ยุ่งง่วนมาทั้งวัน เมื่อเงยหน้าขึ้น ฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว
อวิ๋นหว่านชิ่นกลับมาที่ห้อง นั่งอยู่หลังกองหนังสือดูตำรายาพิษ
ยาพิษหุ่นเชิดยาพิษชนิดนี้แม้จะมีน้อย แต่ก็มีบันทึกอยู่ในตำรายาพิษ ตามความหมายของในตำรานั้นบอกว่า ยาพิษชนิดนี้โหดร้ายประหลาดพิลึก สภาพเมื่อพิษกำเริบ ไม่ถึงกับหญ้าทะลวงไส้ ความเร็วเมื่อพิษกำเริบ ไม่ถึงกับกระเรียนแดง เอกลักษณ์เพียงอย่างเดียวคือรั้นนัก หากไม่ตายในทันที ก็จะตามติดร่างกายคนไป ยากที่จะกำจัดทิ้ง เหมือนดั่งชื่อของยาพิษชนิดนี้ ช่างเหมาะสมยิ่งนัก เมื่อถูกพิษชนิดนี้เข้า ก็จะกลายเป็นร่างหุ่นเชิดของมันไป
เปิดตำรายาพิษและตำรายาสมุนไพรที่นำมาจากเรือนท่านลุงจนหมด ไม่ว่าจะเป็นบันทึกของต้าเซวียนที่เก็บไว้เอง หรือจะเป็นตำราหนังสือนำเข้าจากเมืองตะวันตก สำหรับยาถอนพิษยาหุ่นเชิดนี้ ไม่มีการบันทึกไว้เลย หรือไม่ก็พูดคร่าวๆ ไม่ละเอียดถี่ถ้วน
ก็จริง หากยาพิษนี้แก้ได้ง่ายดายเช่นนั้น เหยากวงเหย้ากับหมออิงจนเดี๋ยวนี้จะยังคงศึกษาวิธีกันอยู่ได้อย่างไร และในชาติก่อน ทำไมเขาถึงได้เสียชีวิตตั้งแต่ยังหนุ่มยังแน่น…
เมื่อคิดเช่นนี้ ในห้องหัวใจก็เหมือนมีของสิ่งหนึ่งเต้นตุบๆ รุนแรงขึ้น คำทำนายในบันทึกเขียนมือหงจยาของมู่หรงไท่เล่มนั้น เหมือนดั่งสัตว์ร้ายอสรพิษแวบอยู่ตรงหน้าอวิ๋นหว่านชิ่น
นางเพ่งนึกถึงนาโอสถในสวนแอปริคอต
ตามที่หมออิงบอกในวันนั้น ในตอนนี้ไม่มีวิธีอื่นใด นาโอสถเพาะปลูกและเก็บรวบรวมสมุนไพรส่วนใหญ่ในใต้หล้าที่มีฤทธิ์แก้พิษขับร้อนต่างๆ ทำได้เพียงลองสกัดยาถอนพิษชนิดต่างๆ ให้ฉินอ๋องลองเสวย
หลายปีมานี้ ฉินอ๋องได้ลองไปบ้างแล้ว แต่ทว่ายาถอนพิษล้วนเป็นยาแรง ทำให้พระวรกายเสื่อมสภาพ ไม่สามารถทดลองได้บ่อยครั้ง ใช้ยาขนานหนึ่ง อย่างน้อยก็ต้องหนึ่งถึงสองรอบการรักษาจึงจะรู้ว่าได้ผลหรือไม่ หากคำนวณตามกระบวนการรักษาหนึ่งรอบต้องใช้เวลาหนึ่งเดือน ก็เท่ากับว่าทุกครั้งที่ฉินอ๋องลองยาถอนพิษตัวใหม่ แล้วพักร่างกายสักพัก อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาหนึ่งฤดูกาล หากยาขนานนี้ไม่ได้ผล จะเปลี่ยนเป็นขนานอื่น ปีหนึ่งก็ลองได้เพียงสี่ขนานเท่านั้น
เช่นนี้ ก็ลดประสิทธิผลลงอย่างมาก สมุนไพรถอนพิษใต้หล้านั้นมีมากมายเพียงนี้! เพียงแค่สมุนไพรขนานเดี่ยวก็มากมายคณานับ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงยาขนานผสมที่ต้องมีการผสมสมุนไพรตามอัตราส่วนใช้ด้วยกันอีก! ไม่รู้ว่าปีไหนเดือนใดจะสามารถหายาที่เหมาะกับการถอนพิษยาหุ่นเชิดนี้ได้
เมื่อคิดหาวิธีในใจได้คร่าวๆ อวิ๋นหว่านชิ่นก็เรียกหมออิงมาพบ
