาเป็นใครกัน ?

แต่แล้วถังหยินก็มองเห็นชัดเจนขึ้น ทำให้พบว่าที่แท้แล้วทั้งสองคืออู่เหมยกับอู่อิงนั่นเอง

“ไม่คิดว่าพวกเจ้าจะมาด้วย” ถังหยินควบม้าวิ่งไปถามพวกนาง

“พวกท่านมาที่นี่ทำไม ?” ถังหยินถาม

“เราก็จะไปช่วยเจ้ารบไง” อู่เหมยตอบก่อน

ชายหนุ่มหัวเราะ “ไร้สาระ ! สงครามไม่ใช่เรื่องของผู้หญิง กลับไปซะ !”

เขาไม่คิดว่าผู้หญิงจะเหมาะกับการทำสงครามเลย จึงได้ไล่ให้พวกนางกลับไป

อู่เหมยขบริมฝีปากแล้วพูดอย่างไม่พอใจ “เจ้าพูดบ้าอะไร ? อย่าลืมนะว่าข้าคือคนที่พาเจ้าเข้ามาในกองทัพน่ะ”

“นั่นมันก็แค่อดีต !” ถังหยินส่ายหัว “ท่านเสนาบดีอู่รู้หรือเปล่าว่าท่านมาด้วย ?”

อู่อิงกำลังจะส่ายหัวแต่ก็มีอีกเสียงรีบตอบไป “แน่นอน ข้าต้องบอกพ่อข้าก่อนอยู่แล้วสิ”

“น่าแปลกที่เขาให้เจ้ามานะ !” ถังหยินส่ายหัว “เฉิงจิน !”

“ขอรับนายท่าน” เจ้าตัวที่ถูกเรียกวิ่งออกมา

ถังหยินกล่าว “พานางกลับไปที่เมืองแล้วถามท่านอู่ว่าเขารู้หรือเปล่าว่าสองนางนี้มากับข้า”

“รับทราบ !” เฉิงจินรู้ว่าถังหยินต้องการให้อู่เหมยกลับไป ดังนั้นเขาจึงแกล้งทำเป็นจะกลับเข้าไปในเมือง

ทว่าก่อนที่จะเข้าไปในเมือง อู่เหมยก็พลันเรียกเขากลับมา ทำให้ถังหยินหลุดหัวเราะออกมาจนนางเกิดความสงสัย

อู่เหมยมองพวกทหารด้วยความอับอาย ก่อนจะควบม้ามาข้างถังหยินแล้วจับแขนเขาไว้ “ก็ได้ พ่อข้าไม่รู้เรื่องนี้ ดังนั้นอย่าทำแบบนั้นเลย !”

ชายหนุ่มถอนหายใจแล้วมองพวกนาง ก่อนจะครุ่นคิดและทำท่ายอมแพ้ “ครั้งนี้เท่านั้น ไม่มีครั้งหน้าอีกแล้ว”

พี่น้องอู่ยิ้มออกมาอย่างดีใจ

กองทัพจี้อิงเดินทางไปรอบ ๆ เมืองหวังและโจมตีเมืองเฟ่ย โดยพร้อมกันนั้น อู่กวงและจ้านหูก็ได้นำกำลังทหารเข้าดักซุ่มโจมตีไว้ระหว่างทางจากเมืองหวังไปเมืองเฟ่ย

หลังจากที่ซ่งเทียนหนีไปยังเมืองหวัง ผ่านไปไม่กี่วันเขาก็ได้ข่าวว่าถังหยินจะยกทัพมา

เมื่อทราบข่าวนี้ พวกลูกน้องของเขาไม่ได้กังวลอะไรนัก เพราะถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีกำลังทหารแค่ 3 หมื่นนาย แต่การป้องกันเมืองหวังก็หนาแน่นยิ่ง แล้วไหนจะมีทหารหนิงอีกหลายแสนนายอีก ทำให้ถังหยินไม่น่าจะยึดเมืองได้โดยง่ายนัก

…พวกขุนนางแนะนำให้ซ่งเทียนเรียกพี่น้องจ้านของแคว้นหนิงมาช่วยป้องกันเมืองเอาไว้ และเขาก็จัดให้ตามคำขอนั้น

แต่ก่อนที่จะมีคนออกไปเรียก ทั้งจ้านอู่ฉางและจ้านอู่ตี้ก็ได้เดินเข้ามาเสียก่อน

เมื่อพวกเขาเห็นซ่งเทียนก็ประกบมือให้แล้วโค้งตัวลงก่อนจะมองไปรอบ ๆ แล้วหยุดลงที่ซ่งเทียน

จ้านอู่ฉางพูด “ข้าคิดว่าฝ่าบาทจะต้องได้ข่าวที่ถังหยินส่งทหารมาบุกพวกเราแล้ว”

“ถูกต้อง” ซ่งเทียนพยักหน้าให้ “ข้าคิดว่าจะให้ทั้งสองท่านช่วยกันป้องกันกำแพงเมืองจากพวกเทียนหยวน พวกท่านพอจะทำได้หรือไม่ ?”

จ้านอู่ฉางยิ้มอย่างขมขื่นแล้วส่ายหัว “ช้าไปแล้วฝ่าบาท ท่านรู้หรือไม่ว่าตอนนี้กำลังมีกองทหารอีกกองกำลังบุกตีเมืองเฟ่ย”

ซ่งเทียนและคนอื่นต่างก็ตะลึง เพราะการที่ถังหยินแยกกองทัพออกมาโจมตีสองทางแบบนี้มันเหนือความคาดหมายของเขาเป็นอย่างมาก

ซ่งเทียนตะลึงแล้วหัวเราะพลางลูบมือของตัวเอง “ถังหยินแบ่งกองทัพเป็น 2 กองงั้นหรือ ทำไมกัน การที่ทำแบบนี้มีแต่จะทำให้กำลังทหารลดน้อยลงไม่ใช่หรือไร ? แต่ก็ช่างมันเถอะ เพราะแบบนี้ก็ยิ่งชนะได้ง่ายเข้าไปกันใหญ่”

จ้านอู่ฉางโกรธมากจนแทบจะตะโกนออกมา แต่ก็เก็บเอาไว้ เพราะครั้งนี้เขาไม่มีแผนที่ ไม่งั้นเขาคงเอามายัดปากซ่งเทียนแล้วเพื่อแสดงให้เห็นว่าเมืองเฟ่ยสำคัญแค่ไหน “ฝ่าบาท ท่านเคยคิดไหมว่าถ้าเกิดว่าเราป้องกันที่นี่เอาไว้แล้วปล่อยให้เมืองเฟ่ยถูกยึดไป เราจะหนีไปที่ไหนได้ ? แถมจะไม่มีกำลังเสริมด้วย ถ้าเป็นแบบนั้นพวกเราจะอยู่ต่อได้สักกี่วัน ? กี่เดือน ? หรือกี่ปี ?”

คำถามนี้ทำเอาซ่งเทียนพูดไม่ออก เขาหันไปถามขุนนางคนอื่น ๆ “เจ้าคิดว่ายังไง ?”

ทุกคนมองหน้ากันแล้วก้มหัวให้ “ท่านแม่ทัพจ้านอู่ฉางพูดถูกทุกประการ ฝ่าบาทควรจะทำตามที่เขาแนะนำมา”

ซ่งเทียนพยักหน้าให้แล้วมองจ้านอู่ฉาง “แม่ทัพจ้านอู่ฉาง ถ้างั้นแล้วเราควรจะจัดการเสริมกำลังไปยังเมืองเฟ่ยเลยดีไหม ?”

จ้านอู่ฉางส่ายหัว “ตามรายงานที่พวกเราได้มา จำนวนของพวกมันมีมากเกินกว่า 1 แสนนาย ดังนั้นต่อให้พวกเราแบ่งกำลังไปก็ไม่สามารถป้องกันเมืองได้อยู่ดี ข้าคิดว่าพวกเราควรจะทิ้งเมืองหวังแล้วหนีไปทางใต้จะดีกว่า”

ตอนนี้เขาเสียครึ่งหนึ่งของแคว้นตัวเองไปแล้ว แคว้นเฟิงของเขามีมากกว่า 15 มณฑลและตอนนี้เขาเหลือแค่ 4 มณฑลเท่านั้น ด้วยมณฑลที่เหลือตกไปอยู่ในมือของพวกเทียนหยวนหมดแล้ว ถ้าหากเขาหนีตอนนี้ แล้วจะให้หนีไปยังที่ไหนได้อีก ?