ภายใต้แสงไฟส่องสว่าง หมออิงเมื่อได้รู้ความคิดของพระชายาแล้วก็ตกใจเล็กน้อย แต่ภายใต้แสงไฟสีส้มนั้น สีหน้าของพระชายาแน่วแน่ เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ล้อเล่น
ความหมายของพระชายาคือ ให้องค์ชายสามลองยาเป็นเวลายาวนานเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ประสิทธิผลต่ำ ยาล้วนมีฤทธิ์เป็นพิษอยู่ ยังจะทำลายพระวรกายขององค์ชายสามอีก หากใช้สัตว์เป็นๆ ชนิดอื่นมาทดลองก่อน กรอกยาพิษหุ่นเชิดนี้ก่อน แล้วจัดยาให้สัตว์กิน ปฏิบัติเหมือนเป็นคน แล้วดูปฏิกริยา ปฏิกริยาการถูกยาพิษกับปฏิกริยาการกินยาของสัตว์กับคนอาจจะไม่ต้อง บางครั้งอาจจะทนไม่ไหว ตายไปกลางครัน ดังนั้นจะต้องหาสัตว์ชนิดนี้จำนวนมาก เช่นนี้ ก็จะเพิ่มประสิทธิภาพในการทดลองยาถอนพิษ
ว่าก็ว่า ก็เป็นวิธีการอย่างหนึ่ง ทดลองผ่านสัตว์ เลือกสมุนไพรที่อาจจะถอนพิษได้ผล หลีกเลี่ยงไม่ให้ยาทำร้ายพระวรกายองค์ชายสามบ่อยครั้งเกินไป
หมออิงได้ยินดังนั้นหน้าแดงก่ำไปหมด หากเขาไม่ได้พูดคุยกับพระชายา อาจจะไม่ได้ใส่ใจวิธีนี้เลย เพราะอย่างไรเสีย คนก็คือคน สัตว์ก็คือสัตว์ สภาพร่างกายและโครงสร้างไม่เหมือนกัน จะนำมาเทียบกันได้อย่างไร ทดลองในตัวสัตว์สำเร็จแล้ว ในร่างกายคนก็จะได้ผลเช่นเดียวกันแน่นอนอย่างนั้นหรือ ช่างเหลวไหลสิ้นดี
แต่ที่ป่าล้อมฮู่หลงในตอนนั้น เรื่องที่พระชายาไปเยี่ยมองค์ชายสามระหว่างทางกลับยามค่ำคืน ใช้ทับทิมเถ้าธูปหยุดเลือดให้องค์ชายสาม หมออิงยังคงจดจำฝังใจ รู้ดีว่าวิธีแปลกพิลึกของนางนั้นไม่น้อยไปกว่าเฒ่าทารกหมอหลวงเหยา จึงเกิดหวั่นไหวขึ้น สถานการณ์ในตอนนี้ขององค์ชายสาม ก็ทำได้เพียงรักษาด้วยความหวังอันน้อยนิด
เมื่อคิดเช่นนี้ น้ำเสียงพูดจาของหมออิงก็ตื่นเต้นดีใจขึ้นมา ลองถามดูว่า “พระชายามีความคิดหรือยังขอรับ ว่าจะใช้สัตว์ชนิดใดมาทดลอง” นี่ก็เป็นปัญหาที่ต้องคิดเช่นกัน หากต้องจับสัตว์เป็นจำนวนมาก ไม่ใช่ว่าเพียงแค่เอ่ยปากพูดก็จะหล่นลงมาจากฟากฟ้าได้ รายละเอียดอาการประชวรขององค์ชายสามมิได้แพร่งพรายให้คนนอกรับรู้ เรื่องนี้จะต้องปกปิดคนนอกไว้ อีกยังไม่สะดวกที่จะส่งคนกลุ่มใหญ่ไปจับมา…สรุปคือ ไม่ใช่เรื่องเล็กเรื่องง่ายเลย
อวิ๋นหว่านชิ่นครุ่นคิดอยู่สักครู่ “สิ่งมีชีวิตที่จะนำมาลองยาพิษในเมื่อต้องเตรียมในปริมาณมาก ก็จะใช้สัตว์ขนาดใหญ่มิได้ ไม่สะดวกนัก ส่วนสัตว์ปีกที่เลี้ยงในบ้านทั่วไป โดยทั่วไปแล้วอายุขัยไม่ยาวนัก อีกยังอ่อนแอเกินไป เกรงว่าลองยาพิษเพียงไม่นานก็จะสิ้นอายุขัยเสียก่อน…สวนแอปริคอตในเมื่ออยู่ชานเมือง สิ่งที่ไม่ขาดเลยคือพืชสวนไร่นา คางคกและหนูขาวน่าจะมีไม่น้อย ข้าเคยได้ยินว่าหนูขาวมีอายุถึงสามปีห้าปี ส่วนคางคกอายุยืนยาวกว่านั้น คางคกที่อายุสิบกว่าปีมีมากมายนัก ระดมพลชาวบ้านสิบกว่าครอบครัวนั้นช่วยกันจับในที่นาของตนเสียหน่อย”
คิ้วที่ขมวดกันของหมออิงก็เริ่มคลายออก คำพูดนี้ของพระชายา คิดได้รอบคอบถี่ถ้วนยิ่งนัก สัตว์ที่จับขนาดตัวเล็ก ประหยัดที่ทาง อีกยังไม่ต้องใช้คนในจวนอ๋องคนอื่นๆ หลีกเลี่ยงหูตาคน ให้คนทำการเกษตรสิบกว่าครอบครัวนั้นส่งหนูกับคางคกสองสามตัวจากที่นาของตนทุกวัน เป็นเรื่องที่ง่ายดายดั่งดีดนิ้วมิใช่หรือ
ทั้งสองปรึกษาหารือกันสักครู่ เวลานานขึ้นเรื่อยๆ หมออิงยกชายชุดลุกขึ้น “เช่นนั้น ข้าน้อยจะไปบอกแม่นางสกุลอวี๋ที่สวนแอปริคอตในคืนนี้ ให้นางสั่งชาวบ้านเอาไว้ ถึงเวลาหมอหลวงเหยาไปถึง เราก็เริ่มทดลองกันเลยขอรับ”
อวิ๋นหว่านชิ่นพยักหน้า “เช่นนั้นก็ต้องรบกวนหมออิงแล้ว”
หมออิงคำนับแล้วออกไปจัดการธุระ
เสร็จสิ้นไปอีกเรื่องหนึ่ง แม้จะเป็นเพียงการทดลอง แต่นับว่ามีความหวังมากขึ้น ในห้องเงียบสงัดลง เดิมทีอวิ๋นหว่านชิ่นอยากดูตำราอีกสักครู่ ไม่รู้ว่าทำไม ไม่สามารถรวบรวมสติได้อีก สายตาก็เหลียวมองนาฬิกาน้ำหยดอยู่เรื่อยๆ เวลานี้ ขบวนทัพที่ไปเขตฉางชวนนั้นน่าจะเลยเยี่ยจิงไปไกลนานแล้ว คิดว่าน่าจะพักอยู่ในโรงเตี๊ยมระหว่างทางแล้ว
หลายวันมานี้เขาต้องกอดตนเข้านอนทุกวัน วันนี้ไม่มีให้กอด ไม่รู้ว่าจะคุ้นชินหรือไม่
เมื่อคืนตอนนอน เขารัดเอวของตนแน่นยิ่งนัก ถึงตอนนี้นางยังปวดเมื่อยคออยู่เลย
คิดไปคิดมา นางก็เกาคอ แล้วปิดหนังสือ เปลี่ยนเป็นชุดนอน ตัดสินใจนอนเช้าหน่อย จะต้องเป็นเพราะนอนไม่พอเป็นแน่ จึงทำให้คิดอะไรเหลวไหลไปเรื่อย
ชูซย่าและเจินจูเห็นนายจะเข้าบรรทม จึงเข้ามาดับไฟในห้องเหลือเพียงดวงเล็กๆ ตรงหน้าต่างเพียงดวงเดียว เผาเตาผิงให้ไฟแรงขึ้น ดึงม่านจนแน่นแล้วออกไป
อวิ๋นหว่านชิ่นเพิ่งจะขึ้นนอนบนเตียง ยังไม่ทันได้มุดเข้าผ้าห่ม ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาลอยมา มองผ่านมุ้งม่านสีแดง เสียงเด็กน้อยที่คุ้นเคยลอยมาอย่างระมัดระวัง
“เจ้านอนหรือยัง”
อวิ๋นหว่านชิ่นตกใจ ลุกขึ้นนั่งแล้วเปิดม่านออก
ชุยอินหลัวใส่ชุดนอนสีแดง สวมรองเท้าหุ้มข้อนุ่มๆ สองข้าง ขาน้อยๆ เท้าเปลือยเปล่าไม่ได้สวมถุงเท้า ยืนอยู่ข้างเตียงท่าทางน่าสงสาร จมูกเย็นแข็งจนแดงไปหมด ปากเล็กๆ พ่นไอสีขาวออกมา ขยับตัวเข้าใกล้เตาผิงเรื่อยๆ เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ก็รู้ได้ทันทีว่าแอบหนีเหอมอมอออกมา
อวิ๋นหว่านชิ่นลากชุยอินหลัวขึ้นมาบนเตียง รีบถอดชุดนอนที่คลุมข้างนอกออกอย่างรวดเร็ว แล้วใช้ผ้าห่มห่อตัวเจ้าเนื้อของนาง จงใจทำเป็นโมโห “คราวหลังห้ามทำอีก! ตัวแข็งจนกลายเป็นน้ำแข็งหมดแล้ว!” แล้วเรียกชูซย่าเข้ามา ให้นางไปบอกเรือนเล็กฝั่งตะวันตกไว้ เพื่อไม่ให้เหอมอมอพบว่าคุณหนูหายไปแล้วจะตกใจกันไปใหญ่