จ้านอู่ฉางเข้าใจความรู้สึกของซ่งเทียนดี เขาส่ายหัว “ฝ่าบาท ข้าหวังว่าท่านจะพิจารณาข้อเสนออย่างถี่ถ้วน และรีบตัดสินใจด้วย”

ซ่งเทียนถอนหายใจแล้วเงยหน้าขึ้นมองพวกขุนนาง เขาไม่อยากจะหนีออกไปอีกแล้ว ด้วยถ้าหากยังทำแบบนั้นอีก ความฝันที่เขาจะเป็นราชาก็คงจะจบลง !

พวกขุนนางเองก็ไม่กล้าที่จะเสนออะไรออกมากันสักคน

เพราะพวกเขายังจำได้ดีถึงเรื่องที่มีแม่ทัพมากมายตายในการปกป้องเมืองหยาน ซึ่งก็มีเพียงแค่หลีฉีที่รอดกลับมาคนเดียวเท่านั้น

ในวินาทีนี้ไม่มีใครกล้าเสนออะไรออกมาทั้งนั้น ซ่งเทียนเริ่มนั่งไม่ติดเก้าอี้ จิตใจของเขาห่อเหี่ยวลงไปทุกที “ทำตามที่แม่ทัพจ้านอู่ฉางว่ามา เราจะหนีออกจากเมืองหวังกัน”

“ฝ่าบาทช่างหลักแหลมยิ่ง” พี่น้องจ้านก้มหัวให้ “พวกข้าจะไปเตรียมการล่วงหน้าให้”

พวกเขาเดินกลับออกไปทันทีโดยไม่ทันให้ซ่งเทียนได้ทำอะไร

ฝ่ายซ่งเทียนไม่อาจสู้พวกเทียนหยวนได้อีกต่อไปแล้ว สองพี่น้องจึงตัดสินใจที่จะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับพวกเทียนหยวนให้มากที่สุดเพื่อปกป้องของทัพของตัวเอง ดังนั้นพวกเขาจึงได้เสนอความคิดที่จะหนีลงไปทางใต้

ซ่งเทียนยอมรับคำเสนอแนะและหนีลงไปทางใต้ไปยังเมืองเฟ่ย

สองพี่น้องจ้านรู้ว่าพวกเทียนหยวนกำลังจะเข้าตีเมืองเฟ่ย แต่ไม่รู้ว่าระหว่างทางก็มีกองกำลังดักซุ่มอยู่

ตอนนี้กองกำลัง 1 แสน 2 หมื่นของพวกหนิง และกองทัพ 3 หมื่นของซ่งเทียนรวมกันได้ 1 แสน 5 หมื่นนาย แต่ในขบวนนี้ก็มีครอบครัวซ่งเทียนมากมายอยู่ด้วย ไม่ว่าจะเป็นทั้งภรรยาหรือลูกเมียน้อยทั้งหลาย และเมื่อผนวกกับพวกขุนนางทั้งหลายด้วยแล้ว มันก็เลยทำให้การเดินทางดูวุ่นวายมาก

จ้านอู่ฉางและจ้านอู่ตี้กังวล กลัวว่าจะเดินทางไปถึงเมืองเฟ่ยไม่ทันเวลา แต่เพราะว่ามีซ่งเทียนไปด้วย จึงทำให้การเดินทางล่าช้าขึ้นไปอีกมาก …นี่ยังไม่นับรวมสัมภาระมากมายของซ่งเทียนที่มีทั้งแก้วแหวนเงินทองอีกด้วย

จากเมืองหวังไปเมืองเฟ่ยใช้เวลาถึงสองวันซึ่งนานกว่าปกติ และนี่มันก็ยังเพิ่งแค่ครึ่งทางเองด้วยซ้ำ

เมื่อเห็นกองทัพของศัตรู อู่กวงและจ้านหูก็ตะลึง

หลังจากได้รายงานจากหน่วยสอดแนม พวกเขาก็เงยหน้าขึ้นมาดูกองทัพศัตรูอันยิ่งใหญ่ที่มีแต่ทหารมากมาย

ทั้งสองขมวดคิ้วพร้อมกัน “นี่พวกมันส่งกำลังทหารมามากเท่าใดกัน ? ข้าเดาว่ามีกันถึงแสนนายเลยนะเนี่ย”